ปั้นหยา บ้านอยู่ต่างจังหวัด เพิ่งเรียนจบหมาดๆ กำลังเผชิญกับการตกงาน นั่นเพราะคนที่เรียนจบพร้อมกันเป็นแสนๆ คน ยุ่งยากที่สุดคือตอนหางาน ต่อให้เธอเรียนเก่งแค่ไหนก็ตามไม่รอดอยู่ดี เพราะงานสมัยนี้คัดเฉพาะคนมีประสบการณ์ แล้วคนเรียนจบใหม่อย่างเธอเล่า ใครจะเอา ทว่าฟ้าก็มีตา เธอสมัครทิ้งๆ ไว้หลายที่ ก็มีคนบริษัทเรียกตัวไปสัมภาษณ์บ้าง ที่เหลือเงียบกริบทิ้งใบสมัครของเธอแล้วกระมัง
วันนี้เป็นวันที่ปั้นหยาพอจะมีความหวังว่าจะได้งานทำ มีเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน ไม่ต้องแบมือขอเงินครอบครัว เธอคิดอย่างมีความหวัง ขณะที่กำลังเดินเท้าออกจากซอยซึ่งเป็นบ้านเช่า ในมือหอบเอกสารส่วนตัวหนาเตอะเตรียมการเป็นอย่างดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ขอดูอะไรก็ให้ได้ การแต่งตัวก็จะสุภาพหน่อยคือเสื้อเชิ้ตขาวเข้ารูป กับกระโปรงทรงเอ รองเท้าส้นสูงที่เดินยากมากบนทางเท้าที่ขรุขระ แถมยังมีน้ำขังเจิ่งนองหลังฝนตก บางจุดต้องเดินหลบเลี่ยงไม่ให้รองเท้าเปื้อนโคลน
“อากาศนี่ก็นะ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน บางวันก็หนาวขึ้นมาดื้อๆ” ปั้นหยาบ่นฟ้าบ่นฝนไปเรื่อย จังหวะเดียวกันก็มีมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างแล่นผ่านไปมา แต่เธอไม่เรียกเพราะจากกลางซอยมาถึงปากซอยไม่ไกล และเดินอีกไม่กี่เมตรก็ถึงปากซอยแล้ว เหนื่อยแต่ก็ทนได้
“ขับเฟี้ยสขนาดนี้ ใครจะนั่งด้วย” ปั้นหยาบ่นให้มอร์เตอร์ไซค์รับจ้างที่
กำลังขับมาแล้วแซงซ้ายขวา ไม่สนใจรถที่กำลังจะสวนออกไปเลย
และในจังหวะเดียวกันนั้น ก็ดันมีรถเก๋งขับมาทางที่เธอเดินพอดี รถเก๋งเหวี่ยงพวงมาลัยหลบมอร์เตอร์ไซค์มาทางซ้าย จังหวะนรกคือล้อรถเหยียบตรงน้ำขัง
“ว๊าย! ตายแล้ว! อ๊าย!” ปั้นหยากรี๊ดด้วยความตกใจ เพราะน้ำโคลนสาดกระเด็นใส่เสื้อสีขาวของเธอเปียกทั้งตัว เธออึ้งไปหลายวิก่อนจะมองไปที่รถเก๋งคันนั้นที่ชะลอเช่นกัน เท่านั้นแหละแม่คุณองค์ลงทันที
“นี่! หยุดเดี๋ยวนี้! ขับรถประสาอะไร! ไม่เห็นใจคนเดินเท้า คิดว่ารวยมากใช่ไหม! ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือขนาดนี้! อยากจะขับยังไงก็ขับได้ใช่ไหม ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่งั้นแม่จะถ่ายป้ายทะเบียนลงเฟซบุ๊กส์เลย!” เธอด่าไฟแลบพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ คนในรถรีบจอดและได้ยินแต่เสียงแว๊ดๆ พร้อมกับภาพปั้นหยากำลังชี้มือมา เท่านั้นยังไม่พอ เธอเดินตรงมาที่รถด้วย
“เอาไงดีครับคุณท่าน แย่แล้ว น่าจะใส่ชุดทำงานนะนั่น” กันระพีซึ่งเป็นคนขับรถบอกด้วยความตระหนก
“แกลงไป ให้เงิน ให้อะไรไปปิดปาก จะได้เงียบ ท่าทางปากจัดไม่เบา” เจ้านายผู้ที่นั่งด้านหลังบอกอย่างไม่แยแส และไม่กล้าหันไปมอง
“ฉันบอกให้ลงมาเดี๋ยวนี้!” ปั้นหยาตะโกนพร้อมกับเอามือถือถ่ายป้ายทะเบียนด้วยเลย
“คุณท่าน ถ้าไม่ลงไปแย่แน่ โซเชียลอยู่ในมือนะครับนั่นน่ะ”
“แล้วแกขับรถประสาอะไรวะเนี่ย” เจ้านายหนุ่มต่อว่าเสียอย่างนั้น
“ก็คุณท่านบอกให้ผมขับเร็วๆ รีบ ไปประชุม”
“ก็... เอ่อ” เจ้านายหนุ่มได้แต่อึกอัก เพราะมันเป็นคำสั่งของตนเอง
“คุณท่านต้องรับผิดชอบ” คนขับรถบอกอีกครั้ง
“บ้าจริง ฉันมีประชุมด้วย เอาเงินให้สักพันสองพัน เดี๋ยวก็เงียบแหละ”
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ระหว่างที่เจ้านายกับลูกน้องคุยกันอยู่นั้น ปั้นหยาก็ทุบกระจกเบาๆ ทำเอาสองหนุ่มถึงกับหันมอง ขณะเดียวกันปั้นหยาเห็นไม่ชัดว่าภายในรถเป็นอย่างไร เนื่องจากกระจกมืด
“ให้ตายสิ” ตฤณผู้เป็นเจ้านายสบถอย่างหัวเสีย
“จะไม่ลงมาใช่ไหม! ได้!” ปั้นหยาถามอีกครั้ง ชั่ววินาทีนั้นเธอก้มหน้าหาอะไรบางอย่างแต่ไม่พบ ไหนๆ ก็เปื้อนแล้ว เธอก็เดินกลับไปที่จุดน้ำขังแล้วเอามืออุ้มน้ำโคลนแล้ววิ่งมาสาดใส่ประตูรถทันที
“นี่แน่ะ!”
“เฮ้ย! อื้อหือ! ยัย... ผู้หญิงอะไรวะเนี่ย” ตฤณว่าด้วยความตกใจ ส่วนปั้นหยาก็ยังคงวิ่งไปเอามืออุ้มน้ำกลับมาสาดเหมือนเดิม จนเขาทนไม่ไหวรีบลงจากรถ
“หยุดเดี๋ยวนี้! คุณทำอะไรรถผมเนี่ย! ผมบอกให้หยุด!” ตฤณร้องห้าม ขณะที่เธอเอาน้ำโคลนนั่นแหละป้ายรถเขาอีก แต่เมื่อเธอยังไม่หยุดเขาก็เอื้อมมือกระชากมือเธอเอาไว้แรงๆ จนเธอหันหน้ากลับมามอง วินาทีประจันหน้าเขาก็ชะงัก จากที่กำลังจะง้างปากด่าเสียหน่อย ถึงกับสะตั้นเพราะแม่สาวปากร้ายคนนี้สวยชะมัดเลย หน้าใสมาก จมูกโด่งแดงๆ ปากน่าจูบแต่ด่าเก่ง ทว่าเธอเองก็ต้องอึ้งเช่นกัน พอต่างฝ่ายต่างได้สติเธอก็สะบัดมือออกแรงๆ และเช่นเดียวกันจากที่เขาหัวร้อนเมื่อครู่ อารมณ์กลับเปลี่ยนซะงั้น
“ขับรถประสาอะไรเนี่ย! ไม่มีตาใช่ไหม! ฉันจะแช่งให้ตาบอดเลย ขับรถไม่เห็นใจคนเดินเท้า ไม่เห็นหรือไงว่าน้ำขังเยอะแยะ แล้วนี่ฉันเปียกหมดใครจะรับผิดชอบ เอกสารของฉัน ชุดทำงานของฉัน” ปั้นหยาต่อว่ายาวเหยียดด้วยความหัวเสีย
“เอาเท่าไหร่!” ตฤณตัดจบเธอจะได้เลิกบ่น แต่เธอสิอึ้ง
“อะไรนะ! เมื่อกี้คุณว่าอะไร” ปั้นหยาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ถามว่าจะเอาเท่าไหร่ ค่าเสียหาย จะได้จบๆ ผมเองก็รีบ มีงานสำคัญ ไม่มีอารมณ์จะทะเลาะด้วย” ตฤณบอกอย่างหัวเสีย
“คิดว่าขับรถไม่มีมารยาทแล้วจะใช้เงินแก้ปัญหาได้เหรอ เงินมันทำไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ”
“ไอ้ที่บ่นอยู่เนี่ยอยากได้ค่าเสียหายไม่ใช่เหรอ หนึ่งหมื่นหรือห้าหมื่นดี” พอฟังตัวเลขที่เขาให้มา ก็ยิ่งทำให้เธออึ้งไปอีก
“เก็บเงินของคุณเอาไว้ไปล้างรถเถอะ ล้างความสกปรกบนตัวคุณด้วย ฉันไม่อยากได้”
“แล้วกร่นด่าเพื่ออะไร ผมออกมารับผิดชอบแล้วไง”
“ถ้าไม่ด่าจะออกมาไหม คนรวยอย่างพวกคุณนี่โคตรเห็นแก่ตัวเลย”
“ตกลงจะเอาอะไร อยากได้อะไร ถามหาว่าความรับผิดชอบผมก็จะให้ จะได้จบๆ ผมมีงานต้องทำมากกว่าคุณด้วยซ้ำ”
“แล้วฉันไม่ต้องทำงานหรือไง เห็นไหมชุดอะไร ชุดไปสมัครงาน! แล้วนี่เอกสารเสียหายหมดเลย เกิดฉันชวดงานนี้ไปคุณจะรับผิดชอบยังไงไหว” เธอว่าคราวนี้น้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำ
“โอ๊ย! โอเค ตกลงจะเอายังไง ผมขอโทษที่ขับรถไม่ดู รีบไปหน่อย แล้วก็หลบมอร์เตอร์ไซค์ด้วย ถ้าคุณเห็น” ตฤณอธิบายด้วยความใจเย็นลง ขณะที่ปั้นหยาไม่รู้จะเอาผิดเขายังไงดี เงินก็ไม่ได้อยากได้ แต่เขาทำให้เธอเสียเวลา เสียโอกาส มันเป็นความรู้สึกเสียใจมากกว่า โกรธและอยากจะด่ารัวๆ เลย
“เฮ้! ไม่ร้องไห้สิ ผมขอโทษแล้วไง บทจะขี้แยก็ขี้แยซะงั้น เมื่อกี้ยังด่าฉอดๆ อยู่เลย”
“คุณไม่เข้าใจหรอก”
ปั้นหยาบอกพร้อมกับปาดน้ำตา แล้วเก็บเอกสารกับกระเป๋า เขานึกสงสารเพราะเห็นสภาพก็เข้าใจ ว่าทำไมเธอจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
“มี... มีอะไรให้ผมช่วยไหม” เขาแสดงความมีน้ำใจ ทว่าเธอกลับตวัดหางตามองแบบขวางๆ ทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม
“ฉันไม่ต้องการน้ำใจจากพวกคนรวยอย่างคุณ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใคร ขออย่าให้ฉันเจอคนแบบคุณอีกเลย สาธุ”
“ทำไมคุณพาลแบบนี้เนี่ย ผมก็จะรับผิดชอบแล้วไง”
“ก็ฉันเสียใจ! ฉันหวังจะได้ไปสัมภาษณ์งาน ได้ทำงานหาเงิน แล้วดูคุณทำสิ กว่าจะกลับไปเปลี่ยนชุด เตรียมเอกสารใหม่ เขาก็ตัดสิทธิ์ฉันแล้ว” เธอบอกเสียงสั่นแต่ยังมีน้ำโหอยู่
“หึ งั้นฟังเรื่องผมหน่อยไหม เช้านี้ผมมีประชุมธุรกิจพันล้านของผม คิดดูว่ามันจะเสียหายขนาดไหนถ้าผมไปไม่ทัน คราวนี้คิดว่าผมหรือคุณที่เสียหายกว่ากัน”
“แหงล่ะ มันจะเทียบกันได้ยังไงกับชนชั้นใต้ล่างสุดของห่วงโซ่แบบฉัน” พูดจบเธอก็เดินกลับเพื่อจะไปบ้าน ทว่าเขาเรียกเอาไว้ก่อน
“นี่! เดี๋ยวคุณ คุณ!” เขาเรียกพร้อมกับเดินตาม ทว่าเพราะความโกรธอยู่ เธอจึงหันไปผลักอกเขาแรงๆ มองตาขวางๆ
“ขออย่าให้เราเจอกันอีก” เธอว่า พร้อมกับน้ำตาร่วง แล้วเดินจากไป ต้องให้เขารู้สึกยังไงบ้างวะเนี่ย เขาถามตัวเองพลางถอนใจ จะโกรธหรือสงสาร ให้ตายสิ สุดท้ายได้แต่เดินกลับไปขึ้นรถดังเดิม
“ว่ายังไงบ้างครับคุณท่าน”
“จะให้ว่ายังไง ทะเลาะกันจนคนมอง ออกรถเถอะ” ตฤณตัดบทอย่างเครียดๆ พลางเอามือกุมขมับ แต่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเธอที่กำลังเดินจากไป