ปูเป้รีบเข้าไปประคองด้วยการยกแขนซ้ายของเขาพาดข้ามคอของตนเอง คราวนี้คนทั้งสองก็เหมือนกับกำลังเดินกอดคอกันแล้ว เขาลงน้ำหนักที่เท้าขวาได้ไม่เต็มที่แต่จะให้เธอประคองด้านขวาก็ไม่ได้เพราะเหมือนจะแขนหัก เขาขบกรามแน่นข่มความเจ็บปวดให้เธอประคองเข้าในลิฟต์
“คุณมิกกี้เป็นอะไรไปครับ?” เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์เห็นคนทั้งสองประคองกันออกจากลิฟต์ก็แปลกใจเพราะเขารู้ว่าชายหนุ่มพักอยู่คนเดียว ส่วนหญิงสาวนั้นอยู่คนละชั้นกับเขา
“ผมขาแพลงแล้วก็สงสัยว่าจะแขนหักด้วย”
เจ้าหน้าที่ได้ยินก็ตกใจรีบหันไปบอกหญิงสาวที่เฝ้าอยู่ด้วยกันว่าจะช่วยพากคุณมิกกี้ไปโรงพยาบาล
‘อืม...มีชื่อเล่นน่ารักซะด้วย! ดูท่าคงเป็นหนุ่มออฟฟิศแถวนี้’
“คุณนี่มัน....หืม..กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะ” มิกกี้เบือนหน้าหนีกลิ่นตัวคนข้างๆ
“ขอโทษค่ะ เมื่อคืนฉันเมามากจริงๆ”
ชายหนุ่มทำสายตาเอือมระอา เขาไม่อยากจะถือสาผู้หญิงที่ทำงานกลางคืนหรอกเพราะพนักงานของเขาก็มีแบบเธออยู่มากมาย
“คราวหลังคุณก็ดื่มให้น้อยๆ หน่อยก็ได้ ไม่มีใครบังคับไม่ใช่เหรอ?” เขารู้ว่าชุดกี่เพ้าแดงคือเล้าจน์ไฮโซของเจ๊เจนคู่แข่งของเฮียแจ็ค ทั้งสองเปิดเล้าจน์อยู่ใกล้กัน มิกกี้ได้ยินเฮียแจ็คบ่นเรื่องนี้ให้ฟังทุกครั้งที่ไปนั่งดื่มด้วยกัน
ปูเป้หน้าเจื่อนดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเธอทำงานอยู่ไหน? “ก็เมื่อคืนพวกเขาจ่ายกันหนักนี่คะ เงินทั้งนั้นใครจะไม่อยากได้”
ชายหนุ่มถอนหายใจ เรื่องนี้เขาไม่อาจจะห้ามเธอได้ ในเมื่อมันเป็นงานที่สร้างรายได้จำนวนมาก ไม่ว่าใครอยู่ในสถานการณ์นั้นก็คงเลือกทำเหมือนเธอ เล้าจน์ของเจ๊เจนคงจะแอบเปิดรับเฉพาะลูกค้าวีไอพีและต้องแอบทำการเพราะช่วงนี้รัฐบาลมีมาตรฐานป้องกันโรคระบาดเข้มงวดนัก
“เดี๋ยวๆ พวกคุณสองคนไม่พกหน้ากากอนามัยมาด้วย ไม่ได้นะครับ! ออกไปข้างนอกโดนสังคมประณามแย่” เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบไปเปิดลิ้นชักในเคาน์เตอร์แล้วหยิบของสำคัญออกมาสองชิ้นยื่นให้กับปูเป้ “รีบใส่เถอะครับ เพื่อความปลอดภัย”
ปูเป้กล่าวขอบคุณเธอรับมาสวม แต่พอเขาหันไปยื่นให้มิกกี้ชายหนุ่มจึงค่อยๆ คล้องสายข้างหนึ่งกับหูแล้วดึงไปคล้องอีกข้าง เขายืนด้วยการแตะปลายเท้าข้างที่แพลงลงกับพื้นเพื่อช่วยในการทรงตัวขณะที่เธอปล่อยมือเพื่อสวมหน้ากากอนามัย
“มีรถเข็นอยู่นะคะ น่าจะดีกว่าพยุงกันเดินไป” เจ้าหน้าที่หญิงหน้าเคาน์เตอร์รีบร้องบอกก่อนที่คนทั้งสามจะพยุงกันออกไปหน้าตึก “เมื่อวานลูกค้าชั้นสิบฝากเอาไว้ข้างล่างค่ะ เห็นว่าเดินได้เป็นปกติแล้ว”
“ดีจริง! มาๆ คุณมิกกี้เดี๋ยวผมเข็นคุณเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้ามีรถเข็นก็ให้คนทำร้ายผมเขาแสดงน้ำใจเถอะ คุณต้องเฝ้าตึกคอยดูแลคนอีกมาก”
ปูเป้รู้สึกละอายแก่ใจเธอจึงรีบยืนยันกับพนักงานคนนั้นว่าเธอจะเป็นคนเข็นผู้เคราะห์ร้ายไปเอง ชายหนุ่มเม้มปากเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ตนเองยิ้มออกมา เขาหันหลังให้เธอกระทั่งเธอเข็นรถมาใกล้
“นั่งสิคะ! เราจะได้ไปหาหมอกัน”
หญิงสาวที่เพิ่งสร่างเมาเข็นรถพาชายหนุ่มขาแพลงแขนหักไปจนถึงคลินิก หน้าปากซอย ดีที่มีเครื่องเอ็กซเรย์ให้บริการเมื่อหมอยืนยันว่าเขาแขนหักและเรียกให้รถพยาบาลไปส่งต่อที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้ๆ ปูเป้ก็ต้องตามไปด้วย
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าใบเล็กที่เธอสะพายมาด้วยดังขึ้น ปูเป้ควักออกมารับระหว่างที่มิกกี้ไปเข้าเฝือก
“ปูเป้! เธอไม่อยู่ห้องเหรอ? เมื่อคืนเธอสภาพนั้นยังตื่นได้อีก” ปลายสายทำเสียงหงุดหงิดทั้งๆ ที่เป็นห่วงมากถึงกับต้องตื่นมาดูเพื่อนรักแต่เช้า ครั้นดั้นด้นมาถึงคอนโดมิเนียมกลับไม่เห็นตัวคน
“เกิดเหตุด่วนน่ะสิ! ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาลใกล้บ้านน่ะ”
“อ้าว! เธอเป็นอะไร?”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกแต่บังเอิญทำเพื่อนบ้านบาดเจ็บน่ะ เลยต้องพาเขามาส่งโรงพยาบาล”
แพมมี่ร้องว้ายเข้ามาในโทรศัพท์คำหนึ่งเมื่อฟังเรื่องราวจนจบ
“จะร้องทำไมฮ้า? เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเธอนั่นล่ะ! เวลาแอบพาแฟนมานอนที่ห้องก็อย่าทำเสียงดังแปลกๆ รบกวนเพื่อนบ้านสิ ตอนนี้เขาทั้งแขนหักทั้งขาแพลงไม่รู้ว่าค่ายาจะกี่บาท แล้วยังค่าเสียเวลาทำงานของเขาอีก นี่ฉันยังไม่รู้เลยว่าเงินเก็บฉันจะพอจ่ายเขาไหม? ดูท่าผู้ชายคนนี้น่าจะหน้าที่การงานดีซะด้วย ถ้าไม่พอเธอก็โอนมาให้ฉันยืมก่อนเลยนะ”
“เห้ย! นี่กะจะปล้นกันแต่เช้าเลยเหรอ?”
“ช่วยไม่ได้ล่ะ? ฉันยังไม่ได้งานเลยนี่ ไม่เหมือนเธอทั้งทำงานประจำทั้งรับเงินพิเศษ”
บุรุษพยาบาลเข็นรถของมิกกี้ออกมาหลังจากที่เข้าเฝือกให้เขาเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวในชุดกี่เพ้านั่งสัปหงกอยู่เก้าอี้หน้าห้องจ่ายเงิน
“นี่คุณ! ตื่นได้แล้ว! ไปจ่ายเงินแล้วพาผมกลับห้องซะที”
ปูเป้ที่นั่งคอพับอยู่บนเก้าอี้ได้ยินเสียงเรียกอยู่ใกล้ๆ ก็ผวาตื่นขึ้น
“คุณ......อ้อ! เสร็จแล้วนี่เอง!”
เจ้าหน้าที่ที่เข็นรถมาเดินไปยังช่องเก็บค่ารักษาพยาบาลเมื่อบอกชื่อนามสกุลผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ครู่เดียวใบเสร็จก็ถูกปริ้นท์ออกมาเรียบร้อย ปูเป้สแกนโทรศัพท์มือถือเพื่อจ่ายเงินแล้วก็นำใบเสร็จไปรับยายังช่องถัดไป เจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่จากหน้าโรงพยาบาลให้ เมื่อพาชายหนุ่มส่งถึงห้องเรียบร้อย ปูเป้จึงเริ่มรู้สึกว่าเธอเองก็ยังคงเพลียร่าง
“ปูเป้! ปูเป้!” เสียงเรียกดังลั่นพร้อมทั้งการเขย่าร่างอย่างไร้ความเกรงใจ “ตื่นขึ้นเหอะ ฉันสั่งโจ๊กเจ้าอร่อยมาให้เธอแล้ว”
แม้จะอยู่ในยุคที่โรคจากไวรัสระบาดจนออกไปข้างนอกแต่ละทีช่างยากเย็น ยังดีที่มีบริการส่งอาหารที่สะดวกรวดเร็ว เหล่าไรเดอร์ของบริษัทส่งอาหารขับมอเตอร์ไซด์หลากสีวิ่งว่อนไปทั่ว ทำให้การสั่งอาหารทำได้อย่างใจ
แพมมี่ที่มาถึงห้องแล้วไม่เจอปูเป้ออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วค่อยย้อนกลับมา เมื่อเห็นสภาพเพื่อนนอนหลับเหมือนตายอย่างนั้นเธอจึงโทรศัพท์ไปสั่งโจ๊กมาไว้รอ กระทั่งบ่ายคล้อยหญิงสาวที่ฟุบจมในเตียงนอนก็ยังไม่ลุก แพมมี่ที่ทนไม่ไหวจึงรีบปลุก
“เธอกลับมานานแล้วเหรอ?”
“อืม...รออยู่สี่ชั่วโมงแล้วเห็นเธอไม่ตื่นซะที ฉันก็กลัวเธอไหลตายไปเลยน่ะสิ”
ปูเป้งัวเงียลุกขึ้นนั่งเธอเล่าเรื่องความทุลักเลเมื่อคืนให้แพมมี่ฟังกระทั่งถึงเรื่องที่เธอทำให้มิกกี้ได้รับบาดเจ็บ
“เอาน่าๆ ยังไงเล้าจน์ก็เปิดไม่ได้อีกหลายวัน เธอได้ยินข่าวแล้วหรือยัง? ตอนนี้เขาออกจับแล้วนะ ที่ไหนแอบเปิดรับแขกโดนหมด ค่าปรับแพงมากเลยทีเดียว”
“อ้าว! งี้ฉันก็ขาดรายได้น่ะสิ!”
*****************************