ตอนที่3 พบพาน

1302 คำ
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้า กระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่ อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรอง โม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจ นางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกิน แต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้ เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดม หน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหนูรองต้องมองอย่างนึกเอ็นดู ตัวเล็กน่ารักในอาภรณ์ลากยาวเกินวัยเยี่ยงนั้น ทำเอาฮูหยินใหญ่มีนามว่า วั่นหรง และคุณหนูรองนามว่า หยูเสวี่ย ต้องลอบยกยิ้มขบขัน ทั้งสองยกแขนป้องปากแทบไม่ทัน จึงเผลอหลุดกิริยาจนได้ โม๋เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มส่งให้ ดวงตากลมใสของนางทอประกายระยิบระยับล้อแสงตะวัน และดูเจิดจรัสยิ่งนักในครรลองสายตาแก่ผู้พบเห็น ผู้คนทั้งขบวนคือคนของสกุลโหว สาเหตุที่เดินทางก็เพื่อไปเยี่ยมเยือนคุณหนูใหญ่ที่แต่งงานด้วยสมรสพระราชทานกับอ๋องที่ครองเมืองทางเหนือ ได้เป็นถึงพระชายาแห่งจวนอ๋องและคลอดบุตรได้ไม่นาน สตรีทั้งสองที่เป็นมารดาบังเกิดเกล้าและน้องสาวร่วมสายเลือด จึงไม่อาจรั้งรอให้คนพี่ฟื้นตัวแล้วเดินทางไกลมาหาตน รีบพากันเดินทางไปให้กำลังใจถึงต่างเมือง ยามนี้กำลังเดินทางกลับจวนในเมืองหลวงต้าหมิง “ท่านแม่ ข้ารู้สึกถูกชะตากับนางเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสของหยูเสวี่ยเปรยขึ้น นางมีอายุปีนี้สิบสองพอดี สาวใช้คนสนิทที่เปรียบเหมือนพี่สาวรู้ใจกันมาแต่เด็กก็ไถ่ตัวเองออกไปแต่งงานเสียแล้ว หยูเสวี่ยจึงใคร่ได้สาวใช้ติดตามคนใหม่ที่ตนพึงใจ มิใช่ใครก็ได้ที่ถูกจัดหาโดยพ่อบ้าน หยูเสวี่ยเอ่ยกับมารดาอีกหนึ่งประโยคแม้สายตาจะกำลังจับจ้องที่สตรีนางน้อยที่ยืนยิ้มแก้มปริอยู่ไม่ไกล “ท่านแม่เรียกนางเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” วั่นหรงย่อมรู้ใจบุตรสาวจึงยิ้มแล้วเอ่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ของแม่จิตใจดียิ่งนัก เจ้าคงเจอสาวใช้ถูกใจเสียแล้วกระมัง” “ท่านแม่อย่าด่วนสรุปเลยเจ้าค่ะ บางทีนางอาจจะเป็นบุตรสาวคหบดีร่ำรวยที่บังเอิญหลงทางมาก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าการแต่งกายจะไม่อาจบอกได้เช่นนั้น หากแต่หน้าตาผิวพรรณของนางมิอาจดูเบานะเจ้าคะ” หยูเสวี่ยเอ่ยตามจริง หาได้ริษยาที่อีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามกว่าตนที่เป็นถึงคุณหนูสูงส่งไม่ สตรีสูงวัยกว่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจในนิสัยใจคอของบุตรสาว แต่ก็อดเป็นห่วงอยู่ในอกลึกๆ มิได้ นิสัยของหยูเสวี่ยอ่อนโยนจิตใจดีจนเกินไป หากวันข้างหน้าต้องตบแต่งกับชายใดที่ไม่อาจมีภรรยาเดียวได้ จักต่อสู้กับริษยาของสตรีหลังเรือนได้อย่างไร ตระกูลโหวก็ใหญ่โตเยี่ยงนี้ ค้ำชูราชสำนักไม่น้อย มีโอกาสที่บุตรสาวอาจจะได้เป็นถึงชายาในรัชทายาทเลยก็ว่าได้ วั่นหรงรู้สึกเป็นห่วงเรื่องนี้ยิ่งนัก ด้วยตัวของนางเองก็เป็นฮูหยินใหญ่ที่มีสามีมากรัก แต่งภรรยาจนเต็มเรือนเหลือเกิน ยามนี้บุตรสาวคนโตก็แต่งออกไปแล้ว ซึ่งก็หนีไม่พ้นตำแหน่งภรรยาหลวงที่สามีมากภรรยา ทว่าบุตรสาวคนโตมิเคยทำให้นางต้องเป็นกังวลเลยสักครา ด้วยรู้ดีถึงนิสัยของอีกฝ่ายว่าร้ายกาจเท่าทันปานใด นางห่วงเพียงบุตรสาวคนรองนี่ล่ะ เอาเถิด...เรื่องนี้ยังอีกยาวไกลและไม่เกี่ยวอันใดกับเรื่องตรงหน้า ค่อยๆ คิดกันไปอีกทีก็ย่อมได้ ฮูหยินใหญ่บ้านโหวคิดเช่นนั้น ก่อนจะตัดเรื่องกลุ้มใจไปแล้วสั่งสาวใช้ข้างกายให้ไปเรียกสตรีนางน้อยที่ยืนยิ้มแก้มพองให้เข้ามา เมื่อได้ยลโฉมแน่งน้อยใกล้ๆ วั่นหรงและหยูเสวี่ยถึงกับตกตะลึงในใจ กับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณของอีกฝ่าย “เจ้ามีนามว่าอะไร? เหตุใดถึงเดินทางมาคนเดียว? บิดามารดาอยู่หนใด? เจ้ากำลังจะไปไหน? ไปพบใคร?” วั่นหรงถามชุดใหญ่จนลืมหายใจ หยูเสวี่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของมารดายามซักถามอีกฝ่าย คล้ายกำลังกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับไม่ตื่นตระหนกตกใจอันใด ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เจอผู้คนนอกจากบิดาและชายหนุ่มปริศนาเมื่อหลายปีก่อน เด็กสาวก็หาได้แสดงอาการตื่นกลัวไม่ เนื่องจากในป่าใหญ่มีเรื่องตื่นเต้นมากมายจนนับไม่ถ้วน นางล้วนชาชินกับเรื่องใดๆ ทุกสิ่ง กระทั่งเจอหมีควายวิ่งเข้าใส่ เสือร้ายขู่คำราม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า นางยังนิ่งไม่สะทกสะท้านทั้งนั้น เส้นเสียงหวานใสจึงเอ่ยตอบเนิบช้า “ข้าโม๋เอ๋อร์ ไร้บิดามารดา จึงเดินทางมาเพียงลำพัง หนทางข้างหน้าล้วนแล้วแต่โชคชะตานำพา ไม่คาดหวังว่าจะเจอใครแบบใด ขอเพียงมีวาสนาต่อกัน โม๋เอ๋อร์ย่อมยินดี” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูเสวี่ยพลันยิ้มกว้าง นางรีบเอ่ยเสียงใส “ข้าหยูเสวี่ย แซ่โหว เจ้ายินดีติดตามข้าหรือไม่?” เด็กสาวเอ่ยได้ตรงมาตรงไปตรงประเด็นยิ่งนัก “อื้ม...” แม้โม๋เอ๋อร์จะไม่เข้าใจสักเท่าใด แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างยินดี ไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเสื้อผ้างดงามและอาหารหอมกรุ่นแท้ๆ “หากข้าติดตามพวกท่าน ข้าจะได้ใส่ชุดสวยๆ ได้กินอาหารรสเลิศใช่หรือไม่?” “อื้ม...” ครานี้เป็นหยูเสวี่ยที่พยักหน้าตอบรับคอแทบหัก วั่นหรงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู หากบุตรสาวได้คนติดตามที่ถูกชะตาต้องใจเป็นสหายไว้ใจได้ คนเป็นแม่ย่อมยินดีไม่คิดขัดใจ เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว แต่บางอย่างทำให้ฮูหยินโหวเริ่มครุ่นคิดเมื่อสายตาลอบพิจารณาโม๋เอ๋อร์อย่างละเอียดถ้วนถี่ เด็กสาวนางนี้มองอย่างไรก็ไม่ธรรมดาเลยสักนิด ด้วยรูปโฉมสะคราญเปี่ยมเสน่ห์ตรึงใจ แม้เยาว์วัยยังโดดเด่นแจ่มชัด ความงามพิลาศเลิศล้ำถึงเพียงนี้นี้ ต่อให้มีองค์หญิงสูงศักดิ์หลายคนมายืนเทียบเคียงใกล้ๆ เกรงว่าคงริษยาจนลูกนัยน์ตาลุกไหม้ไฟโหมเป็นแน่ วั่นหรงพยักหน้ากับตนเองน้อยๆ ยามเหม่อมองโม๋เอ๋อร์ไม่วางตา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม