เรศินินรับไม่ได้ เธอไม่เข้าใจว่าแม่ทำแบบนั้นกับพ่อได้อย่างไร พ่อที่รัก เข้าใจ และให้เกียรติแม่มาเสมอ ไม่เคยปริปากว่ากล่าว อยากได้อะไรก็หามาให้ตลอด แม้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นย่าหรือญาติ ๆ จะรังเกียจเดียดฉันท์แม่ ไม่ได้รังเกียจเพราะอาชีพแต่หนหลัง แต่รังเกียจเพราะไม่ยอมทำการทำงาน ขี้เกียจตัวเป็นขน ดีแต่แต่งหน้าแต่งตัวสวยไปวัน ๆ แถมยังติดการพนันอีกด้วย
“ พ่อตายยังไม่ทันได้ทำบุญร้อยวัน แต่แม่จะแต่งไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น นี่จิตใจแม่ทำด้วยอะไรเนี่ย ! ” เธอตะโกนใส่แม่อย่างหมดความอดทน
“ พ่อมึงน่ะเหลือแต่ขี้เถ้าแล้ว จะมาจมปลักอะไรนักหนา ชีวิตคนเรามันต้องมูฟออนโว้ย ”
“ มูฟออนบ้าอะไรเร็วขนาดนี้ นี่แอบคุยกับผู้ชายตั้งแต่พ่อยังไม่ตายหรือเปล่า แถมเอาทรัพย์สมบัติที่พ่อสร้างมาไปขาย แม่เคยรักพ่อบ้างหรือเปล่า เคยรักเรบ้างไหม แม่ทำแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง ! ”
เธอไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาเพราะมีสายโทรเข้าที่มือถือของแม่ แล้วแม่ก็เดินหนีออกไปรับพูดคุยจี๋จ๋ากับปลายสายทันที
ไม่ไหว เธอทนไม่ไหวแล้ว...
เรศินินเลยเดินออกมาจากบ้าน นั่งรถประจำทางไปที่สถานีหมอชิตเพื่อจะนั่งรถไปหาย่าที่จังหวัดเพชรบูรณ์ คิดว่าการไปอยู่ที่อื่นสักพักมันคงจะดีกว่าการปะทะกับแม่
เธอซื้อตั๋วแล้ว ระหว่างที่รอรถออกเวลาสี่ทุ่ม เธอก็ซื้อเบียร์หนึ่งกระป๋องให้กับตัวเองแล้วดื่มฆ่าเวลาทั้งที่ปกติแล้วไม่ชอบดื่ม เพียงแต่วันนี้เธออยากจะดื่มเพื่อให้ลืมเรื่องราวที่กำลังพบเจอ แถมยังซื้อติดกระเป๋าไว้อีกหนึ่งกระป๋องอีกด้วย
เมื่อถึงเวลารถออก หญิงสาวเดินขึ้นไปบนรถทัวร์ บนรถผู้คนบางตา คงเพราะเป็นเวลารอบดึกกระมัง ก้มมองดูเลขที่นั่งบนตั๋วก็พบว่าเป็นที่นั่งหลังสุด จึงเดินไปยังจุดหมายและพบว่ามีผู้ชายตัวใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งอยู่แล้วที่ฝั่งติดกระจก ในมือเขาถือเบียร์ซึ่งบังเอิญเป็นยี่ห้อเดียวกับที่เธอดื่มอยู่เสียด้วย แต่เธอสังเกตได้ว่าสายตาของเขาที่เหม่อมองออกนอกรถมันดูเศร้าและกลัดกลุ้มเหลือเกิน
“ คุณคะ ” เรศินินเรียก แต่เขาก็ยังนิ่งอยู่เช่นนั้น
“ คุณคะ ตรงนั้นที่นั่งฉันค่ะ ” เธอเรียกดังขึ้น เพราะหมายเลขติดกระจกที่เขานั่งอยู่มันต้องเป็นที่นั่งของเธอ และเขาต้องนั่งติดฝั่งทางเดิน
ชายหนุ่มสะดุ้งนิด ๆ ก่อนตวัดสายตามาหา เธอได้สบตากับเขาก่อนจะพบว่า ผู้ชายคนนี้นอกจากหล่อมากแล้ว ยังดวงตาคมหวานราวกับผู้หญิง
“ ขอโทษครับ ” เขาพูดพลางขยับออกมานั่งฝั่งติดทางเดินแล้วหุบขาเพื่อให้เธอเดินเข้าไปด้านใน
เรศินินมุ่นคิ้ว เขาตัวเบ้อเริ่ม เธอเองก็ไม่ได้ผอมบางร่างน้อย แทนที่เขาจะลุกขึ้นเพื่อให้เธอเดินเข้าไปได้สะดวกแต่กลับนั่งแล้วให้เธอเดินเบียดเข้าไปแทน
แต่เธอจะมองข้ามมันไปก็แล้วกัน ค่าที่ว่าเขาดูเหมือนจะมีเรื่องทุกข์ในใจไม่น้อยไปกว่าเธอ อาจจะอกหัก รักคุด ตกงาน อะไรก็แล้วแต่ อาจจะแย่กว่าแม่จะมีผัวใหม่และเอาสมบัติไปเที่ยวขายจนไม่มีที่อยู่แบบเธอด้วยซ้ำ
แต่จังหวะที่เธอเดินเบียดเพื่อจะเดินเข้าไปด้านใน คนขับรถก็ถอยหลังจากช่องเพื่อจะออกเดินทาง เรศินินยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ประกอบกับมึนศีรษะเล็กน้อยจากเบียร์ที่กระดกไปร่วมครึ่งกระป๋อง ทำให้เธอเซถลาลงบนตักเขา
“ อุ๊ย ! ขอโทษค่ะ ” เธอรีบขอโทษขอโพยเขาทันทีที่ตั้งหลักได้ ชายหนุ่มยกแขนขึ้นมารวบเอวเธอไว้ด้วยสัญชาตญาณแล้วรัดเข้าหาตัว สองเต้าตูมเต่งที่ทะลักล้นออกนอกคอเสื้อกล้ามเบียดเข้าหาแผงอกกว้างทันที ไหนจะกลิ่นน้ำหอมหวาน ๆ จากเรือนกายสาวผสานเคล้าเข้ากับกลิ่นเบียร์จาง ๆ นั้นอีกเล่า มันมัวเมาชายฉกรรจ์วัยเจริญพันธ์ให้ไขว้เขวได้ในทันที
เขาสลัดศีรษะแรง ๆ คล้ายจะเรียกสติกลับคืนก่อนตอบกลับเธอ
“ ไม่เป็นไรครับ คุณเจ็บหรือเปล่า ”
“ เปล่าค่ะ แล้วคุณล่ะ เจ็บตรงไหนไหม ”
เรศินินสาบานว่าทันเห็นแววตาวาววามจากอีกฝ่ายที่ตวัดมองมาที่ร่องอกอวบอันโผล่พ้นคอเสื้อตัววีของเธอแว่บหนึ่ง แต่เธออาจจะคิดไปเอง เพราะหลังจากนั้นเขารวบเอวเธอยกขึ้นแล้ววางลงอย่างทะนุถนอมบนที่นั่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ เปล่าครับ ไม่เจ็บตรงไหนเลย ”