ตอนที่ 5...

4227 คำ
“สาธุ! ขอให้ฉันรอดปลอดภัยจากไอ้หื่นนั่นด้วยเถอะ” พิมพ์ลภัสสวดมนต์ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก เธอค่อยๆ ลืมตา ก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละก้าว ก่อนจะมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าคนที่เธอไม่ต้องการเจอไม่ได้ดักรอแก้แค้นเธออยู่ จึงรีบวิ่งไปที่ห้องของตัวเองทันที “ขอบคุณนะคะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้ากรรมนายเวร เจ้าที่เจ้าทาง คืนนี้พิมพ์จะแผ่เมตตาให้นะคะ” เธอยกมือไหว้ท่านทั้งหลายเมื่อเข้ามาให้ห้องได้อย่างปลอดภัย “กลัวผมขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณพิมพ์” “กรี๊ด!” พิมพ์ลภัสแทบช็อค ที่เงยหน้าจากการขอบคุณสิ่งที่มองไม่เห็นแล้ว ตรงหน้าของเธอก็มีออสติน ผู้ชายที่เธอไม่อยากเจอยืนอยู่ “จะไปไหน!” ออสตินกระชากแขนเธอไว้ จนตัวพิมพ์ลภัสที่กำลังจะเปิดประตู เซถลาและล้มพับอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ผมบอกแล้วใช่ไหม ว่าคุณหนีผมได้ไม่นาน” เขาจับตัวเธอให้ยืนขึ้น ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าสบายๆ ไปที่ห้องนั่งเล่นของเธอ “เข้ามาได้ยังไง” เธอวิ่งปรี่ไปถามเขาด้วยความสงสัย “ก็เปิดประตูเข้ามา” ออสตินนั่งไขว้ห้าง และกอดอกมาเธออย่างไม่รู้สึกผิด “แล้วคุณเปิดเข้ามาได้ยังไง ถ้าคุณไม่รู้รหัส คุณก็เปิดประตูเข้ามาไม่ได้” “ก็ผมรู้ไง ผมเลยเข้ามาได้” เขายักคิ้วส่งให้เธอ ก่อนจะเอื้อมหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ “นี่คุณ! ฉันจะโทรแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก ถ้าคุณไม่ออกจากห้องฉันภายในหนึ่งนาทีนี้” “ก็โทรสิ” ออสตินหยิบปืนที่เหน็บอยู่ตรงสะโพกมาวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา “ได้! ถ้าไม่คุณออก ฉันออกเอง” พิมพ์ลภัสเหนื่อยใจเหลือเกินที่ต้องมาเจอเขา แทนที่ตอนนี้เธอจะได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง หลังจากรับมือกับเขาทั้งเรื่องงานและเรื่องที่เขาฉวยโอกาสกับเธอ แต่กลับต้องมาเจอเขานั่งอยู่ในห้องโดยที่เธอเองก็ไม่รับเชิญ แถมเขายังเหมือนโจรที่งัดบ้านคนอื่นแต่จิตใจไม่มีความสำนึกอะไรทั้งสิ้น “ถ้าไม่อยากให้พี่น้องคุณกำพร้าพ่อก็เดินออกไป” “คุณหมายความว่าไง” “ก็หมายความว่า ถ้าคุณเดินออกจากห้องนี้ไป ผมจะโทรบอกลูกน้องผมให้ฆ่าอาของคุณซะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหมือนกับการที่คนทั่วไปพูดว่าจะไปเข้าห้องน้ำ “อาดำรงค์...” “ใช่ อยากให้ลูกพี่ลูกน้องคุณขาดพ่อก็ตามใจ” “อาดำรงค์ทำอะไร ทำไมคุณถึงต้องฆ่าท่าน” “เอาเป็นว่าผมไม่ชอบทำงานร่วมกับคนโกงแล้วกัน” “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน พ่อฉันก็ไม่ใช่” เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจ และหยิบกระเป๋าเตรียมออกจากห้อง เพราะในความเป็นจริง เธอก็ไม่ได้สนิทกับอาดำรงค์เท่าไหร่ หนำซ้ำเขาคอยแต่หาเรื่องเดือดร้อนให้พ่อของเธออยู่เสมอ (“ไมค์ ไอ้คนไม่ซื่อสัตย์มันทำอะไรอยู่”) (“พาลูกมากินข้าวครับ ลูกสาวคนโต ลูกชายคนเล็ก แล้วก็ภรรยา อยู่กันพร้อมหน้าเลยครับ”) พิมพ์ลภัสได้ยินเสียงลูกน้องเขาดังออกมาจากโทรศัพท์ที่เขาตั้งใจเปิดลำโพงให้เธอได้ยิน ก็เปลี่ยนใจที่จะท้าทายเขาทันที เพราะก่อนหน้านี้แค่ครึ่งชั่วโมง น้องสาวของเธอที่เป็นลูกสาวของอาดำรงค์ เพิ่งลงรูปภาพในเฟสบุ๊คว่ากำลังทานข้าวกับครอบครัวอย่างมีความสุข (“นายจะให้ผมจัดการเลยไหมครับ”) พิมพ์ลภัสตัดสินใจวางกระเป๋า ก่อนจะเดินมานั่งห้องนั่งเล่น แล้วยืนกอดอกมองแขกที่เธอไม่ได้รับเชิญ (“ยังไม่ต้อง ปล่อยมันไปก่อน แกจะไปทำอะไรก็ทำเถอะ วันนี้ไม่ต้องกลับมาดูแลฉันแล้ว”) ออสตินตัดสาย ก่อนจะตีมือลงบนที่ว่างข้างๆ เขา เพื่อสื่อให้พิมพ์ลภัสมานั่ง “ต้องการอะไรอีก” “ให้คุณมานั่งข้างๆ ผม” “ฉันไม่นั่ง” เธอยืนยันคำตอบของตัวเองด้วยการนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวแทน “สั่งข้าวให้ผมกินหน่อย ผมหิว” “หะ?!” “ผมหิว” “ก็ลงไปกินสิ บอกฉันทำไม แล้วไม่ต้องเอาปืนมาขู่ฉันด้วย ฉันไม่กลัว!” เธอมองตาขวาง เมื่อเห็นเขากำลังเอื้อมมือไปจับกระบอกปืน “จะให้ผมกินคุณแทนใช่ไหม ถึงไม่ยอมสั่งข้าวมาให้ผมกิน” ออสตินเดินไปนั่งที่ขอบเก้าอี้ของพิมพ์ลภัส มือของเขาวางลงบนต้นขาสวย ที่เพิ่งจะได้เชยชมผ่านๆ เมื่อตอนบ่าย และเพียงแค่มือสัมผัสเนื้อนิ่มผ่านเนื้อผ้า ในใจของออสตินก็เริ่มสั่นไหว “จะกินก็ลงไปกินที่ห้องอาหาร ฉันไม่ชอบกินข้าวในห้อง มันเหม็น” พิมพ์ภลัสสะบัดมือเขาออก พร้อมลุกจากเก้าอี้ ออสตินลอบยิ้มเมื่อเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่า เธอไม่เพียงรักตัวเองเท่านั้น หากแต่ยังห่วงชีวิตของคนอื่นด้วย “ตกลงว่าจะไปไหม” เธอหยิบกระเป๋าอีกครั้ง พร้อมกับหันมามองหน้าเขาด้วยความใจเย็น ในหัวเธอเต็มไปด้วยคำถาม อาดำรงค์ทำอะไรให้เขาโกรธ เขาเข้ามาในห้องเธอได้ยังไง และเขาต้องการอะไรนอกจากตัวเธออีกหรือไม่ เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาผู้ชายใจร้าย เผื่อว่าจะค้นคำตอบอะไรเจอบ้าง แต่ยิ่งมอง ดวงตาคู่นั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้... ใกล้จนเธอลืมว่าเขามันตัวอันตราย “อื้อ!” กว่าเธอจะได้สติ เจ้าของดวงตาคู่สวยที่ทำให้เธอตกอยู่ภวังค์ก็บดริมฝีปากหยักลงบนปากเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เพียงจูบ แต่ยังใช้มือโยนกระเป๋าราคาแพงของเธอออกไปให้พ้นอย่างไร้จุดหมาย แขนยาวกำยำ ดันแผ่นหลังที่คงจะเนียนละเอียดไม่แพ้เรียวขาให้เขามาใกล้ จนเนื้อนิ่มภายใต้เสื้อที่มิดชิดกว่าตัวที่เขาบังคับให้เธอถอดออก ซึ่งคงเป็นเพราะเธอห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะใส่เสื้อผ้าปกปิดเนื้อกายแค่ไหน ออสตินก็พร้อมจะฉีกมันให้ขาดด้วยมือของเขาเอง แคว่ก! “คุณ!” พิมพ์ลภัสตาโตด้วยความตกใจสุดขีด เสื้อของเธอขาดออกจากกัน เพียงแค่เขากระชากมันครั้งเดียวเท่านั้น “ถ้าคุณตบ ผมจะดึกอีกชิ้นให้ขาดด้วย” ออสตินจับข้อมือที่กำลังง้างฟาดลงบนหน้าเขาได้ทัน “อื้อ...” เขาดันตัวพิมพ์ลภัสเข้าไปใกล้ประตูห้องนอนของผู้หญิงที่ทำให้เขาลุกเป็นไฟ ก่อนจะรวบสองแขนให้ชูขึ้นและซุกหน้าลงบนซอกคอหอมละมุนอย่างหื่นกระหาย “ปล่อยฉันนะ” พิมพ์ลภัสพยายามดิ้นหนีเอาตัวรอดสุดชีวิต แม้จะรู้ว่าสู้แรงของเขาไม่ได้เลยสักนิดก็ตาม “อื้ม...” ออสตินปาดลิ้นชื้นไปทั่วคอระหงส์ทุกตารางนิ้ว อย่างต้องการเป็นเจ้าของ พร้อมกับใช้อกแกร่งดันสองเต้าที่เสียดสีให้บดขยี้กับอกของเขาอย่างเมามัน “หยุด!” เธอบอกเขาพร้อมกับเสียงสั่นเครือ แต่ซาตานอย่างออสตินก็ไม่หยุดการกระทำอันป่าเถื่อนเลยแม้แต่วินาทีเดียว “ผมบอกแล้วว่าผมหิว!” ออสตินปล่อยแขนของเธอให้เป็นอิสระ ก่อนจะพลิกตัวเหยื่อในมือให้หันหน้าเข้ากับประตูห้อง และปลดตะขอเสื้อชั้นในของเธอจากด้านหลังภายในเวลาอันสั้น ออสตินดันสะโพกให้แนบชิดกับบั้นท้ายกลมกลึง กับออกแรงให้แท่งร้อนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กางเกงได้ระบายความเสียว และยามที่มันพยายามแทรกตัวเข้าไประหว่างก้อนเนื้อเด้งทั้งสองข้าง ออสตินก็เผลอพ่นคำสวาทออกมาอย่างเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “อื้ม... ผมอยากจะให้มันได้สัมผัสกับก้นคุณจริงๆ เหลือเกินคุณพิมพ์” “ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน...” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค มือหนาที่มีความสากเล็กน้อยก็สอดเข้ามาใต้รักแร้พร้อมกับบีบคลึงหน้าอกของเธอช้าๆ เบาๆ ตามจังหวะแท่งร้อนที่กระแทกกับก้นสวย “คุณ... ฉันขอร้อง” พิมพ์ลภัสแทบร้องไห้เมื่อเขาพลิกตัวของเธอกลับมา ออสตินจ้องมองหน้าอกของเธอตาไม่กระพริบ เขามองมัน เหมือนว่ามันเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินชื่อก้องโลก “อ๊ะ” คำขอของเธอไม่ได้ผลเลยสักนิด เพราะออสตินอ้าปากครอบงำยอดปทุมถันสีชมพูอ่อนของเธอ พร้อมกับใช้ลิ้นดุดดันมันเพื่อพิจารณาว่ามันหอมหวานเพียงใด “อาห์... ใช้ได้” เขาชำเลืองมองเธออย่างพึงพอใจ เมื่อยอดอกทั้งสองเต้าเริ่มแข็งเป็นไต และตอบสนองต่อลิ้นของเขาเป็นอย่างดี “หยุดได้ไหม” เธอใช้สองมือดันหัวไหล่ของเขาเพื่อห้ามปราบ แต่ยิ่งห้าม เขาก็ยิ่งต้องเอาชนะ “ไม่ได้ครับ... อื้ม... คุณหอมไปทั้งตัวแบบนี้ ผมจะหยุดได้ยังไง” ออสตินย่อตัวลงเรื่อยๆ ไปตามลิ้นที่ลากยาวลงมาตามหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ขอบกระโปรงทรงสอบของหญิงสาว เขาเปลี่ยนจังหวะการใช้ลิ้นและปากเป็นแผ่วเบา เพื่อค้นหาซิปกระโปรงที่ซ่อนอยู่ และเมื่อเขาเจอมัน มือใหญ่ก็ปลดซิปและกระชากมันออกพร้อมกับกางกางชั้นในของพิมพ์ลภัส "โอ้ว...” เขาแทรกมือผ่านหว่างขาคู่สวย ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาดูน้ำหวานที่เคลือบนิ้วของเขาอยู่ “หยุด!” พิมพ์ลภัสมองเขาตาค้าง ก่อนจะต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเขาช้อนตัวเธอขึ้นมาและพาเธอตรงไปยังห้องนอน “คุณ... ฉันไม่ได้โกงเงินแม้แต่บาทเดียวเลยนะ” “คุณไม่ได้โกงผม แต่คุณทำให้ผมอยากเป็นผัวคุณ” ออสตินถอดเสื้อยืดตัวเองออก พร้อมกับโน้มตัวลงไปคร่อมตัวพิมพ์ลภัสเอาไว้ กริ๊ง กริ๊ง เสียงกริ่งดังขึ้นที่หน้าห้อง “คุณนัดใครไว้” ออสตินหยุดการกระทำทุกอย่างอย่างอารมณ์เสีย “เปล่า” เธอบอกตามตรง พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แขนไปโดนอะไรมา” ออสตินเพิ่งสังเกตเห็นรอยสีม่วงช้ำที่แขนของพิมพ์ลภัส “ปล่อยฉันได้ไหม” เธอบอกเขาอีกครั้ง จนออสตินยอมใจอ่อน เพราะรู้ว่ารอยที่แขนของเธอต้องเป็นฝีมือของเขาที่ฟาดเข็มขัดลงบนเตียง แต่มันดันพลาดไปโดนเธอแน่นอน แถมเสียงกริ่งที่ดังไม่หยุด ก็ฉุดอารมณ์เขาให้ค้างเติ่งอย่างห้ามไม่ได้ “แต่งตัวซะ” เขาหยิบเสื้อยืดมาสวมก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป หน้าจอขนาดเล็กแสดงภาพแขกผู้มาเยือนที่ทำให้ออสตินยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ป๋า” พิมพ์ลภัสที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เดินออกมาจากห้องนอนก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของเธอที่ถูกเขาฉีกขาด โยนลงตะกร้าผ้า “ฉันจะบอกว่าคุณเป็นเพื่อนของฉัน” เธอมองหน้าเขาก่อนจะลูบผมให้เข้าที่ และเปิดประตูห้อง “ป๋า... มาไม่บอกไม่กล่าวเลยนะคะ” พิมพ์ลภัสยิ้มกว้างให้ผู้เป็นพ่อ ที่หอบหิ้วกล่องอาหารมามากมาย “ไม่บอกอะไรล่ะ ป๋าโทรหาหนูก็ไม่รับสาย...” ดิเรกตาค้าง เมื่อเห็นผู้ชายชาวตะวันตกยืนอยู่ในห้องของลูกสาวอันเป็นที่รัก “เอ่อ... สวัสดีครับ ผมออสติน” เขารีบทำความเคารพดิเรกอย่างรู้งาน แม้ว่าจะแกล้งชักช้าเล็กน้อย ให้พิมพ์ลภัสใจหายเล่นๆ “เพิ่งได้เจอตัวจริงก็วันนี้เองนะ” ชายสูงวัยมองเขาอย่างประเมินท่าที ก่อนจะเดินมานั่งในห้องนั่งเล่น “ดีใจที่ได้เจอคุณลุงนะครับ คุณภูมิชื่นชมคุณลุงมาก” ออสตินเดินตามมาติดๆ และรีบกล่าวถึงภัครภูมิ ลูกชายของเขาอย่างนอบน้อม จนพิมพ์ลภัสแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้ชายที่พกปืนและดิบเถื่อนแบบเขา พออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่แล้วเหมือนคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง “ลูกชายลุงก็พูดเวอร์ไป แล้วนี่เป็นไงมาไง ถึงอยู่ในห้องลูกสาวผมได้” ดิเรกถามออกมาอย่างเก็บสัญชาตญาณของความเป็นพ่อเก็บไว้ไม่อยู่ “ผมมาทักทายคุณพิมพ์ในฐานะเพื่อนบ้านน่ะครับ คุณภูมิแนะนำให้ผมรู้จักเมื่อเช้า ผมเลยคิดว่าคงไม่เสียหายอะไร หากจะทำความรู้จักกับคุณพิมพ์เอาไว้” “คนทำธุรกิจด้วยกัน รู้จักกันไว้ก็ดี งั้นกินข้าวเย็นกับผมเลยไหม ผมซื้ออาหารมาเต็มเลย เราจะได้แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องธุรกิจกันด้วย” “ยินดีครับ ขอบคุณครับคุณลุง” เขายิ้มตอบอย่างเต็มใจ ก่อนจะเหลือบมองพิมพ์ลภัสที่ยืนหน้าตาไม่สบอารมณ์อยู่ด้านหลังของผู้เป็นพ่อ “พิมพ์ เอาอาหารไปจัดใส่จานสิ” เขาหันไปบอกลูกสาวที่ยืนไร้ตัวตนเมื่อครู่ “ค่ะ” เธอรับคำสั่งและเดินไปที่ครัวอย่างเสียไม่ได้ “ผมไปช่วยคุณพิมพ์ก่อนนะครับ” “ไม่เป็นไรๆ รายนั้นน่ะไม่ค่อยเป็นแม่ศรีเรือน ปล่อยให้ทำเองบ้าง แค่จัดอาหารใส่จานเอง” อาหารมื้อเย็นผ่านไปด้วยบทสนทนาทางด้านธุรกิจของดิแรกและออสติน ที่คุยกันเข้าขาเหมือนรู้จักกันมานาน โดยที่พิมพ์ลภัสทำเพียงนั่งอยู่เงียบๆ และจดจำข้อมูลต่างๆ ที่เธอคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการพัฒนางานบริหารของตัวเอง “ผมก็เคยอยู่อเมริกาหลายปีเหมือนกันนะ ช่วงที่คิดจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ผมก็ไปศึกษาหาความรู้ที่นู่น” “แปลว่าคุณลุงต้องมีเพื่อนที่นั่นบ้างใช่ไหมครับ” “มี... มีทั้งคนที่ยังอยู่ แล้วก็คนที่ตายจากไป” ดิเรกตอบออสตินอย่างเศร้าใจ “เค้าคงเป็นคนสำคัญมากเลยนะครับ คุณลุงถึงคิดถึงมากขนาดนี้” ออสตินจับความรู้ของดิเรกได้ “มากทีเดียวเลยล่ะ ถ้าเค้ายังอยู่ เราคงมีความสุขด้วยกัน” “เสียใจด้วยนะครับ” “คนแก่ก็งี้แหละคุณออสติน ชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆ... เอาล่ะ ผมคงต้องกลับบ้านแล้ว ลูกสาวผมเค้าไม่ชอบให้คนมายุ่มย่ามเวลาพักผ่อน นี่ก็รบกวนเวลาเค้ามากแล้ว” ดิเรกดึงอารมณ์กลับมาอยู่กับปัจจุบัน พร้อมกับลุกขึ้นยืน “ผมกลับพร้อมคุณลุงเลยแล้วกันครับ ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะครับ” “ครับ... พิมพ์มาให้ป๋ากอดหน่อย” เขาหันไปหาลูกสาวที่นั่งอยู่อีกมุมห้องรับแขกเงียบๆ “กลับบ้านดีๆ นะคะป๋า ถึงบ้านแล้วบอกพิมพ์ด้วยนะ” “ดูแลตัวเองนะลูก ถ้ามีใครมาทำอะไรให้หนูไม่สบายใจก็บอกป๋า” ดิเรกชำเลืองมองออสตินเล็กน้อย เพราะในใจลึกๆ เขาไม่ไว้ใจออสตินเลยสักนิด “ค่ะ” “ไว้เจอกันใหม่นะครับคุณพิมพ์ สวัสดีครับคุณลุง” ออสตินบอกลาทั้งสอง พร้อมกับเดินออกแยกตัวออกไป “เฮ้อ... รอดตาย” พิมพ์ลภัสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอจับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เริ่มสงบลง หลังจากต้องนั่งลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าออสตินจะพูดถึงเรื่องลับๆ ของเขาและเธอหรือไม่ แต่เมื่อเขาไม่พูดวันนี้ ก็ใช่ว่าเขาจะไว้ใจได้ซะเมื่อไหร่ เพราะถึงยังไง เขาก็คือคนที่ฉวยโอกาสกับเธออยู่ดี “ที่แท้แม่ผมก็หนีมาอยู่กับพ่อคุณนี่เอง” ออสตินนั่งมองรูปภาพที่เขาได้มาจากดำรงค์ น้องชายของดิเรกที่มีนิสัยขี้โกง ไม่ซื่อสัตย์ ส่วนดิเรกคือคนที่แย่งแม่ไปจากพ่อ ของเขา ดิเรกทำให้ออสตินกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ “ในขณะที่ฉันโหยหาความรักจากแม่ แกก็นอนกับแม่ฉันอย่างมีความสุขงั้นเหรอ...” เขาจ้องมองรอยยิ้มของผู้เป็นแม่และดิเรกสมัยวัยหนุ่มสาวด้วยความคิดอันเครียดแค้น ก่อนจะปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปพร้อมกับวิวสวยเบื้องหน้าและไวน์ราคาแพงในแก้ว “ว๊าว! บังเอิญจัง” ออสตินร้องทักพิมพ์ลภัสที่ออกจากห้องพักพร้อมๆ กับเขา “ซวยอะไรแต่เช้า” พิมพ์ลภัสบ่นกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจ นี่มันเพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้น เธอตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อย เนื่องจากกังวลอยู่ตลอดเวลา ว่าออสตินจะโผล่เข้ามาในห้องเธอหรือไม่ “บ่นว่าคิดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ” “...” “นี่ตื่นเช้าหรือว่าไม่ได้นอนเพราะมัวแต่คิดถึงผม” “...” “ไม่ตอบแบบนี้ แปลว่าคิดถึงผมจนไม่กล้าบอก” “ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหม” พิมพ์ลภัสหันไปดุออสตินที่ยืนอยู่ข้างๆ ระหว่างรอลิฟต์ “ได้ครับ แต่จะยุ่งหลายเรื่อง จะไปไหนครับ” “ไปเที่ยว” “งั้นเราคงไปที่เดียวกัน” ออสตินสำรวจชุดออกกำลังกายของตัวเอง ก่อนจะมองชุดออกกำลังกายของเธอ “คุณเข้าไปสิ” พิมพ์ลภัสพยักหน้าให้เขาเดินเข้าลิฟต์ไปก่อน “ถ้าผมเข้าก่อน คุณก็จะวิ่งหนีผมกลับห้อง” “...” เธอเงียบเพราะเขารู้ทัน “ไปพร้อมกันสิคุณ ประหยัดไฟนะ” เขาจับมือเธอเดินเข้าลิฟต์ จนพิมพ์ลภัสตั้งตัวไม่ทัน “ยิ่งคุณยืนชิดผนังมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งจูบคุณได้ง่ายขึ้นนะ” “คุณต้องการอะไรจากพ่อฉันกันแน่ ฉันรู้นะว่าคุณมีแผนการบางอย่างในหัว” “ผมไม่ต้องการอะไรจากพ่อคุณ นอกจากตัวลูกสาวท่านหรอกครับ” “คุณ!” “ก็คุณถามผม ผมก็ตอบคำถามไง” “คุณนี่ทำให้ฉันเกลียดมากขึ้นทุกวันเลยรู้ไหม” “เดี๋ยวคุณจะเกลียดผมมากกว่านี้อีก” ออสตินเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้พิมพ์ลภัส เพื่อหวังจะขโมยหอมแก้มเธอสักหน่อย แต่ประตูลิฟต์เจ้ากรรม ก็เปิดกว้างขัดจังหวะเขาเสียก่อน “พี่ภูมิ!” พิมพ์ลภัสยิ้มกว้างไม่สนใจออสติน เพราะบังเอิญเจอพี่ชายคนโต “คุณออสติน...” ภัครภูมิตกใจเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “สวัสดีครับ” “สวัสดีครับ” ออสตินยิ้มตอบรับนิ่งๆ จนพิมพ์ลภัสรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของเขาที่มองพี่ชายของตน “พี่ภูมิ ไปไงมาไงถึงกลับมานอนที่นี่เนี่ย ไปกินข้าวกับพิมพ์ พิมพ์ขี้เกียจออกกำลังกายละ เบื่อคนแถวนี้” พิมพ์ลภัสจิกตาใส่ออสติน ก่อนจะลากพี่ชายเธอเดินออกมา “พี่ภูมิ งานหนักเหรอ ทำไมหน้าตาซีดเซียวจัง ได้นอนบ้างไหม” เธอถามพี่ชายด้วยความเป็นห่วง “นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น” “แน่ใจนะ บอกพิมพ์ได้นะ ถึงพิมพ์จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่พิมพ์เป็นผู้รับฟังที่ดีนะ” “พี่สบายดี พี่จัดการปัญหาพี่เองได้” “ให้จริงเถอะค่ะ ถ้าเครียดเรื่องงานพิมพ์ก็ไม่ห่วงหรอก แต่ถ้าเครียดเรื่องพนันฟุตบอล พิมพ์จะฟ้องป๋าแน่ ป๋าเป็นห่วงมากรู้ไหมพี่ภูมิ ครั้งก่อนป๋าก็เค้นถามพิมพ์จนพิมพ์ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงแล้ว ถ้าพี่ภูมิติดหนี้พวกนี้อีก พิมพ์ช่วยไม่ได้แล้วนะ” “พี่รู้แล้วน่า ทุกวันนี้ก็ลดๆ ลงแล้ว” “ลดลงของพี่ภูมินี่ลดกี่บาท ครั้งที่แล้วก็บอกลด แล้วเป็นยังไงล่ะ หมดไปกี่ล้านกี่แสน ไม่รู้จะเล่นอะไรเยอะแยะ พิมพ์เข้าใจนะว่ามันสนุก มันท้าทาย แต่พี่ภูมิเล่นเยอะไป แล้วพี่ภูมิก็เข้าบ่อนทุกครั้งที่ว่าง แบบนี้มันไม่ไหวนะพี่ภูมิ” “พิมพ์! ให้พี่เริ่มต้นวันด้วยการได้ยินอะไรดีๆ บ้างไม่ได้หรือไง พิมพ์เป็นน้องสาวนะ บ่นเหมือนเป็นแม่เลย” ภัครภูมิพูดอย่าหงุดหงิด “ก็พิมพ์หวังดีนิ การพนันมันไม่ดีเลยนะพี่ภูมิ” “พี่พยายามเลิกอยู่ โอเคไหม” เขาเดินหนีน้องสาว เพราะไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น “เออ! พิมพ์จะคอยดู ทำให้ได้แล้วกัน เดือดร้อนอะไรก็อย่ามาขอให้พิมพ์ช่วย! พิมพ์จะไม่ช่วยพี่ภูมิแล้วนะ!” เธอตะโกนตามหลังพี่ชายคนโตอย่างทนไม่ไหวเหมือนกัน เพราะภัครภูมิพี่ชายของเธอมีข้อเสียที่แก้ไม่หาย คือเขาหมกหมุ่นและลุ่มหลงการพนันมาหลายปี และยากที่เยียวยา แต่หากตัดเรื่องนี้ทิ้งไป เขาคือพี่ชายที่น่ารักกับเธอเสมอ “ผมว่าคุณฟังที่น้องสาวคุณบอกก็ดีนะครับ” ออสตินยืนแอบฟังสองพี่น้องคุยกันอยู่ห่างๆ ปรากฏตัวดักหน้าภัครภูมิเอาไว้ “คุณออสติน” “ลูกน้องที่บ่อน รายงานให้ผมฟังว่า เงินที่คุณยืมจากบ่อนมันมากขึ้นทุกวัน และดวงคุณช่วงนี้ก็ไม่ค่อยดีซะด้วย” “ผมหาเงินมาใช้คุณแน่ แต่ผมขอเวลาสักหน่อย” “สักหน่อยนี่เท่าไหร่ล่ะครับ คราวก่อนก็สามเดือน แต่ผมได้เงินมาแค่หนึ่งล้าน จากห้าล้าน แล้วคราวนี้จะขอกี่เดือนล่ะครับ ทบต้นทบดอกแล้วก็เกือบยี่สิบล้าน เอ๊ะหรือสามสิบล้าน” “...” ผู้เป็นลูกหนี้หน้าซีดเพราะเถียงไม่ออก “แต่ไม่เป็นไรครับ ช่วงนี้ผมอารมณ์ดี แค่คุณก็บริหารบริษัทขนส่งที่ผมเป็นหุ้นส่วนให้ได้กำไรตามเป้า ผมก็พอใจแล้ว” “ผมไม่ได้เอาเวลางานไปเข้าบ่อนหรอกครับ” “ผมทราบครับ ว่าคุณไม่เอาเวลางานไปเข้าบ่อน แต่เรื่องเงินจากงาน... อาจจะไม่แน่” “ผมขอตัวนะครับ” ภัครภูมิตกเป็นรองออสตินจนสู้อะไรเขาไม่ได้ “เดี๋ยวครับ!” ออสตินยืนกอดอกมองเขาอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า “ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดีนะ ถ้าคุณคิดจะร่วมมือกับใครสักคนทำร้ายผมล่ะก็... ถอนตัวซะตอนที่ยังมีโอกาส ผมไม่อยากเห็นน้องสาวคุณเสียใจที่มีพี่ชายไม่ได้เรื่องแบบคุณ” “ผมกับอาดำรงค์ไม่ได้คิดจะทำร้ายคุณ” “ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเป็นอาของคุณ แต่ก็ขอบใจนะครับที่บอก ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาสืบให้เหนื่อย เจอกันที่ประชุมตอนบ่ายครับ” ออสตินเดินจากไป และทิ้งให้ภัครภูมิยืนกำหมัดด้วยความแค้น “คุณออสติน!” เสียงพิมพ์ลภัสดังขึ้นจากด้านหลัง แต่เขาก็ไม่หยุดเดิน และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าหล่ออีกครั้ง “คุณออสติน รอฉันก่อน!” เธอก้าวเท้ายาวๆ ตามเขาไป “คุณออสติน! อย่าแกล้งทำเป็นหูตึงได้ไหม!” เธอตะโกนเสียงดัง จนออสตินยอมหยุดเดิน “ว่าไงครับ” เขาส่งยิ้มกวนประสาทให้เธอ “พี่ฉันเป็นหนี้คุณเท่าไหร่” “นี่คุณทำตัวเป็นคนสอดรู้สอดเห็นตั้งแต่ตอนไหนคุณพิมพ์” “ก็ตั้งแต่รู้จักคนเป็นนิสัยโจรอย่างคุณไง” “ปากดีๆ แบบคุณเนี่ย ต้องโดนผมจูบอีกกี่รอบใช่ไหม คุณถึงจะพูดจากับผมให้มันเพราะๆ บ้าง” “คุณออสตินขา บอกพิมพ์มาเถอะนะคะ... แหวะ! แบบนี้ฉันไม่ทำหรอก ทุเรศ!” เธอทำเสียงอ่อย พร้อมกับจับมือเขาขึ้นมาจับไว้ ก่อนจะสะบัดมันลงอย่างรังเกียจ ออสตินที่ไม่ทันตั้งแต่ว่าจะเจอทั้งความอ้อนและความยั่วโมโห ยืนอึ้งอยู่หลายวินาที เพราะแค่เธอเอ่ยคำหวานไม่กี่ประโยค หัวใจของเขาก็เต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ “ถ้าอยากรู้เรื่องพี่ชายคุณ คืนนี้ไปดินเนอร์กับผม ผมจะให้คนมารับคุณที่นี่” “ไม่ไป” พิมพ์ลภัสส่ายหัวปฏิเสธอย่างรุนแรง “ก็แล้วแต่” เขาเดินหนีเธออย่างไม่สนใจใยดี “ฉันไปก็ได้” เธอตัดสินใจยอมออสติน เพราะอยากรู้เรื่องของภัครภูมิ ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของเธออยู่ดี และเธอก็ไม่อาจทนเห็นเขาถูกทำร้าย หรือถูกข่มขู่แบบดำรงค์ “ดี! แต่งตัวสวยๆ แล้วกัน เดินข้างๆ ผมจะคู่ควรหน่อย” เขาหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มให้เธออย่างกวนประสาท “ฉันแต่งตัวสวยทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องสั่งหรอก” “แต่ถ้าจะให้ดีก็ไม่ต้องใส่อะไรมาเลย เพราะว่ามันสวยกว่า เข้าใจไหม” ออสตินทิ้งประโยคสุดท้ายให้คนฟังโมโหเล่นๆ ก่อนจะก้าวเท้าวิ่งออกกำลังกายอย่างสบายใจ “ไอ้... ไอ้... ไอ้ฝรั่งขี้นก!” พิมพ์ลภัสนึกคำด่าออก ก็เมื่อเขาวิ่งออกไปไกลแล้ว เธอถอนหายใจออกมาด้วยความกังวล เพราะไม่อยากอยู่ใกล้เขาเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม