วันต่อมา
ฉันมาเล่นที่ห้องชะเอมเพราะอยู่คนเดียวมันเหงา มีนก็มาที่ห้องเอมด้วยเหมือนกัน
“ทำไมลูกชายเจ้าของทุนไม่เห็นจะเรียกฉันกับยัยมีนไปแบบแกเลยล่ะ” ชะเอมถามอย่างแปลกใจ มีนก็พูดเสริม “นั่นสิ ฉันอยากจะเห็นจริง ๆ นะว่า หน้าตาลูกชายเจ้าของทุนเป็นยังไง”
ทั้งเอมและมีนต่างมองมาที่ฉันพร้อม ๆ กัน
“แกสองคนมองหน้าฉันแบบนั้นทำไม”
“ลูกชายเจ้าของทุนหล่อไหมยัยเอย”
พอถูกถามแบบนี้สมองของฉันมันก็จินตนาการไปถึงใบหน้าคมคายที่ได้เจอเมื่อวาน ถ้าใช้คำว่าหล่อคงจะน้อยเกินไป ต้องใช้คำว่าหล่อมาก ๆๆๆ
ปกติฉันไม่สนใจผู้ชายแต่สำหรับเขาคนนั้นมันเหมือนมีเวทมนต์มาสะกดจิตยังไงก็ไม่รู้
“คิดอะไรอยู่ยัยเอย รีบตอบมาสิ” มีนถามย้ำ ทำให้ฉันมีสติอีกครั้ง
“อื้อ เขาหล่อมาก ๆ เลย”
“งุ้ย ฉันอยากเห็นจัง” ชะเอมรีบพูด
“ท่าจะหล่อจริงเพราะปกติฉันไม่เคยเห็นยัยเอยชมใครว่าหล่อเลย”
“แล้วทำไมเขาถึงเรียกแกไปพบคนเดียว แถมวันนั่นก็ส่งกุหลาบมาให้แก” ชะเอมถามด้วยความสงสัย
“คุณเพลิงบอกว่าถ้าว่างจะเรียกพวกแกสองคนไป ช่วงนี้เขาน่าจะยุ่ง ๆ ส่วนเรื่องกุหลาบฉันว่าเขาส่งให้เราสามคนนั่นแหละ เป็นการต้อนรับ”
“อื้อ ฉันลืมไปเลย คุณเพลิงจะฝากแกสองคนเข้าทำงานที่โรงแรมด้วยนะ ^_^” พอฉันบอกแบบนั้นเพื่อนสองคนก็ดีใจกันใหญ่
“จริงหรอยัยเอย นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
“ฉันคิดว่าเราจะต้องหางานกันเป็นเดือน ๆ แต่นี่โชคดีจัง”
“เขาใจดีมากเลยนะ ถึงจะมีท่าทางขรึม ๆ น่ากลัวไปหน่อย”
ฉันคุยกับเพื่อนอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาที่ห้องตัวเอง เปิดโทรศัพท์เช็กเวลาที่ไทยว่ากี่โมงของที่นั่น ก่อนจะโทรไปหายาย
“ยาย ยายจ้าหนูคิดถึงยายจังเลย”
(เป็นไงบ้างลูก ได้เรียนหรือยัง)
“ยังจ้ะยาย หนูกับเพื่อนมาก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเทอม เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็ได้เรียนแล้ว”
(หนาวไหมที่นั่น ถ้าหนาวต้องหาเสื้อผ้าหนา ๆ ใส่ด้วยนะหลาน)
“ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าหนาวจ้ะยาย แต่บรรยากาศดีมาก ๆ เลย หนูอยากให้ยายมาเห็นด้วยจังเลยว่าสวยขนาดไหน”
อ๊อด อ๊อด~ เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น
“แป๊บนึงนะยาย มีคนมากดออดหน้าห้องเดี๋ยวหนูไปเปิดประตูก่อน”
ฉันถือโทรศัพท์ลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง เห็นคนมายืนกดออดคือผู้ชายที่ไปรับฉันกับเพื่อนที่สนามบินและมาส่งที่โรงแรม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ
“คุณเพลิงให้เอาเอกสารสัญญาว่าจ้างมาให้เซ็นครับ”
“อ๋อ ค่ะ ๆ” ลืมไปเลยว่าคุณเพลิงจะส่งเอกสารมา
“ยังไงรบกวนเซ็นตอนนี้ด้วยนะครับ นี่ครับปากกา”
(โอ้ย ไอ้งูตัวนี้มันเข้าบ้านอีกแล้ว โอมเอ้ยโอม)
เสียงของยายที่พูดผ่านปลายสายทำให้ฉันที่กำลังจะอ่านเอกสารนั้นตกใจ รีบเซ็นไปแบบลวก ๆ โดยไม่อ่าน จากนั้นก็ยื่นปากกากับกระดาษคืนพี่คนนั้นไปแล้วปิดประตู
“งูเข้าบ้านเหรอจ๊ะยายแล้วโอมอยู่หรือเปล่า ยายออกมาจากบ้านก่อนนะ”
(โอมมาไล่ไปแล้ว เดี๋ยววางสายก่อนนะยายจะไปดูโอมมันสักหน่อย)
“จ้ะ ยายระวัง ๆ ด้วยนะ เผื่องูยังอยู่ในบ้าน” แล้วยายก็วางสายไป
พอวางสายฉันก็มานั่งคิดว่าเมื่อครู่ตัวเองเซ็นอะไรไป น่าจะอ่านก่อนไม่น่ารีบร้อนเซ็นไปแบบนั้นเลย ไม่รู้เลยว่าคืองานอะไร ฉันนี่นะ เฮ้อ! เอาไว้พรุ่งนี้เริ่มงานก็คงจะรู้เอง
เช้าวันต่อมา
ฉันรีบตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้ต้องเริ่มงานวันแรก งานที่ทำคงไม่กระทบต่อการเรียนแน่นอนเพราะคุณเพลิงน่าจะรู้ดีว่าฉันต้องเรียนควบคู่กับทำงานไปด้วย
ฉันแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวและสะพายกระเป๋าราคาห้าสิบบาทแถวตลาดนัดที่ไทย ทั้งตัวเป็นเสื้อผ้ามือสอง ฉันชอบซื้อใส่เพราะเห็นว่ามันยังใหม่และราคาถูก ขนาดโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ฉันยังใช้มือสองเลย อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัดเอาไว้ก่อน
อ๊อด อ๊อด~ เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น คนของคุณเพลิงคงจะมารับแล้ว
ฉันเดินไปเปิดประตูห้องอย่างตื่นเต้น วันแรกของการทำงานที่ต่างประเทศแถมเงินเดือนก็ยังเยอะมาก ๆ ฉันต้องทำตัวยังไงนะ แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกมีนกับชะเอมได้เริ่มงานกันวันนี้หรือเปล่า
“เชิญครับคุณเอย” เป็นพี่ผู้ชายคนเดิมที่มารับฉัน มันรู้สึกแปลก ๆ ที่เขาเรียกฉันว่าคุณ
“เอยต้องไปทำงานที่ไหนเหรอคะ พี่รู้ไหม” ในขณะที่เดินไปที่ลิฟต์ฉันก็ซักถามเขา แต่เขาก็ส่ายหน้าไปมา “ผมไม่ได้รับอนุญาตให้พูดครับ เอาไว้ไปถึงคุณเอยก็จะรู้เอง”
ฉันกระซิบถามเบา ๆ “เป็นความลับขนาดนั้นเลยเหรอคะ”