ภายในปั้มน้ำมัน
รถมอเตอร์ไซด์ 4 สูบ ค่อยๆ ชะลอความเร็วลดลงอย่างช้าๆ หลังจากขับเคลื่อนมาด้วยความเร็วสูงจนคนนั่งซ้อนท้ายแทบจะกระเด็นตกถนนตายอยู่หลายรอบ หากแต่ตรงกันข้ามเจ้าชายหนุ่มรูปงามทรงชื่นชอบการขับรถและใช้ความเร็วสูงเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อมาพบคนประเภทเดียวกันจึงมิต้องคิดเลยว่าจะทรงยินดีมากมายเพียงใดกันเล่า
พระวรกายสูงใหญ่ลงจากรถทันที ครั้นเมื่อตัวรถเริ่มจอดนิ่งสนิทดีแล้ว พร้อมทอดพระเนตรเจ้าของรถ 4 สูบกำลังลงจากรถของตัวเองเพื่อเติมน้ำมัน
“ผู้ชายอะไรรูปร่างบอบบาง แต่แบกรถคันเบ้อเริ่มไหวได้อย่างไงกัน”รับสั่งรำพึงเมื่อทอดพระเนตรเจ้าของรถ 4 สูบตรงพระพักตร์
“จะเติมน้ำมันใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมออกค่าน้ำมันให้เอง”
พระองค์รับสั่งพร้อมทำท่าล้วงกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก๊ตก่อนจะส่งเสียงพระสรวลแห้งๆ ออกมา ด้วยเพราะทรงหลงลืมไปว่าได้ถอดเสื้อสูทที่มีกระเป๋าเงินซึ่งเต็มไปด้วยบัตรเครดิตมากมายอยู่ภายในนั้น
“ผมลืมไปว่าถอดเสื้อสูทให้ไว้กับองค์....”รับสั่งได้เพียงเท่านั้นก็หยุดลงด้วยพลั้งเผลอก่อนจะรีบเปลี่ยนประโยคทันที
“เออ...ขอโทษด้วยครับ พอดีผมถอดเสื้อสูทให้ไว้กับคนขับรถก็เลยไม่มีงะ...เงิน”เจ้าชายหนุ่มรูปงามรับสั่งสะดุดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเจ้าของรถกำลังถอดหมวกกันน็อก และพระเนตรคู่สวยก็มีอันต้องเบิกกว้างเมื่อเจ้าของรถคันดังกล่าวถอดหมวกกันน็อกจนเผยโฉมใบหน้าที่แท้จริงออกมาให้เห็นเต็มสองพระเนตร
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ! เรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ว่าแต่คุณไปทำอะไรมาถึงมีแต่คนวิ่งตามถ่ายรูปให้ของขวัญแบบนั้น เป็นนักร้องหรือว่าเป็นดารา”คำกล่าวแสนซื่อราวกับว่าไม่รู้จักคนตรงหน้าว่าแม้จริงแล้วคือผู้ใด
เจ้าชายฮาคิมขวัญใจสตรีสาว ผู้ที่มีแฟนคลับไปทั่วโลก ทอดพระเนตรเจ้าของรถ 4 สูบตรงหน้าพระพักตร์ด้วยความตื่นตะลึงครั้นเมื่อทรงล่วงรู้ว่า คนตรงหน้าพระองค์นั้นแท้จริงแล้วเป็นสตรีเพศหาใช่บุรุษไม่
ผมสีดำสนิทยาวถึงบั้นเอวกำลังปลิวสยายไปกับสายลม ดวงหน้างามปราศจากเครื่องสำอางแต่งเติม เผยผิวขาวผ่องนวลเนียนสะอาดตาและเต็มไปด้วยเลือดฝาดของวัยสาว ดวงตากลมโตดั่งเช่นตากวางมองพระพักตร์ของพระองค์พร้อมส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร
“สวย..งดงามมาก”รับสั่งเป็นภาษาอาหรับออกมาอย่างชื่นชมที่กลั่นออกมาจากพระทัย ก่อนจะมารู้สึกพระองค์เมื่อหญิงสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์
“คุณอา!ไม่ได้ยินที่ถามอย่างนั้นเหรอ”หญิงสาวใช้คำดังกล่าวเรียกแทนพระองค์
และนั้นทำให้เจ้าชายรู้สึกพระองค์ขึ้นมาทันใด
“วะ...ว่า...ว่าอะไรนะ! เมื่อสักครู่เรียกผมว่าอาอย่างนั้นเหรอครับ”รับสั่งด้วยความรู้สึกตกพระทัย พลางยกพระหัตถ์ลูบไล้พระพักตร์ของพระองค์เพื่อสำรวจความชราภาพของตน
อือ!!!! หญิงสาวส่งเสียงพร้อมพยักหน้าขึ้นลง
“ถ้าไม่ให้เรียกว่าอาแล้วจะให้เรียกว่าอะไรเหรอคะ เท่าที่ดูแล้วคุณอาอายุมากกว่าหนูตั้งเยอะเลย”หญิงสาวตอบกลับมาตามความเป็นจริง
และนั่นเล่นเอาคนฟังแทบเข่าอ่อนเพราะยังรับไม่ได้ที่ถูกเรียกเช่นนั้น อาการกลัวแก่กำเริบขึ้นทันตาเห็น
“ผมชื่อฮาคิม เรียกแบบนี้จะดีกว่าอย่าเรียกว่าอาเลย รับไม่ได้จริงๆ”รับสั่งกับหญิงสาวพลางทอดพระเนตรสตรีวัยรุ่นตรงหน้าไปทั่วร่างงามด้วยความพึงพอพระทัยอย่างยิ่งยวด
ร่างงามอรชรสูงระหงประมาณ 170 เซนติเมตร ในชุดแจ๊คเก๊ตหนังสีดำเข้ากับกางเกงหนังสีดำซึ่งรับกับรองเท้าบูทหนังกลับสีดำเช่นกัน สไตล์การแต่งตัวมีคลาสและมีรสนิยมแฝงเร้นความเป็นส่วนตัวสูง ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าหล่อนเมื่อได้ยินพระองค์ทรงมีรับสั่ง
“ออ...สงสัยจะกลัวแก่”หญิงสาวลากเสียงล้อเลียนอย่างอารมณ์ดี มือเรียวสวยยื่นมาตรงหน้าเพื่อแนะนำตัวเอง
“สวัสดีค่ะคุณฮาคิม ฉันชื่อแคทลียา เรียกสั้นๆ ว่าลีย่าก็ได้นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”แม่สาวน้อยส่งยิ้มหวานให้กับพระองค์กลับไป
รอยยิ้มหวานของแม่สาวน้อยเล่นเอาเจ้าชายจากดินแดนอาหรับถึงกับนิ่งงัน ผู้หญิงอะไรยิ้มสวยจริงๆ ติดตรึงอยู่ภายในพระทัยอย่างไม่รู้ลืม
พระหัตถ์ยื่นเข้าไปสัมผัสกับมือเรียวสวยของสาวเจ้า พร้อมยกขึ้นประทับจุมพิตลงบนหลังมือขาวนวลเนียนตามประเพณีนิยมของชาวตะวันตก หากแต่สำหรับพระองค์นั้นนี่คือครั้งแรกที่ทรงปฏิบัติต่อสุภาพสตรี
กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ส่งกลิ่นขจรกระจายไปทั่วร่างงาม จมูกโด่งสันได้รูปสัมผัสผิวนวลเนียนและกลิ่นหอมจากร่างของยอดพธูได้อย่างชัดเจน กลิ่นหอมละมุนจากกายของเนื้อนวลติดตรึงในพระทัยอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
พระดรรชนีทำหน้าที่ลูบไล้ผิวเนื้อนวลไปมาด้วยความพึงพอพระทัย แม่สาวน้อยตรงเบื้องพระพักตร์นอกจากจะมีกลิ่นกายอันหอมกรุ่นแล้ว เธอยังมีสุขภาพผิวที่ดีมากๆ ทั้งเนียนนุ่มและละเอียดยิ่งนัก
“ยินดีที่ได้รู้จัก....ลีย่า”พระองค์รับสั่งตอบหญิงสาว
พระเนตรคมดุทอดพระเนตรใบหน้าแสนสวยซึ่งงามอย่างเป็นธรรมชาติ ดั่งเช่นนางในวรรณคดีของไทยหรือดั่งเช่นเทพธิดา หรือของเหล่าทวยเทพตามความเชื่อของชาวอาหรับอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน และแล้วเจ้าชายหนุ่มชื่อก้องได้ทรงพานพบหญิงสาวที่ทำให้พระทัยติดตรึงอยู่กับเธอเข้าให้เสียแล้ว
“แม่สาวน้อยตัวหอมของฉัน”รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัย พระเนตรจับอยู่ที่ดวงหน้างามอยู่เช่นนั้นไม่มีที่ท่าว่าจะทรงละสายพระเนตรไปทางอื่น
ภาพเหตุการณ์เมื่อ 6 เดือนก่อนเมื่อทรงได้พบกับลีย่าเป็นครั้งแรก พระองค์ยังทรงจดจำได้เป็นอย่างดี แม่สาวน้อยจากประเทศไทยกระชากหัวใจแกร่งของชีคหนุ่มจากดินแดนทะเลทรายนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ทรงได้พานพบ
และนับตั้งแต่วินาทีหลังจากนั้นต่อมาพระหทัยจากที่ไม่เคยมีสตรีนางใดเข้ามาอยู่ตลอดระยะเวลา 35 ปี กลับมีแต่เพียงแม่สาวน้อยชาวไทยนามว่าแคทลียา เข้ามาครอบครองภายในพระหทัยจนมิอาจปล่อยให้หญิงสาวใช้ชีวิตในวัยแรกรุ่นต่อไปได้อีก
หากแม้นปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนานกว่านี้ พระองค์จะต้องเสียผู้หญิงที่ทรงตกหลุมรักทันทีที่ได้พบไปอย่างแน่นอน
ด้วยเพราะอยากครอบครองลีย่า ชีคฮาคิมจึงอาศัยโอกาสที่ทรงถูกพระราชบิดากำหนดให้พระองค์ต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงในแถบคาบสมุทรอาหรับซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์เช่นเดียวกัน ซึ่งจะอภิเษกสมรสเข้ามาเป็นพระชายาลำดับที่หนึ่ง
และพระองค์ได้ใช้เหตุผลดังกล่าวร้องขอความช่วยเหลือจากท่านทูตและแคลียาว่าพระองค์มีความจำเป็นที่จะต้องอภิเษกพระชายาที่ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ เพื่อนำมาคานอำนาจของวังหลังและถ่วงดุลพระราชอำนาจจากพระญาติใกล้ชิดของว่าที่พระชายาลำดับที่หนึ่ง
ซึ่งพระองค์ได้เจรจากับท่านทูตบิดาของแม่สาวน้อยแสนสวย เพื่อให้หญิงสาวแสร้งทำทีเข้าทำพิธีอภิเษกสมรสและจะต้องจดทะเบียนสมรสกับพระองค์พร้อมกับเจ้าหญิงอาหรับซึ่งเป็นพระญาติในวันเดียวกัน
โดยชีคฮาคิมทรงให้สัญญากับลีย่าว่า จะใช้แผนการนี้เพียงแค่หกเดือนเท่านั้น หลังจากผ่านพ้นหกเดือนไปแล้วพระองค์จะทรงหย่าขาดจากหญิงสาวเพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตสามัญชนคนธรรมดาดั่งเดิมตามที่เธอต้องการ และรวมไปถึงพระชายาที่พระราชบิดาได้ทรงเลือกเอาไว้ให้ ก็จะถูกหย่าขาดจากพระองค์ไปด้วยเช่นกัน
โดยการเข้าพิธีอภิเษกสมรสของลีย่าในครั้งนี้แลกกับสิทธิทางการค้าและการติดต่อประสานงานทางการทูตระหว่างประเทศไทยและนครวาฮิรัมที่มีผลต่อผู้ใช้แรงงานไทย
ตลอดจนแผนทางเศรษฐกิจที่จะต้องใช้เวลาพิจารณานานให้ได้รับความสะดวกและอนุมัติง่ายขึ้น ซึ่งผลงานดังกล่าวเอกอัครราชทูตไทยคนต่อไปจะได้รับผลงานและมีบทบาทระหว่างประเทศอย่างยิ่งยวดซึ่งนั้นก็คือ
นายอัครเดช อัศวเมธากุล ซึ่งกำลังจะเดินทางมารับตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำนครวาฮิรัม ภายหลังงานอภิเษกสมรสของพระองค์และลีย่าผ่านพ้นไปแล้วนั่นเอง
“ลีย่าหายไปไหน ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”รับสั่งรำพึงออกมาเบาๆ
พร้อมภาพเหตุการณ์ของช่วงหกเดือนก่อน เมื่อครั้งที่พระองค์ได้พานพบสาวเจ้าเป็นครั้งแรก ผุดพรายขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง แววพระเนตรหม่นหมองด้วยเพราะทรงห่วงสตรีที่หลงรักจนใจแทบขาดรอนยิ่งแล้ว
ทันใดนั้นดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและอ่อนโยนแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ครั้นทรงคิดได้ว่าหากแม้นว่าที่เจ้าสาวของพระองค์ไม่ได้หนีงานพิธีอภิเษกสมรสแล้วไซร้ หากเป็นผู้อื่นพรากนางไปเล่า
“หรือว่าจะมีใครพยายามขัดขวางไม่ให้ลีย่าแต่งงาน”รับสั่งรำพึงพร้อมทรงครุ่นคิด ครั้นเมื่อทรงทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ทรงคิดได้ว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“ลีย่าไม่เคยพึงใจชายใด แม้จะมีชายหมายปองมากมายก็ตาม นักสืบก็หาข้อมูลส่งมาให้จนหมดแล้วเธอไม่มีใครในหัวใจ ประเด็นนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ นอกจาก....”รับสั่งได้เพียงเท่านั้น ดวงเนตรคู่สวยลุกวาวขึ้นมาทันใดครั้นทรงคิดกลับกัน
“หรือว่าจะเป็นชายอื่นที่พรากลีย่าไปจากเรา ถ้าเป็นประเด็นหลังใครมันหาญกล้ามาล้วงคองูเห่าเอาเจ้าสาวของเราไป!”เจ้าชายหนุ่มรับสั่งสุระเสียงเข้ม เสด็จพระดำเนินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิดก่อนจะหยุดนิ่งโดยพลันเมื่อทรงคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“หรือว่าจะเป็นเฮนรี่!”สุระเสียงรับสั่งชื่อของบุรุษที่พระองค์ทรงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกันในเมื่อเฮนรี่ก็ตายไปแล้ว และตายเพราะ...”
รับสั่งเพียงเท่านั้นสุระเสียงเงียบงันลงโดยพลันหาได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก แต่แล้วก็ทรงนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้
“เราจำได้แล้ว! เรือควีนอารีน่า มันเป็นของกลุ่มบริษัทอาเชอร์ ลีย่าหายตัวไปแบบนี้มันจะต้องมีอะไรเกี่ยวโยงกันแน่”พระองค์มีรับสั่งออกมาด้วยความมั่นพระทัย อันเกิดมาจากลางสังหรณ์อันแม่นยำ
“องครักษ์!”สุระเสียงรับสั่งดังก้อง
เพียงอึดใจเดียวองครักษ์หน้าห้องทรงพระอักษรปรากฏกายขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าชายมีพระประสงค์สิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปจัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ เราจะออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่เรือควีน อารีน่า เดี๋ยวนี้!”รับสั่งพร้อมเสด็จออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายที่พระองค์ทรงต้องการ
ทะเลทรายอาหรับ
ณ.โอเอซิสกลางทะเลทราย
เฮลิคอปเตอร์ส่วนบุคคลลำเขื่อง บินเข้าสู่ทะเลทรายอาหรับหลังจากที่จอดรอรับร่างหญิงสาวชาวไทยซึ่งเป็นว่าที่เจ้าสาวของเจ้าชายแห่งนครรัฐวาฮิรัม
เมื่อเรือเร็วขับออกจากเรือสำราญควีน อารีน่า มุ่งตรงมายังชายฝั่งที่ติดกับทะเลทรายอาหรับ ซึ่งประเทศที่ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอาหรับนั้นจะติดกับทะเลทั้งสิ้นและมีทะเลทรายอาหรับซึ่งกินพื้นที่ถึง 7 ประเทศด้วยกันเลยทีเดียว
และในเวลานี้ เฮลิคอปเตอร์ส่วนบุคคลของกลุ่มบริษัทอาเชอร์ โดยคำสั่งของผู้เป็นนายใหญ่โลแกน อาเชอร์ ค่อยๆ ร่อนลงกลางทะเลทรายอย่างช้าๆ เม็ดทรายมากมายมหาศาลลอยละลิ่วฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ก่อนจะหยุดลงพร้อมใบพัดที่ค่อยๆ ดับสนิท
เบื้องหน้าคือกระโจมที่พัก ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของชนเผ่าเบดูอินที่อาศัยอยู่กลางทะเลทราย ภายในกระโจมมีเครื่องใช้และเครื่องนอนสำหรับพักแรม
ร่างอรชรค่อยๆ เคลื่อนย้ายเข้ามาในกระโจมก่อนจะวางลงบนฟูกนอนที่ยัดด้วยขนแกะหนานุ่ม พร้อมผ้าห่มผืนบางคลี่ออกอย่างช้าๆ เพื่อปกคลุมร่างป้องกันอากาศอันหนาวเหน็บยามเวลากลางคืนในทะเลทราย
“แน่ใจหรือว่าจะปล่อยผู้หญิงคนนี้ไว้เพียงลำพังกลางทะเลทราย ขอบอกเลยนะว่าไม่รอดหรอกมีแต่ตายกับตายสถานเดียว”เสียงพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอาหรับบอกกับชายชาวตะวันตกร่างใหญ่นั้นก็คือโนอาร์นั้นเอง
“เธอไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะเจ้านายไม่ปล่อยให้เป็นอะไรไปแน่นอน ตรงกันข้ามห่วงว่าจะโดนนายท่านใช้วิธีอะไรจัดการกับเธอมากกว่า”หนุ่มใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“อ้าว! นี่ผู้หญิงของเจ้านายอย่างนั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้นทำไมเอามาอยู่กลางทะเลทราย ใครเขาทำกันเล่าสาวๆ สวยๆ แบบนี้ดูอายุแล้วน่าจะแค่ 20 ต้นๆ เท่านั้น ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบหรอก พวกหล่อนชอบความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกมีเพียบพร้อม ให้มาอยู่กลางทะเลทราย ร้อนจนแทบบ้าแบบนี้ไม่มีหรอกที่จะอยู่กันได้”ชายในวัยกลางคนซึ่งมีเชื้อสายของชนเผ่าเบดูอินกล่าวออกความเห็น
“แม่สาวน้อยคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงของนาย แต่เธอถูกพามาด้วยเหตุผลบางอย่าง นายอย่ารู้เลยเอาเป็นว่าสิ่งที่นายให้จัดเตรียมตลอดระยะเวลาการเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม”ประโยคสุดท้ายหนุ่มใหญ่หันกลับมาถามเพื่อนร่วมงาน
“เตรียมเรียบร้อยแล้ว ไม่มีขาดตกบกพร่องแต่ขอถามหน่อยเถอะ คิดอย่างไงที่จะเดินทางเข้าประเทศโอมานโดยใช้เส้นทางทะเลทรายแทนที่จะนั่งเครื่องบินไปใช้เวลาก็ไม่นาน นั่งเครื่องอึดใจเดียวก็ถึงแล้วจะมาลำบากลำบนรอนแรมกลางทะเลทรายแบบนี้ไปทำไมกัน ไม่เข้าใจจริงๆ เลย”เพื่อนร่วมงานขี้สงสัยเอ่ยถามมิรู้วาย
“เอาเหอะนะอย่าถามให้มากความเลย มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถามมากไปก็เท่านั้นจะเอาไหมเงินนะ เดี๋ยวไม่ให้เสียเลย! ไม่ต้องอยากรู้ไปเสียทุกเรื่อง”โนอาร์กล่าวอย่างรำคาญ เล่นเอาเพื่อนร่วมงานปิดปากตัวเองทันใด
“ไม่ถามแล้ว! ใครบ้างจะไม่อยากได้เงิน งานแค่นี้สบายๆ แต่ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำไม่ทำก็บ้าแล้ว ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้จะเดินทางกลางทะเลทรายไปกับกองคาราวานเพียงคนเดียวอย่างนั้นเหรอโนอาร์”หากแต่ไม่วายเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เช่นเคยสินะ
หนุ่มใหญ่ทอดสายตามองเพื่อนร่วมงานขี้สงสัยอย่างเขม็งเกรียวจนคนถูกมองรู้สึกตัวขึ้นมาโดยพลัน
“แหะๆ โอเคไม่ถามแล้วก็ได้”เสียงบ่นพึมพำออกมา
“เธอเดินทางไปกับกองคาราวาน ใครบอกว่าไปคนเดียว แต่ถ้าบอกว่ามีเธอเพียงคนเดียวเดินทางไปกับกองคาราวานนั้นแหละใช่...”โนอาร์ตอบกลับเพื่อนร่วมงานกลับไป
“นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินเถอะ ฉันต้องรีบกลับไปเตรียมรับมือตามคำสั่งของเจ้านาย และอีกไม่นานนายท่านก็จะเดินทางมาถึงที่นี่”
“ฮือ! นายว่าอะไรนะโนอาร์ เจ้านายจะมาที่นี่นะเหรอ กลางทะเลทราย...ตรงนี้!”กล่าวพร้อมใช้นิ้วชี้ของตนชี้ลงบนพื้น
“เออ...เดี๋ยวเจ้านายก็มาถึง อย่าถามให้มันมากนักเลยเตรียมตัวนำเครื่องขึ้นบินได้แล้ว”กล่าวพร้อมเดินนำหน้าออกจากกระโจมทันที โดยมีร่างของเพื่อนร่วมงานตามไปติดๆ
หนุ่มใหญ่เดินตรงดิ่งไปยังเฮลิคอปเตอร์ ก่อนจะใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมติดต่อสื่อสารเพื่อรายงานให้นายของตนได้ล่วงรู้และทันทีที่ปลายสายกดรับ
“เรียบร้อยแล้วครับเจ้านาย ตอนนี้สิ่งที่นายต้องการอยู่ในกระโจม”
“ทำได้ดีมาก อีกไม่นานฉันจะถึงกระโจม นายไปเตรียมตัวรับมือเจ้าชายฮาคิมตามแผนที่วางเอาไว้เพราะอีกไม่นานพระองค์ต้องมาที่เรือนั้นแน่นอน ใครบ้างจะไม่ล่วงรู้ว่าเรือควีนอารีน่าเป็นของตระกูลอาเชอร์ ดีไม่ดีอาจจะมาภายถึงในวันนี้เสียด้วยซ้ำไป หากจัดการทางนั้นเรียบร้อยไปเจอกันที่โอมาน”เสียงปลายสายสั่งกำชับก่อนจะตัดการสนทนา
หนุ่มใหญ่ให้สัญญาณกับเพื่อนร่วมงานเพื่อเตรียมตัวนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินอีกครั้ง ครั้นเครื่องค่อยๆ ลอยตัวสูงขึ้นเหนือผืนทรายจนสามารถมองเห็นเบื้องล่างเป็นบริเวณวงกว้าง พ่อเพื่อนร่วมงานขี้สงสัยกล่าวขึ้นมาทันที
“โนอาร์! นั่นกองคาราวานที่เจ้านายจ้างมาให้ร่วมเดินทางกับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”
อือ! เสียงตอบรับสั้นๆ กลับไป
“รีบบินกลับกันเถอะ ฉันมีงานที่จะต้องรีบกลับไปจัดการต่อ กองคาราวานคงจะถึงที่หมายอีกไม่เกิน 15 นาที ผู้หญิงคนนั้นก็จะไม่ได้อยู่ตามลำพังแล้ว อีกหน่อยก็มีเพื่อนร่วมเดินทางตั้งเยอะ”
“เฮ้ย! ระยะทางที่นายเห็นจากข้างบนลงไปไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกนะโนอาร์ เห็นจากนี่เหมือนใกล้แต่เดินทางจริงๆ แล้วใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงเลยเชียวนะ ถามคนที่โตมากับทะเลทรายอย่างฉันนี่”เพื่อนร่วมงานกล่าวย้อนแย้งตามความเป็นจริงของตน
“ว่าอย่างไงนะ! ใช้เวลาถึงหกชั่วโมงเลยอย่างนั้นเหรอ!”โนอาร์ถามย้ำกลับไปเพื่อความแน่ใจ
“ก็ใช่นะสิ”เพื่อนขี้สงสัยตอบสวนกลับทันควัน
ครั้นโนอาร์ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีเขียวมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ผืนทรายเบื้องล่าง ก่อนจะมองไปที่กองคาราวานที่กำลังเดินทางอยู่เหนือเนินทรายไม่ไกลจากกระโจม
“นายท่านคงจะมาทันก่อนที่คุณลีย่าจะตื่นจากยาสลบอยู่กระมัง วางยาแรงซะขนาดนั้นคงไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ หรอก”โนอาร์รำพึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เฮลิคอปเตอร์บินกลับไปยังจุดหมายของตน
ท่ามกลางทะเลทรายเวิ้งว้างจนสุดสายตา กระโจมขนาดย่อมตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังกลางผืนทราย โดยมีหญิงสาวชาวเอเชียหลับใหลไม่ได้สติเพราะฤทธิ์จากยาสลบ กองคาราวานที่กำลังเดินทางอยู่เหนือเนินทรายถัดออกไปนั้น มาพร้อมกับบุรุษซึ่งเป็นตัวการนำเธอมาอยู่กลางทะเลทรายในขณะนี้
เขาและเธอต้องโคจรมาพบกันโดยอีกฝ่ายหนึ่งตั้งใจลักพาตัวมาเพื่อกระทำทรมาน กับอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองจะออกมาเป็นเช่นไร เมื่อพานพบบุรุษแปลกหน้าซึ่งมีความเคียดแค้นอยู่ภายในใจ หากแต่ภายในใจส่วนลึกของบุรุษผู้นั้นกลับแฝงเร้นความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเธอเอาไว้ภายในอย่างเงียบๆ