ตอนที่ 3...

3087 คำ
“ร้ายนะครับนาย ถึงกับลงทุนซื้อห้องราคาเป็นสิบล้าน เพื่ออยู่เมืองไทยแค่ไม่กี่เดือนเลยนะครับ” ลูกน้องคนสนิทนามว่า ไมค์ เอ่ยปากแซวเจ้านายอย่างรู้ทัน “อยากได้อะไรก็ต้องลงทุนหน่อยสิวะ แล้วฉันก็มั่นใจมากด้วยว่ามันจะคุ้มค่า แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย” “แล้วเรื่องพี่ชายของเธอล่ะครับ นายจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอครับ” มาร์ค อีกหนึ่งลูกน้องคนสนิทถามออสติน “ปล่อยไปก่อน เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีทบต้นทบดอกรวบยอดทีเดียว” “ผมรู้นะครับ ว่านายคิดอะไร” ไมค์ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้เจ้านาย แต่ออสตินมองเขานิ่งๆ ซึ่งทำให้ไมค์รู้ดีว่าตัวเองพูดมากเกินไป “แล้วเรื่องคนที่จะส่งไปทำงานที่บ่อน ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” “เรียบร้อยแล้วครับนาย ทุกคนเซ็นเอกสารยินยอมหมดแล้ว และทุกคนก็ดูตื่นเต้นที่จะได้ทำงานด้วย” “งานดี เงินดีแบบนี้ มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละที่ให้ได้... จัดการให้ดี อย่าให้พวกตำรวจระแคะระคาย เมืองไทยยังใหม่สำหรับเรา แต่อีกไม่นานเมื่อเราเอาเงินฟาดหัวไอ้พวกตำรวจเห็นแก่เงินได้ ธุรกิจเราก็จะง่ายขึ้น” “ครับนาย” “ฉันเปิดห้องไว้ให้พักแกแล้ว ต่อไปนี้พอฉันกลับมาถึงโรงแรม ไม่ต้องคอยดูแล พักผ่อนให้เต็มที่” “ครับนาย” สองหนุ่มบอร์ดี้การ์ดมองหน้ากันอย่างเข้าใจความคิดของผู้เป็นเจ้านาย (ป๋าขา วันนี้พิมพ์ขายห้องสวีทได้ด้วยนะคะ ลูกค้าจ่ายเงินสดเลยค่ะ เป็นหุ้นส่วนใหม่ของบริษัทพี่ภูมิ) พิมพ์ลภัสโทรศัพท์บอกข่าวดีกับพ่ออย่างตื่นเต้น (โอ้โห! เก่งจังเลยลูกป๋า แบบนี้ได้ค่าคอมมิชชั่นหลายแสนเลยนะ) (แน่นอนสิคะ เดี๋ยววันศุกร์นี้ พิมพ์จะเลี้ยงข้าวป๋ากับพี่ภูมิและพี่พลเองค่ะ นี่เป็นเงินก้อนแรกจากการทำงานโรงแรมของพิมพ์เลยนะคะ) (แล้วคุณออสตินเค้าซื้อห้องไหนไปล่ะ) (ห้องที่อยู่ข้างๆ พิมพ์ค่ะ เค้าเดินดูไม่นาน ก็ตัดสินใจซื้อเลย ว่าแต่... ป๋ารู้จักเค้าด้วยเหรอคะ) (รู้สิ รายนี้กระเป๋าหนักใช้ได้เลยนะ แถมยังมีหัวทางธุรกิจใช้ได้ทีเดียว) (แต่พิมพ์ว่าคุณออสตินเค้าดูน่ากลัวออกนะคะ ไปไหนมาไหนก็มีคนคอยตามตลอดเวลา แถมเวลาเค้ายิ้ม มันไม่เหมือนคนอื่นยิ้มเลยค่ะ เหมือนเค้ามีอะไรซ่อนอยู่เต็มไปหมด เอ่อ... แค่นี้ก่อนนะคะป๋า) พิมพ์ลภัสรีบตัดสาย ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพราะผู้ชายที่เธอกำพูดถึง ปรากฏตัวอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเธอ “ขอโทษที่เข้าจังหวะการนินทาผมนะครับ” ออสตินเดินกอดอกตรงมาหาเธอช้าๆ สายตาเขามองเธออย่างกินเลือดกินเนื้อ “คุณออสตินมีธุระอะไรอีกหรือเปล่าคะ” พิมพ์ลภัสไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เธอเพียงแค่ระวังตัว ขณะที่เขาเดินวนรอบโต๊ะทำงานของเธอเท่านั้น “ผมเอาปากกามาคืน” ออสตินล้วงปากกาจากด้านในเสื้อสูท ก่อนจะโน้มตัวโอบเธอจากด้านหลังและวางมันลงบนโต๊ะทำงาน และแม้ว่าจะมีพนักพิงเก้าอี้คั่นระหว่างเขาและพิมพ์ลภัสเอาไว้ แต่เธอก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว “ขอบคุณค่ะที่เอามาคืน” เธอเหลือบตามองปากกาก็จำได้ว่าเป็นของเธอจริงๆ พิมพ์ลภัสพยายามขยับหน้าหนีเขา แต่ไม่ว่าจะขยับไปทางซ้ายหรือทางขวา ใบหน้าที่มีหนวดเคราจางๆ ขึ้นเต็มคางและสันกราม ก็เลื่อนตามจนเธอขนลุกซู่ไปทั้งตัว “รู้ไหมว่าปกติเวลาที่ผมได้ยินคนพูดจาถึงผมมั่วๆ ผมจัดการคนพวกนั้นยังไง” ออสตินสะบัดเสื้อสูทออกเล็กน้อย และกระบอกปืนสีดำที่เขาเก็บซ่อนไว้ที่สะโพก ก็ปรากฏต่อสายตาของพิมพ์ลภัส เธอพยายามใจดีสู้เสือ ไม่หวั่นกลัวไปกับการข่มขู่ของเขา และถามเขาอย่างท้าทาย “ยังไงเหรอคะ” “อย่างนี้ไง!” ออสตินหมุนเก้าอี้ทำงานของเธอเข้าหาตัว ก่อนจะหยุดมันด้วยมือเพียงข้างเดียว มืออีกข้างของเขารวบศีรษะพิมพ์ลภัสเอาไว้ ไม่ให้ขยับไปไหน “อ๊ะ...” พิมพ์ลภัสถูกเขาจูบโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว ตาเธอลุกวาวด้วยความตกใจ ปากเธออ้าค้างอย่างไม่รู้ตัว จนลิ้นยาวของออสตินแทรกเข้ามาในโพรงปากของเธอได้อย่างง่ายดาย เขาใช้ลิ้นวนไปทั่วทั้งปากหอมอย่างหาคำตอบว่าเพราะอะไรเธอถึงเป็นผู้หญิงที่ปฏิเสธความต้องการของเขา แต่เหมือนเธอจะไม่ยอมบอกใบ้เลยแม้แต่น้อย เพราะลิ้นเรียวของเธอถูกเก็บซ่อนไว้ลึกเหลือเกิน “อื้ม...” ออสตินเชยคางมนของพิมพ์ลภัสให้สูงขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ใช้ลิ้นชื้นสำรวจเธอให้มากขึ้น และเมื่อได้ท่าที่เหมาะสม เขาก็เจอเป้าหมายสักที “หยุด!” พิมพ์ลภัสดันเขาออกห่าง แต่กลับถูกเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้เธอยิ่งขึ้น แถมมือใหญ่ยังโอบหลังของเธอไว้ และดันมันเข้าหาอกเขาอีกด้วย “หวังว่าเราจะได้รู้จักกันมากขึ้นกว่านี้นะครับ... คุณพิมพ์ลภัส” ออสตินหยุดตามคำสั่ง เขากระชับเสื้อสูทให้เข้าที่ ส่วนเจ้าของห้องที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติ “ที่จริงผมกะว่าจะกลับมาชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงกับผมอีกครั้ง แต่ตอนนี้คุณคงไม่พร้อม ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ ก็ตามผมมาได้เลยนะ” เขาหันมาบอกเธอทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของพิมพ์ลภัสไป “เดี๋ยวค่ะคุณออสติน” เสียงพิมพ์ลภัสดังขึ้น จนพนักงานด้านนอกหยุดการกระทำทุกอย่าง รวมถึงออสตินและลูกน้องของเขาด้วย “เปลี่ยนใจแล้วเหรอครับ” ออสตินหันมายิ้มอย่างผู้ชนะ เพี้ยะ! “ไปกินกับผีไป!” พิมพ์ลภัสฟาดมือลงบนหน้าเขาจนออสตินหน้าหันไปตามแรงของนิ้วเรียวทั้งห้า เขาใช้มือใหญ่ลูบหน้าตัวเองที่แสบร้อนเพราะแรงกระแทก “มานี่!” รอยยิ้มเฉือดเฉือนถูกส่งให้พิมพ์ลภัสเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะแบกเธอขึ้นบ่า แล้วพาร่างบางที่ดิ้นไปดิ้นมาบนไหล่ของเขาออกจากออฟฟิศของเธอทันที “ชั้นเจ็ดสิบ!” เขาหันไปสั่งลูกน้องที่ยังอึ้งอยู่เล็กน้อยให้กดลิฟต์ “ไม่ต้องตาม ไปทำงานที่ฉันสั่งให้เรียบร้อย” ออสตินสั่งทั้งสองเสียงดุ เมื่อเห็นพวกเขากำลังจะตามเข้าลิฟต์มาด้วย “ครับ” ทั้งสองก้มหัวตอบรับ พร้อมกับที่ประตูลิฟต์ปิดลง “จะทำอะไรฉัน...” พิมพ์ลภัสขยับตัวหนีออสตินที่เดินตรงมาหาเธอเรื่อยๆ หลังจากที่เขาโยนเธอลงบนเตียง “ฆ่าคุณไง คุณจะได้ตายเป็นผี แล้วก็ไปกินข้าวกับผม” ออสตินถอดเน็กไทออกจากคอเสื้อ พร้อมกับจับมันม้วนกับมือตัวเอง “คุณจะฆ่าฉันด้วยเน็กไทเนี่ยนะ” เธอยังคงหาญกล้าที่จะต่อร้อต่อเถียงกับเขา “ผมไม่ฆ่าคุณด้วยวิธีสิ้นคิดแบบนั้นหรอกนะ เพราะสิ่งที่ผมจะทำ มันยิ่งกว่าคุณโดนเน็กไทรัดคอให้ขาดอากาศหายใจซะอีก” “อย่าคิดจะทำอะไรเลวๆ กับฉันนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย” พิมพ์ลภัสขู่เสียงดัง แม้รู้ว่าเขาจะไม่เกรงกลัว “ก็เอาสิ! ร้องให้สุดเสียงเลยนะ ถ้ามันจะทำให้คนข้างนอกได้ยิน แต่ก็คงจะยากหน่อย เพราะผมจำได้ว่าคุณสมบัติของผนังห้องนี้ มันเก็บเสียงได้ดีมาก หรือถ้าเกิดจะมีคนได้ยิน ก็คงจะเป็นเจ้าของห้องข้างๆ ผม แต่น่าเสียดายนะ บังเอิญจริงๆ ที่ตอนนี้เค้าดันอยู่กับผมซะแล้ว เอาแขนมา!” ออสตินพูดช้าๆ อย่างกวนประสาท ก่อนจะจบประโยคด้วยการตะคอกและดึงแขนพิมพ์ลภัสมัดเข้าเน็กไทผ้าเนื้อดี จนข้อมือเล็กถูกพันธนาการไว้กับหัวเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ “คุณนี่มันตัวอันตรายจริงๆ” เธอมองหน้าเขาอย่างรังเกียจ “คุณบังคับให้ผมต้องทำแบบนี้นะคุณพิมพ์ แค่ไปกินข้าวกับผมมันยากเย็นนักหรือไง ทำไมถึงต้องให้ผมเอ่ยปากชวนคุณถึงสามครั้ง ครั้งแรกก็เมื่อคืนบนดาดฟ้า แล้ววันนี้คุณยังกล้าที่จะปฏิเสธผม ทำเหมือนผมเป็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ” ออสตินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ แถมสีหน้าของเขาก็ขึงขังเหมือนยักษ์ที่ไม่รู้จักคำว่ารอยยิ้ม “คุณจะให้ฉันไปกินข้าวกับผู้ชายที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ แล้วก็เพิ่งเจอกันครั้งแรกเนี่ยนะ คุณบ้าหรือเปล่า ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะไปไหนกับใครก็ได้นะ” “แล้ววันนี้คุณก็รู้จักผมแล้วทำไมคุณไม่ไปกับผม!” เขากระชากปืนคู่กายมาทุบโต๊ะเครื่องแป้งดังลั่นด้วยความโกรธ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าต่อร้อต่อเถียงเขาขนาดนี้ “ก็ฉันไม่อยากไป คนธรรมดาที่ไหนเค้าพกปืนติดตัวตลอดเวลาแบบคุณกันล่ะ คุณอาจจะเอาฉันไปฆ่าก็ได้” “ผมจะฆ่าคุณก็เพราะคุณเถียงผมไม่หยุดสักทีนี่แหละ!” เพล้ง! “โธ่เว้ย! ทำไมมันน่าหงุดหงิดแบบนี้วะ” ออสตินโยนรูปปั้นเซรามิกลงพื้นอย่างไม่สนใจใยดี “ทำบ้าอะไรหะ! ฉันปั้นเองกับมือเลยนะ” พิมพ์ลภัสพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากการผูกมัด แต่ก็ทำไม่สำเร็จ “หึ! จะเอาค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ว่ามา แค่นี้ผมมีปัญญาจ่ายอยู่แล้ว” เขามองมันสลับกับผู้หญิงที่สร้างความโกรธให้เขา ก่อนจะใช้ปลายรองเท้าหนังราคาแพงเขี่ยเศษรูปปั้น และเตะมันไปไกลๆ “ตอนแรกฉันแค่คิดว่าคุณไม่น่าคบ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้ให้เปลืองทรัพยากรธรรมชาติเลย อยู่ไปก็เปลืองออกซิเจน” “คุณพิมพ์!” “อะไร! หรือว่าฉันพูดไม่จริง! จิตใจคุณทำด้วยอะไรหะ ทำไมต้องทำร้ายทั้งคน ทั้งสิ่งของ เป็นบ้าเหรอ หรือพ่อแม่ไม่รัก ขาดความอบอุ่นหรือไง ถึงต้องทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้” “คุณว่าอะไรนะ...” ออสตินอยู่ในจุดสูงสุดของความโกรธ เขาถอดเสื้อสูทออก พร้อมกับพับแขนเสื้อเชิ๊ตขึ้นเรื่อยๆ “หูตึงเหรอ ฉันถามว่าคุณเป็นบ้า หรือพ่อแม่ไม่รัก หรือขาดความอบอุ่น” “ปากดีนักนะ” เขาตรงเข้ามาบีบพวงแก้มพิมพ์ลภัสเอาไว้ “อ่อย!” เพราะแรงบีบของเขา ทำให้เธอพูดไม่ชัด “ไม่ปล่อย!” เพียงเสี้ยววินาที เขาก็แทรกเข้าไปในโพรงปากที่อ้าออกจากกันอย่างรวดเร็ว ลิ้นชื้นของพิมพ์ลภัสที่ขยับตามจังหวะการร้องห้าม ถูกเขาดักเอาไว้ทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าลิ้นของเธอจะไปทางไหน ลิ้นเรียวของเขาก็จับทางได้ตลอด “ยังจะปากดีอีกไหมครับคุณพิมพ์” ออสตินยิ้มมุมปากให้เธอ ก่อนจะแก้มัดข้อมือเธอให้เป็นอิสระ “ขอบใจ ที่อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นคนอยู่บ้าง” “ก็ยังปากดีอยู่นิ” “อื้อ...” พิมพ์ลภัสทุบอกเขาไม่เป็นจังหวะ ทั้งทุบ ทั้งดันตัวเขาให้ออกห่าง แต่ยิ่งดัน เขาก็ยิ่งเบียดตัวเข้ามาใกล้จนตัวเธอนอนราบไปกับเตียง ออสตินกระชากสองมือที่ทำร้ายร่างกายเขารวบสูงขึ้น ก่อนจะลากลิ้นชุ่มออกจากโพรงปากและใช้ปลายลิ้นถูไถไปตามสันกรามได้รูป และซอกคองามระหงส์จนเขาหายใจติดขัด เพราะแทบจะคลั่งตาย “หอม...” เขาดันตัวเข้าหาร่างบางของพิมพ์ลภัสมากขึ้น จนทั้งตัวของเขาแนบชิดกับเธอจนแทบจะเป็นคนๆ เดียวกัน หน้าอกใหญ่ที่ออสตินจินตนาการว่าคงสวยงามไม่น้อย ดันหน้าอกของเขาอย่างหาทางหนีรอด แต่สาวเจ้ากลับไม่รู้เลยว่า ยิ่งเธอดันมากเท่าไหร่ มันยิ่งเหมือนเชื้อไฟที่เขามาเติมความร้อนแรงของเขามากขึ้น “หยุดนะ!” เธอร้องห้ามและขยับตัวหนีเท่าที่จะทำได้ “มีของดีอยู่ในมือ ใครหยุดก็โง่แล้ว” ออสตินผลักตัวพิมพ์ลภัสให้นอนลงบนเตียงอีกครั้ง เขามองดูเธอที่ขยับตัวหนีเขาด้วยความกลัวอย่างผู้ชนะ มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตตัวเองออก ก่อนจะกระชากร่างบางที่กำลังลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว “จะไปไหน! ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าคุณจะต้องทรมานยิ่งกว่าขาดอาการหายใจ” สองมือที่บีบต้นแขนของเธออยู่ ทำให้พิมพ์ลภัสเจ็บปวดเหลือเกิน... “โอ๊ย!” และยิ่งเข้าโยนเธอลงบนเตียงเป็นรอบที่ร้อย เธอก็ยิ่งเกลียดเขามากขึ้นเป็นพันเท่า “อื้ม...” ออสตินถอดเสื้อเชิ๊ตออกจากตัวก่อนจะโยนลงพื้นและกระโจนเข้าใส่เหยื่ออันโอชะอย่างพิมพ์ลภัส สิงโตเจ้าป่าอย่างเขาคำรามขู่เบาๆ หวังให้เหยื่อยอมจำนนแต่โดยดี “หอม... สวย...” ปลายนิ้วเลื่อนไล่ไปตามแขนนวลช้าๆ จนมาหยุดอยู่ที่เนินอกที่ล้นออกมาจากส่วนเว้าของคอเสื้อ “แล้วก็นิ่มด้วย... อาห์” ออสตินลูบคลำสองเต้าช้าๆ อย่างเร้าอารมณ์ เขาพยายามใจเย็นให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้สำรวจและชื่นชมความสวยงามตรงหน้าอย่างเต็มที่ “กรี๊ด! ไอ้โรคจิต” ออสตินถลกกระโปรงพิมพ์ลภัสขึ้นมาไว้ที่เอวบาง ก่อนจะกระชากกางเกงชั้นในของเธอลงมากองที่ข้อเท้า “สวยมาก...” เขาลูบไล้ไปตามขาเรียวยาวทั้งสองข้างที่แนบชิดติดกัน “อ้าออกเดี๋ยวนี้คุณพิมพ์!” เขาสั่งเธอเสียงดุ แต่สายตาไม่ละจากหว่างขาที่มีเส้นขนปกคลุมอยู่บางตา นั่นคงเป็นเพราะเธอแว๊กซ์มันออกเพื่อให้ใส่บิกินี่ได้อย่างสวยงาม “ไม่! เอามือสกปรกๆ ออกไปจากตัวฉัน” เธอหยิบหมอนฟาดหัวเขาอย่างจัง “หยุด! ถ้าคุณไม่หยุด ผมจะจับไอ้นี่ยัดเข้าไปในตัวคุณ” เขาตะโกนเสียงดัง มือใหญ่ก็ลูบเป้าเกงเกงที่ถูกอวัยวะภายในดันขึ้นมาจนเป้ากางเกงแทบขาด “ถอดเสื้อคุณออกเดี๋ยวนี้” ออสตินออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชา และสายตาของเขาแทบจะฆ่าพิมพ์ลภัสให้ตายทั้งเป็น “ถอดออกเดี๋ยวนี้คุณพิมพ์” น้ำเสียงเยือกเย็นของเขาทำให้พิมพ์ลภัสขนลุกไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว คำพูดของเขาเหมือนยาพิษที่อาบร่างกายของเธอไว้ให้ขยับไปไหนไม่ได้ เธอมองดูเขาปลดเข็มขัดหนังสีดำมันเงา และกางเกงสแล็คเข้ารูปที่ถูกเจ้าของถอดออกจนทั้งตัวของเขาเหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นตัวเดียวเท่านั้น “ผมจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไอ้เสื้อตัวนี้มันยังอยู่บนตัวคุณ ผมจะไม่ใจเย็นอีกต่อไป” ป๊าบ! เสียงเข็มขัดเส้นยาวฟาดลงบนเตียง เฉียดตัวพิมพ์ลภัสไปไม่กี่นิ้ว “หนึ่ง” “สอง” พิมพ์ลภัสยังคงนั่งนิ่ง ไม่ทำตามที่เขาต้องการ “สะ...” “โทรมาทำเชี่ยอะไรตอนนี้วะ!” ออสตินฟาดเข็มขัดลงบนเตียงอีกครั้งด้วยแรงโทสะ ก่อนจะตรงไปล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูท (“กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าโทรมาตอนนี้”) พิมพ์ลภัสดึงกางเกงชั้นในขึ้นมาใส่ช้าๆ อย่างระมัดระวัง เพราะกลัวเขาจะได้ยินเสียง (“ถ้ามันไม่ทำกติกาก็ยิ่งทิ้งแม่งให้หมด”) เธอสะดุ้งเล็กน้อยขณะลุกออกจากเตียง และหยิบเสื้อผ้าของเขาที่กองอยู่ที่พื้นติดมือมาด้วย (“สร้างปัญหาให้กูไม่จบไม่สิ้นจริงๆ ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง คงต้องให้ฉันเอ่ยปากเองสินะ”) พิมพ์ลภัสเดินย่องออกจากห้องด้วยปลายเท้า เธอหันมามองออสตินอย่างรังเกียจ (“อีกหนึ่งชั่วโมง เอารถมารับฉันที่หน้าโรงแรม”) เธอรู้ว่าเขาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว จึงลงน้ำหนักที่เท้าและออกตัววิ่งทันที “คุณพิมพ์! กลับมาเดี๋ยวนี้!” เขาหันมาเจอหลังของเธอวิ่งออกจากห้องนอนก็รีบวิ่งตามเธอไป โดยลืมว่าตัวเองนั้นมีเพียงกางเกงตัวจิ๋วปกปิดร่างกาย พิมพ์ลภัสวิ่งสุดแรงเกิดไปที่ห้องพักของเธอที่อยู่อีกฝั่งของตึก เธอหันหลังมองเขาทุกสองวินาที จนหยุดอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง เธอใช้นิ้วโป้งสแกนไปที่เครื่องอ่านลายนิ้วมือ ที่กำลังประมวลผลเสร็จในสามวินาที สาม... “คุณกล้าหนีผมได้ยังไงหะ” เสียงออสตินดังใกล้เข้ามา “เปิดสิๆ” เธอยืนไม่นิ่งด้วยความใจร้อน สอง... “คุณหนีผมไม่พ้นแน่” อีกไม่กี่เมตร ออสตินก็จะถึงตัวเธอแล้ว หนึ่ง... ติ๊ด พิมพ์ลภัสดันประตูเปิดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ออสตินคว้าแขนของเธอไว้ “ปล่อยฉันนะ!” “ไม่ปล่อย!” “ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!” เธอใช้เท้าเตะเข้าไปกลางเป้าของเขาอย่างทนไม่ได้ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในห้อง พร้อมกับประตูที่ปิดลง และเสียงร้องของออสตินที่แสนจะเจ็บปวด “โอ๊ย! คุณพิมพ์! เปิดประตู!” “อี๋! ขยะแขยงเว้ย!” เธอโยนเสื้อผ้าเขาลงถังขยะ และวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ เธอถอดเสื้อผ้าออกจนหมดอย่างรวดเร็ว เธอล้างทุกสัมผัสของออสติน ทุกที่ที่เขาจับต้อง ทุกที่ที่เขาเลื่อนมือผ่าน เธอถูมันสุดแรงอย่างรังเกียจ “คุณหนีผมได้อีกไม่นานหรอกคุณพิมพ์!” ออสตินใช้กำปั้นทุบกำแพงเพื่อระบายอารมณ์โกรธ ก่อนจะเดินกลับห้องพักของตัวเองด้วยความแค้นใจที่โดนเธอหักเหลี่ยมมาเฟียอย่างเขา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม