เยื้องออกไปจากบ้านหลังใหญ่ มีบ้านอีกหลังตั้งอยู่ บ้านทรงตึกเรียบๆ ที่หลังคาเป็นเพียงลานโล่งและกว้างมาก มีระเบียงไม้ยื่นออกมารอบทิศทาง ทว่าไร้ซึ่งมวลดอกไม้ หรือแม้แต่ใบไม้สีเขียวปรากฏให้เห็น ตัวบ้านเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตกแต่งด้วยกระจกสีดำสนิทโดยรอบ
“นั่นบ้านใครหรือคะป้ามาเรีย” อรุณฉัตรถามป้าแม่ครัวที่กำลังสาละวนอยู่กับผักสดในอ่างล้างจาน
“บ้านคุณชาร์ลส์” ลุงโรเบิร์ตวัยหกสิบปลายๆ แต่ยังดูแข็งแรงไม่แพ้เจ้าของบ้าน เป็นคนตอบแทนภรรยาที่หันหลังล้างผักอยู่
“คุณชาร์ลส์? นี่สมาชิกของบ้านยังมาไม่ครบอีกเหรอ เอลลี่จำชื่อจะไม่ครบแล้วนะ แค่เด็กๆ เอลลี่ก็ปวดหัวแล้วค่ะ” เธอไม่ได้พูดเกินจริงเลย ก็ตอนรับงานบอกว่าดูแลลูกๆ เจ้าของบ้าน แต่เธอไม่ได้รู้นี่นาว่าเขารับเอาลูกๆ ของอดีตภรรยามาเป็นลูกบุญธรรมด้วย งานนี้ครูพี่เลี้ยงอย่างเธอเลยเจอแจ๊คพอต แสบคูณสี่เลย
“เหอะๆ ดีใจด้วยครับคุณครูพี่เลี้ยง คุณๆ ตัวเล็กๆ ดูท่าจะแสบไม่ใช่เล่น แต่อย่างนี้ดีนะ ลุงชอบ” โรเบิร์ตว่าแล้วหัวเราะเอิ๊กๆ อย่างชอบอกชอบใจ
“ว่าแต่ครูเอลลี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ ป้าจะได้ทำไว้ให้”
มาเรีย หญิงสูงวัยร่างท้วม ถามครูพี่เลี้ยงคนสวยที่เพิ่งพบกันเมื่อเช้านี้ เจ้าหล่อนดูอัธยาศัยดี หน้าตาก็น่ารักน่าชัง อย่างนี้น่าจะจับคู่ให้คุณชาร์ลส์เสียก็ดี ว่าแล้วก็คันไม้คันมืออยากให้คุณชาร์ลส์มาพบกับครูเอลลี่ไวๆ
“จริงหรือคะ เอลลี่ไม่เกรงใจน้า แต่เอลลี่เลี้ยงง่ายค่า กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่กินไม่ค่อยเป็นเวลาเท่านั้นเอง”
มาเรียพยักหน้าเข้าใจ เพราะด้วยหน้าที่ของครูสาวทำให้เจ้าหล่อนไม่สามารถรับประทานอาหารตรงตามเวลาที่ควรจะเป็น อย่างเช่นมื้อเที่ยงนี่ไง ครูเอลลี่ต้องพาเด็กๆ นอนกลางวันให้เรียบร้อยเสียก่อน เจ้าตัวถึงลงมาหาอะไรรับประทาน
“เสร็จแล้วครับครู” โรเบิร์ตช่วยยกข้าวที่อุ่นในไมโครเวฟออกมาใส่จานให้ครูสาวที่ถือช้อนนั่งรออยู่กลางห้องครัวใหญ่
“ขอบคุณค่ะลุงโรเบิร์ต สนใจทานข้าวสวยด้วยกันไหมคะ”
อรุณฉัตรชวนแต่ลุงโรเบิร์ตแสนใจดีส่ายหน้าปฏิเสธ หล่อนดีใจที่สุดที่มื้อเที่ยงของเจ้านายเป็นอาหารไทย เพราะมันหมายความว่าเธอจะได้กินข้าวสวยไปโดยปริยาย เธอชอบกินข้าวเพราะมันทั้งนุ่มทั้งหอม กินกับอะไรก็อร่อยไม่เหมือนขนมปังทั้งจืดทั้งติดคอ เธอจัดการข้าวสวยกับแกงเขียวหวาน อาหารไทยโดยฝีมือป้ามาเรียที่เป็นฝรั่งจ๋าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่เชื่อไหมว่าแกงนี่อร่อยที่สุดในโลก
สถานการณ์ภายในบ้านหลังงามท่ามกลางบรรยากาศแสนสวยของเกาะ SENTOSA เป็นไปด้วยความสงบราบเรียบอย่างน่าประหลาด นิลอรยังไม่ได้ออกตัวเป็นปรปักษ์กับอดีตภรรยาของสามีวัยเลยหนุ่มอย่างโจ่งแจ้งนัก หญิงสาวรอดูท่าทีของเอลิซไปเรื่อยๆ อย่างเงียบงันแต่ซ่อนไว้ซึ่งพลังอันเปี่ยมล้นในการต่อสู้
ราวกับว่าถ้าฝ่ายโน้นออกลายว่าคิดร้ายเมื่อใดแล้วละก็ นิลอรก็พร้อมจะลงสนามรบด้วยความร้ายกาจไม่แพ้กัน
“เราต้องผ่านมันไปได้นะคะโจอี้” เอลิซปลอบใจอดีตสามี หางตาเห็นแล้วละว่าภรรยาวัยละอ่อนของเขาแอบมองอยู่อีกฟากของสระน้ำแห่งนี้ ม่ายสาวรีบเลื่อนมือไปวางบนไหล่กว้าง เพื่อส่งกำลังใจให้เขาดังเช่นที่เคยทำเมื่อวันวาน
“ขอบใจมากเอลิซ เราคงได้แต่ภาวนาให้เราชนะ แต่ถ้าไม่ชนะก็คงต้องยอมเสียค่าปรับให้เขาไป”
โจนาธานเอ่ยเนือยๆ ขณะปัดมืออดีตภรรยาออกอย่างสุภาพ เขาพยายามแล้วที่จะไม่ให้หล่อนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น เพื่อกันไม่ให้ภรรยาคนดีได้ยินแล้วเข้าใจผิด แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ได้ผล
“คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะเอลิซ ผมอยากนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียว”
โจนาธานเอ่ยปากขอความเป็นส่วนตัว เขากำลังกลุ้มใจกับเรื่องคดีความที่ฝ่ายตนผิดเต็มประตู เมื่อสี่ปีที่แล้วเขาปลงใจเข้าร่วมเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่ของธนาคาร SHKC ในสหรัฐฯ เขายอมรับเลยว่าเพียงไม่กี่ปี เม็ดเงินที่ได้รับเป็นผลกำไรช่วยต่อยอดให้บริษัทการเงินเล็กๆ ของเขาดำเนินไปได้อย่างสวยหรูและยังสามารถเปิดธนาคารลูก เป็นสาขาในต่างประเทศได้โดยไม่มีติดขัด
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทย ตั้งแต่จับธุรกิจตัวนี้เขาก็ไม่ต้องขายที่ดินที่สะสมไว้ให้กับใคร และมันก็ทำให้ที่ดินที่มีเหลืออยู่บนเกาะสิงคโปร์มีมูลค่ามหาศาล แน่นอนว่าเขายังไม่อยากขายมันเพื่อจ่ายค่าปรับในคดีที่ธนาคาร SHKC รับฟอกเงินให้กับผู้ก่อการร้ายอย่างเด็ดขาด
“เราต้องชนะสิโจนาธาน แกต้องทำได้สิ”
โจนาธานให้กำลังใจตัวเองเมื่อเอลิซผละจากไปแล้ว ยังดีที่ภรรยาและอดีตภรรยา สามารถอยู่ร่วมบ้านกันได้ไม่มีขัดแย้ง ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องในบ้าน เขารีบต่อสายหาหุ้นส่วนในสหรัฐฯ เพื่อสอบถามความคืบหน้าในคดีความ อย่างน้อยเผื่อว่าพวกเขาจะมีทางช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
เอลิซเดินห่างโจนาธานมาช้าๆ ม่ายสาวหรี่ตาลงแล้วจ้องไปข้างหน้าขณะที่สองขาก้าวตรงไปยังมุมที่นิลอรซ่อนตัวอยู่ เจ้าหล่อนคงเห็นแล้วกระมังว่าเธอและโจนาธานพูดคุยกันอย่างสนิทสนมที่ข้างสระน้ำ