หมิ่งจิ้นเหอสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อนดูแปลกตา แต่ยังคงมาดของท่านอ๋องผู้เงียบขรึม กลิ่นอายความกดดันและสูงส่งคงติดตัวมาตั้งแต่เกิดกระมัง แม้มองจากระยะไกลยังรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากกาย
“เจียวอิง”
เสียงเรียกทำเจียวอิงที่แอบแง้มประตูอยู่สะดุ้งโหยง นางอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นและก้มหน้าเข้ามาช้าๆ
“ท่านอ๋องรู้ด้วยหรือ”
“รู้”
เจียวอิงอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นางก็แค่จะแอบดูหน่อยเดียว แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่อาจละสายตาจากชายตรงหน้าไปได้ การไม่มีหมิ่งจิ้นเหอเข้ามายุ่มย่ามในชีวิต ทำเจียวอิงรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย
“คิดถึงข้า?”
เจียวอิงเงยหน้า รีบส่ายหน้าพร้อมยกมือโบกไปมา “ข้าแค่เดินผ่านมา ไม่ได้มีเจตนาทำเรื่องเสียมารยาท”
หมิ่งจิ้นเหอยิ้มบาง “ช่วงนี้ข้ายุ่งเลยไม่ได้ไปหาเจ้า ไม่ได้คิดจะละเลยเจ้าหรอกนะ ซ้ำยังย้ำกับบ่าวไพร่ทุกคนไว้แล้วไม่ให้รังแกเจ้า มิเช่นนั้นข้าจะตัดคอพวกมัน”
เจียวอิงเบิกตากว้างมองหมิ่งจิ้นเหออย่างไม่อยากจะเชื่อ
มิน่าทำไมสาวใช้พวกนั้นถึงหลบหน้าหลบตานางนัก! มีเพียงผิงผิงที่คอยดูแลนาง แต่กับคนอื่นไม่แม้แต่จะสบตาเสียด้วยซ้ำ
หมิ่งจิ้นเหอขยับตัวเข้าใกล้ โน้มตัวลงจนใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงคืบ เอ่ยเสียงแหบพร่า “ไว้ข้ากลับมา...ค่อยชดเชยให้เจ้า”
ใบหน้างามแดงปลั่งคล้ายผลไม้สุก รีบผลักอกหมิ่งจิ้นเหอให้ถอยห่าง “นะ...นี่ใกล้เวลาแล้ว ขะ...ข้าจะช่วยท่านอ๋องแต่งตัว”
เจียวอิงเบี่ยงตัวไปด้านหลัง หยิบสายคาดเอวขึ้นมาและจัดการแต่งตัวให้หมิ่งจิ้นเหอต่อจนเสร็จ
แต่แล้วขณะที่กำลังจะก้าวถอยหลังอยู่นั้นเอง หมิ่งจิ้นเหอกลับคว้าเอวของเจียวอิงไว้และก้มลงจูบริมฝีปากของนาง
เจียวอิงตกใจในคราแรก แต่แล้วก็ต้องยอมรับว่าตนโหยหาสัมผัสนี้จากหมิ่งจิ้นเหอมากขนาดไหน สองมือยกขึ้นโอบรอบคอของอีกฝ่ายและจูบตอบเขาอย่างไม่รู้ตัว
ปฏิกิริยาของเจียวอิงราวน้ำมันราดรดบนกองเพลิง ร่างกายของบุรุษรุ่มร้อนและกระหายในตัวสตรีมากขึ้น สองมือเริ่มลูบไล้เรือนร่าง บีบเคล้นส่วนที่อ่อนนุ่มและแหวกสาบเสื้อของนางออก
“อื้ออ ทะ...ท่านอ๋อง”
เสียงหวานครางต่ำทันทีถูกดูดดึงที่ยอดอก จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วและแรงขึ้นทุกขณะ ในหัวราวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาวโพลน ความรุ่มร้อนแผ่ซ่านเมื่อถูกปลายนิ้วสัมผัสถูกจุดอ่อนไหว
“ท่านอ๋องขอรับ รถม้าเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
ทั้งสองสะดุ้งตัว หมิ่งจิ้นเหอขบกรามอย่างขัดใจ จูบเจียวอิงหนักๆ อีกหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยย้ำ “เป็นเด็กดี รอข้ากลับมาคืนนี้”
เจียวอิงมองตามแผ่นหลังตรงอย่างอาลัย ไม่เพียงเพราะโหยหาอ้อมกอดแต่ยังมีอีกเหตุผลที่นางรู้สึกหวั่นไหวต่อหมิ่งจิ้นเหอ
ในวันที่หมิ่งจิ้นเหอพูดคุยกับเล่อเยว่ฉีเรื่องการก่อกบฏและคนชั่วที่ใส่ร้ายตระกูลหลี่ เจียวอิงไม่ได้กลับห้องตามคำสั่งแต่ยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูแทน ด้วยเพราะตอนออกมาหญิงสาวแกล้งปิดประตูไม่สนิทและนั่งแอบฟังอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
หมิ่งจิ้นเหอไม่ได้มีเจตนาจะก่อกบฏตั้งแต่แรก ทั้งยังจะตรึงกำลังช่วยฮ่องเต้? ไหนเลยจะเรื่องตระกูลหลี่ บุรุษหาได้นิ่งนอนใจแต่คิดจะช่วยล้างแค้นแทนนาง
หมิ่งจิ้นเหอไม่ได้เลวมาตั้งแต่ต้นสินะ
คิดมาถึงตรงนี้ ใจของเจียวอิงก็สั่นสะท้านขึ้นมา เป็นความกลัวที่หาคำอธิบายไม่ได้ นางไม่อยากให้หมิ่งจิ้นเหอต้องมีตอนจบเฉกเช่นในนิยาย
เจียวอิงเอนกายลงนอนบนเตียงของหมิ่งจิ้นเหอ ได้กลิ่นกายอ่อนๆ ของเขาก็ทำใจหญิงสาวรู้สึกสบายขึ้นมา แต่แล้วกลับดีดตัวลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ห้อง เปิดลิ้นชักและหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปักเองขึ้นมา
ผิงผิงที่ยกน้ำชาเดินเข้ามาก็ชำเลืองมองท่าทีของเจียวอิงด้วยความสงสัย
“คราแรกคิดว่าจะรอให้คืนนี้ แต่หากหมิ่งจิ้นเหอได้พบกับนางเอกและไม่เหลือความรู้สึกดีๆ ให้ข้าอีก... ข้าจะทำอย่างไร”
แม้ในหนังสือลงนามบอกจะไม่ฆ่า แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าจะไม่เนรเทศ จู่ๆ ร่างกายพลันเย็นเฉียบขึ้นมา เจียวอิงหลับตาแน่นคล้ายกำลังสู้กับความคิดตัวเอง
“ผิงผิง”
ผิงผิงตกใจจนชาที่กำลังรินอยู่หกรดเต็มกระโปรง “จะ...เจ้าคะ แม่นางจู่ๆ เรียกข้า ข้าตกใจหมด”
“หากเจ้ารู้ว่าคนคนหนึ่งซึ่งทำดีกับเจ้ากำลังพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต เจ้าจะหยุดเขาไหม”
“เจ้าคะ? ใครอะไร จุดต่ำ ข้าไม่เข้าใจ”
“สมมติว่าเจ้าเห็นว่าลูกหมาตัวหนึ่งกำลังจะตกน้ำ เจ้าจะรีบไปช่วยมันไหม”
“ก็ต้องช่วยสิเจ้าค่ะ”
“ตะ...แต่หากช่วย เจ้าอาจตกน้ำแทนก็ได้”
“หากหมาตัวนั้นสำคัญกับข้า ข้าก็ยอมตกน้ำเจ้าค่ะ”
เจียวอิงลังเล แต่แล้วเมื่อได้ยินผิงผิงเอ่ยถาม “เจ้าหมาตัวนั้นสำคัญกับแม่นางหรือไม่เล่าเจ้าคะ”
“สำคัญสิ!” เป็นคำตอบที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด แววตาหญิงสาวเป็นประกายแน่วแน่ ถึงนางจะต้องเปลี่ยนเรื่องราวในนิยาย ถึงจะนำความซวยเข้ามาในชีวิต เจียวอิงก็พร้อมแลกเพื่อรักษาชีวิตของหมิ่งจิ้นเหอ
“ข้าจะเข้าวัง”
“หา! อย่างไรเจ้าคะ พวกเราเข้าวังไม่ได้”
“เข้าได้สิ” เจียวอิงยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “ข้ามีวิธี แล้วเจ้าต้องช่วยข้าด้วย”