วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกราก
โม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่ง
โม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซน
หยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดี
หลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทาน
สกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์
คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปี
เช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไร
องค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันหยาบช้าที่น่าหวาดผวากริ่งเกรงยิ่ง
หมิงเฉิงผู้นี้ มิได้เป็นโอรสที่แท้จริงของฮองเฮา หากแต่เป็นโอรสของลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮาที่เป็นหวงกุ้ยเฟย เมื่อครั้งที่หมิงเฉิงในวัยเยาว์สิ้นมารดาก็มาอยู่ในการดูแลของฮองเฮา จากนั้นยังเป็นอสรพิษแว้งกัดอย่างเลือดเย็น เมื่อฮองเฮาทรงตั้งครรภ์บุตรของตนเองและทรงให้กำเนิดโอรสในที่สุด แต่สุดท้ายโอรสน้อยก็สิ้นชีพไปตั้งแต่แบเบาะ เรื่องนี้เป็นที่ครหาไปทั่ว หากแต่กลับไร้ซึ่งหลักฐานเอาผิด
หมิงเฉิงผู้นี้จึงลอยนวลอย่างไม่สะทกสะท้านอันใดทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยิ่งนานวันเข้าก็ไม่มีผู้ใดกล้าเคลือบแคลงสงสัยหากอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสงบสุข
หมิงเฉิงมักจะยกพลถล่มพวกต่างแคว้นรอบชายแดนจนล่มสลาย กำราบเผ่าป่าเถื่อนอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าพญามัจจุราช ประหนึ่งนักรบอาบโลหิตที่ผุดออกมาจากขุมนรกก็ไม่ปาน
เขาเป็นบุรุษสูงศักดิ์ที่ถูกขนานนามได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น ทั้งโหดเหี้ยมและเย็นชา ไร้ความปรานีแม้แต่สตรี จักเป็นชายที่รักหยกถนอมบุปผาได้อย่างไร ถึงแม้จะรูปงามท่าทางองอาจกร้าวแกร่งเปี่ยมเสน่ห์ แต่แล้วอย่างไรเล่า! ในเมื่อเขามีสตรีวังหลังมากมายยิ่งกว่าสามีของนางเสียอีก
โหวเซินนั้น ถึงแม้จะเจ้าชู้และไม่รักนางที่เป็นภรรยาเอก แต่เขาก็ให้เกียรติเสมอมา เขาเป็นอัครเสนาบดี ทำงานฝ่ายบุ๋น ท่าทางสุขุมนุ่มนวลเป็นบัณฑิตทรงภูมิ แม้ไม่รักแต่ก็ไม่เคยรังแก
วั่นหรงให้นึกปวดใจนัก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าบุตรสาวของตนคงไม่พ้นแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ แต่เหตุใดไม่แต่งกับองค์ชายผู้อ่อนแอ หรืออ๋องนอกสายตา ทำไมต้องแต่งกับบุรุษใจทมิฬอย่างรัชทายาทหมิงเฉิงกันเล่า?
ภายในห้องหนังสือเรือนของฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหว
โม๋เอ๋อร์กับหยูเสวี่ยกำลังนั่งเดินหมากกันอย่างสนุกสนาน สตรีทั้งสองหัวเราะเสียงใสอย่างรื่นเริง บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นมื่นของเด็กสาวงดงามวัยสะพรั่ง
วั่นหรงได้แต่ยืนมองทั้งสองด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ใต้ตาดำคล้ำด้วยนอนไม่หลับมาหลายคืน นางเหม่อลอยจับจ้องใบหน้าบุตรสาวนิ่งนาน ก่อนจะค่อยๆ กวาดสายตามองโม๋เอ๋อร์อย่างพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
โม๋เอ๋อร์เป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก แม้แต่หยูเสวี่ยยังไม่อาจเทียบเคียง
ความคิดนี้ วั่นหรงหาได้ริษยาความงามของโม๋เอ๋อร์แทนบุตรสาวไม่ หากแต่ความใจกว้างและความใจแคบกำลังตีกันสับสนปนเป
เป็นความจริงที่ว่า นางรักและถนอมบุตรสาวของนางกว่าผู้ใด และนางก็เหมือนมารดาทั่วไป ที่ต้องการให้บุตรสาวเป็นคนว่านอนสอนง่าย ได้แต่งงานไปมีครอบครัวแสนสุข
และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันว่า บุตรสาวของนางทั้งรักและเคารพนางเหนือผู้ใด ไม่ว่านางต้องการให้บุตรสาวทำสิ่งใด ล้วนไม่เคยได้รับการปฏิเสธเลยสักครา
เช่นนั้นแล้ว นางขอเห็นแก่ตัวเพื่อความสุขของบุตรสาวอันเป็นที่รักได้หรือไม่?
เมื่อคิดวกไปวนมา ในที่สุดวั่นหรงก็ตัดสินใจ…
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือน
โม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุด
นางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นา
หญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิต
การถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้
นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อย
หมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไป
บุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบ
โม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียว
แต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์
หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”
วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”
โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”
“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”
หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพึงพอใจไม่น้อย
หากเทียบกับโทษฐานความผิดร่วมที่โม๋เอ๋อร์อาจจะต้องเผชิญในภายภาคหน้าแล้ว การคุกเข่าอย่างเสียเกียรติเช่นนี้ สำหรับวั่นหรงแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร นางจึงข่มใจก้มหน้ากลั้นหายใจพร่างพรูออกมาในที่สุด
“โม๋เอ๋อร์ บุญคุณที่เลี้ยงดูเจ้ามา ข้าไม่ขอสิ่งใดเป็นการตอบแทนทั้งนั้น แต่เพื่อหยูเสวี่ยแล้ว แม่คนนี้ขอเห็นแก่ตัวแบกรับความอัปยศอดสูเอาไว้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว ขอเพียงเจ้ายอมไปเป็นพระชายาให้องค์รัชทายาทสูงศักดิ์ได้หรือไม่?”
“หา!”
เหตุที่วั่นหรงตัดสินใจเช่นนี้
ก็เพราะมั่นใจในรูปโฉมของโม๋เอ๋อร์เหลือเกิน
เด็กคนนี้นางมองออกได้ไม่ยากว่าจักสะคราญโฉมเหนือสตรีใดตั้งแต่ได้พบพานสบตากันคราแรกแล้ว ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งเลอโฉมเลิศล้ำโดดเด่นเป็นสาวงามสะพรั่งยากหาใครเทียม
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ วั่นหรงคิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้แล้วตั้งแต่รับตัวโม๋เอ๋อร์เข้าบ้านเมื่อสามปีก่อน จากนั้นก็จัดการเก็บตัวหยูเสวี่ยกับโม๋เอ๋อร์เอาไว้แต่ในเรือน งานเลี้ยงใดก็ไม่เคยให้ไปปรากฏโฉมที่ไหนทั้งนั้น
วั่นหรงทำกระทั่งว่ายินยอมให้โหวเซินผู้เป็นสามีของตนพาฮูหยินรองที่เขารักหนักหนาพาธิดาสุดที่รักของพวกเขาออกงานแทนนาง โดยที่นางทำทีว่าเจ็บป่วยไม่สะดวกเดินทางเสียทุกครั้งไป
แม้แต่วันเกิดแต่ละปี ยังมีเล่ห์กลสารพัดมิให้ผู้ใดได้ยลโฉมบุตรสาว กระทั่งพิธีปักปิ่นอันสลักสำคัญ วั่นหรงยังให้หยูเสวี่ยแกล้งเป็นหวัดปิดหน้าเหลือแต่ดวงตา เพื่อที่ว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดที่มาร่วมพิธี ได้เห็นใบหน้าของบุตรสาวทั้งสิ้น
ตระกูลใหญ่สูงส่ง หากมีบุตรหลานเป็นบุรุษ แน่นอนว่าต้องออกย่ำพสุธาประกาศกร้าวให้ก้องฟ้า ว่าข้าคือใคร
แต่บุตรหลานที่เป็นสตรีกลับตรงกันข้าม พวกนางไม่ได้รับสิทธิ์ในการออกเที่ยวเตร่หรือปรากฏโฉมต่อธารกำนัลอยู่แล้ว สิบกว่าปีที่ได้รับการเลี้ยงดูแต่ในบ้าน เติบใหญ่อย่างมิดชิด ประคบประหงมภายในเรือนเร้น นับว่าสมควรยิ่ง
การแต่งงานที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้เห็นหน้ากันครั้งแรกเมื่อผ้าสีแดงมงคลเปิดขึ้น จึงไม่นับว่าเป็นอะไร
ทั้งนี้ในวันที่ราชโองการมอบสมรสพระราชทานมาถึงจวนโหวโดยขันทีผู้หนึ่ง
วั่นหรงยังให้หยูเสวี่ยแกล้งเจ็บป่วยหนัก ผื่นขึ้นเต็มหน้าและเนื้อตัว จำต้องน้อมรับพระราชโองการอยู่หลังฉากบังตา
ยามต้องมารับกระดาษผ้าสีทองจากมือขันที ยังเป็นนางที่ยอบกายรับเองแต่เพียงผู้เดียว
ทุกสิ่งก็เพื่อการณ์นี้ การที่วันหนึ่ง หยูเสวี่ยสุดที่รักจักต้องถูกจับยัดเยียดให้แก่บุรุษสูงศักดิ์มากภรรยา จนชีวิตไร้ความสุขเฉกเช่นนาง
โม๋เอ๋อร์จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อหยูเสวี่ยของนาง
ไม่นานต่อมา...
เมื่อความชัดเจนบังเกิดในใจด้านมืดดำจนไม่สนใจความถูกต้องในทุกสิ่ง ไม่เห็นแล้วว่าเรื่องใดควรมิควร ขอเพียงบุตรสาวสุดที่รักผู้อ่อนหวานบอบบาง ไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากด้วยมีสามีมากภรรยาทั้งยังโหดเหี้ยมเย็นชาน่าสะพรึง
วั่นหรงจึงแอบเคี่ยวกรำโม๋เอ๋อร์เป็นพิเศษโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรือระแคะระคาย
เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา ฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหวก็ดูแลสาวใช้คนสนิทของบุตรีผู้นี้อย่างดีเสมอมา
ยามฝึกฝนทุกสิ่งที่สตรีพึงมี ทั้งหยู่เสวี่ยและโม๋เอ๋อร์ก็ได้ร่ำเรียนด้วยกันอยู่แล้ว จึงไม่แปลกอันใดทั้งนั้น
ท่ามกลางการถูกฝึกหนักให้เป็นสตรีดีพร้อม โม๋เอ๋อร์ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูของฮูหยินใหญ่ตลอดเวลาว่า
“โม๋เอ๋อร์เด็กดี ต่อให้เจ้าดีดพิณไม่เก่ง วาดภาพไม่งาม ร่ายกลอนไม่ไพเราะ แต่ขอเรื่องเดียว เจ้ายั่วยวนให้มากหน่อย ร่ายมารยาเข้าไป ใส่เสน่ห์เข้าไว้ มีจริตเป็นที่สุด ทำให้ชายผู้นั้นหลงใหลเจ้าให้ได้ แล้วเจ้าจะปลอดภัย ทุกสิ่งจะลงตัว เจ้ามีอำนาจมากพอที่จะสามารถปกป้องหยูเสวี่ยได้ เพียงแค่เท่านี้ ข้าก็นอนตายตาหลับแล้ว...”
ถึงแม้ว่าโม๋เอ๋อร์จะไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากแต่เรื่องสมสู่ระหว่างเพศเมียและเพศผู้ เป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่นับว่าเป็นอันใด
นางจึงแย้มยิ้มพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทุกสิ่งไม่มีดื้อดึง