“คุณหนึ่งเมา... ถึงเรียกฉันจ้ะป้า”
เพราะถ้าปรมะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เขาจะไม่ชายตาแลหล่อนเลยแม้แต่น้อย
แอลกอฮอล์ทำให้เขาอยากปลดปล่อย และหล่อนก็ไม่ต่างจากถังขยะที่ปรมะโยนความใคร่ทิ้งลงมา
“จะเมาหรือไม่เมาก็ไม่เห็นต้องไปสนใจเลย แค่มันซั่มแกก็พอแล้วนังกุล อ้อ... แล้วที่สอนน่ะ เสน่ห์ผู้หญิงใช้กับคุณหนึ่งบ้างหรือเปล่า”
“กุล...”
“ปากน่ะดูดๆ อมๆ เข้า เลียให้ทั่ว ขี้คร้านคุณหนึ่งจะเรียกหาเอ็งทุกคืน”
แวววรรณพูดขึ้นอย่างไม่อายปาก และหัวเราะชอบใจ ตรงกันข้ามกับหลานสาวที่หน้าแดงก่ำด้วยความอดสู
“ลุกขึ้นแล้วตามข้ามา ไปกินข้าว ลูกของเอ็งจะได้แข็งแรง”
“เดี๋ยวกุลตามเข้าไปจ้ะป้าแวว”
“ไม่ต้องมาเดี๋ยวเลย รีบตามข้ามา เอ็งไม่หิวแต่เด็กในท้องเอ็งมันหิวแล้ว”
นรีกุลกลืนก้อนสะอื้นผ่านลำคอตีบตันของตัวเองช้าๆ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นยืน แต่เพราะคงนั่งนานทำให้ยืนโงนเงน
“ระวังหน่อยสิ มานี่ข้าประคอง”
แวววรรณรีบเข้ามาประคองหลานสาว ทั้งเป็นห่วงทั้งเบื่อหน่าย
“ท้องไส้อยู่จะมานั่งคร่ำครวญตัดพ้อผัวอย่างเดียวไม่ได้ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย”
นรีกุลไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากยอมเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามเงียบๆ
เมื่อเข้ามาถึงห้องรับประทานอาหาร แวววรรณก็สั่งให้สาวใช้เตรียมอาหารมาบำรุงหลานสาวของตัวเอง
“อ้าว นี่กินเข้าไป”
อาหารถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าของนรีกุล หญิงสาวมองด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะไม่มีความรู้สึกหิวโหยเลย
“แล้วนี่ก็นมบำรุงสำหรับคนท้อง คุณหนึ่งซื้อเอามาเก็บไว้ให้แกกินโดยเฉพาะเลยนะ ไม่เชื่อถามส้มแป้นดูสิ”
“จริงค่ะ คุณหนึ่งซื้อของบำรุงคนท้องมาเยอะเลยค่ะ แล้วก็สั่งส้มให้ทยอยเอามาให้คุณกุลกินค่ะ”
ส้มแป้นพูดตามความจริง ใบหน้าของสาวใช้ยิ้มแย้มสดใส
“คุณหนึ่งเป็นห่วงคุณกุลนะคะ” ส้มแป้นพูดต่อ
“เห็นไหม ส้มแป้นมันยังมองออกเลยว่าคุณหนึ่งก็แอบเป็นห่วงแกเหมือนกัน ดังนั้นไม่ต้องโศกเศร้าอะไรแล้ว กินเข้าไป” แวววรรณพยายามพูดให้หลานสาวมีกำลังใจ
นรีกุลฝืนยิ้มออกมา ทั้งๆ ที่ภายในอกทุกข์ระบมเหลือเกิน
ปรมะไม่ได้เป็นห่วงหล่อนหรอก แต่ที่เขาพยายามซื้อของมาบำรุงครรภ์ของหล่อนก็เพราะเขาต้องการให้ลูกออกมาแข็งแรงที่สุด
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะหล่อนเองก็ต้องการให้ลูกน้อยเกิดมาเป็นเด็กแข็งแรงสมบูรณ์เช่นกัน และเพราะอย่างนี้ไง หล่อนถึงไม่เคยปฏิเสธที่จะดื่มกินของบำรุงที่ปรมะซื้อให้เลย
“แม๊... พอข้าเอาคุณหนึ่งมาอ้างหน่อย แกก็ยอมกินเลยนะ”
แวววรรณพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะรีบรับสายโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น
“ว่าไง... เออ... กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ เจอกันที่เดิม”
แวววรรณพูดไปตามสายเร็วๆ จนจบ จากนั้นก็หันมาบอกหลานสาว
“แกก็กินไปนะ เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำเข้านอน”
“ป้าแววจะไปไหนจ๊ะ”
แวววรรณมีทีท่าอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะแก้ตัวออกมา
“เพื่อนนัดน่ะ เดี๋ยวมา”
“ป้าแววจะไปบ่อนอีกแล้วเหรอ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของนรีกุลทำให้แวววรรณที่ถูกจับได้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“ก็แล้วทำไมล่ะ อย่ามายุ่งกับข้าเลย”
“แต่ป้าแววบอกกับกุลว่าจะไปบ่อนให้น้อยลง”
“ใช่ บอกว่าจะไปน้อยลง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเลิกไปนี่นา แกกินข้าวไปเถอะ”
นรีกุลเหนี่ยวรั้งแวววรรณเอาไว้ไม่ได้อีกตามเคย หล่อนทำได้แค่มองตามร่างป้าแท้ๆ ที่เดินออกไปจนลับตาเท่านั้น
“นี่ถ้าป้าแววเลิกเข้าบ่อนได้ คุณหนึ่งอาจจะไม่จงเกลียดจงชังขนาดนี้ก็ได้นะคะ”
ส้มแป้นพูดออกมาตามที่ตัวเองคิด แต่นรีกุลกลับไม่คิดแบบนั้น
เพราะที่ปรมะเกลียดหล่อนกับแวววรรณก็เพราะว่า การแบล็คเมล์ที่น่าสมเพชในครั้งนั้น แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้เต็มใจให้มันเกิดขึ้นก็ตาม
แวววรรณมุ่งหน้าจะเดินออกไปนอกรั้วใหญ่ของคฤหาสน์หลังงาม แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าเสียก่อน เมื่อสายตาปะทะเข้ากับรถยนต์หรูคันหนึ่งที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด
“รถใครวะ”
ตอนแรกแวววรรณคิดว่าจะไม่สนใจอะไร แต่พอเห็นผู้หญิงในชุดสีขาวสะอาดหน้าตาสะสวยคนหนึ่งก้าวลงมา สมองก็สั่งให้เท้าเปลี่ยนทิศทางการเดินทันที
“ท่าทางไม่น่าไว้วางใจ”
แล้วแวววรรณก็เดินมาหยุดขวางหน้าผู้หญิงที่เป็นแขกมาเยือนเอาไว้ทันที
“ไม่ทราบมาพบใครเหรอคะ” แวววรรณเปิดฉากถามก่อน
ผู้หญิงตรงหน้าใช้สายตาดูแคลนมอง ก่อนจะจีบปากจีบคอพูดขึ้น
“ฉันมาพบคุณปรมะ”
“นัดเอาไว้ไหมคะ”
“ระดับฉันไม่จำเป็นต้องนัดหรอกค่ะ เพราะเราสองคนค่อนข้างสนิทกัน”
คำตอบของผู้หญิงตรงหน้า ทำให้แวววรรณของขึ้นทันที
“สนิทกันระดับไหนเหรอคะ เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมงาน หรือว่าเพื่อนร่วมเตียง?”
“นี่ป้า... พูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ เป็นแค่คนรับใช้กล้าดียังไงมาพูดกับแขกของเจ้านายแบบนี้น่ะ”
แวววรรณไม่ได้เกรงกลัวเลย หญิงวัยกลางคนยังคงเชิดหน้าท้าทาย
“ใครว่าฉันเป็นคนรับใช้คะ”
“หึ... สภาพแบบนี้ ไม่ใช่คนรับใช้ก็คนทำความสะอาดห้องน้ำล่ะมั้ง”
แวววรรณกำมือแน่น หล่อนไม่ใช่คนที่ยอมคนเสียด้วยสิ
“งั้นก็ฟังเอาไว้ประดับปัญญานะคะคุณหน้าสวยศัลย์”