เหตุการณ์เมื่อคืนผ่านพ้นไปด้วยการที่ฉันพลิกตัวนอนตะแคง ไม่ให้ความสนใจคนที่กำลังจดจ้องฉัน จากนั้นฉันก็หลับ ตื่นมาตอนเช้าก็คือถูกจัดท่วงท่าให้นอนตามแบบที่คนทั่วไปนอน
คือตอนแรกที่ปะทะกัน ฉันนอนขวางเตียงไง และฉันก็หลับไปทั้งอย่างนั้น แต่พอตื่นมาตอนเช้าก็พบว่าตัวฉันนอนบนเตียงอย่างดี และมีผ้าห่ม มาห่มให้
“ไปเรียนวันไหน” เปิดประตูห้องเข้ามาแบบไม่เคาะ ถือสิทธิ์เจ้าของบ้านหรือไง ถึงทำตัวไม่มีมารยาท
“วันศุกร์ค่ะ” ฉันตอบไปตามความจริง คนอย่างฉันน่ะพูดความจริงอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะพูดตอนไหนเท่านั้นเอง
“เราอยากไปเที่ยวไหนไหม” พี่หมอคีย์เดินมารวบผมให้ฉัน วันนี้ฉันใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขายาวตัวใหญ่ ๆ สบาย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเสื้อยืดสีดำไม่มีทางที่จะได้เห็นรอยสักที่หลังของฉันแน่นอน
“ไม่ค่ะ วันนี้จะวาดรูปกับคุณปู่” ฉันพูดพลางยื่นยางมัดผมให้เขา อยากมัดก็มัดสิ อยากทำก็ทำ ฉันไม่สน ไม่ท้วงให้เราสองคนต้องทะเลาะกันอยู่แล้ว
ฉันต้องเซฟอารมณ์ตัวเอง ถ้าทะเลาะกันบ่อย ๆ ฉันกลัวตัวเองจะหลุดปาก ก่อนที่จะได้ทำอะไรสนุก ๆ
“มันเยอะเกินไปแล้วนะรอยสักน่ะ เต็มตัวแล้ว พอได้แล้วมั้ง” พี่หมอคีย์บอกพร้อมกับโอบกอดฉันจากด้านหลัง เรามองตากันผ่านกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ตอนนี้เขามัดรวบผมให้ฉันเรียบร้อยแล้ว
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เกลียดที่สุดก็เสียงหัวใจที่เต้นแรงเวลาที่อยู่ใกล้ และได้สบตา กับผู้ชายคนนี้นี่แหละค่ะ
“ไม่สักแล้วได้ไหม พี่ขอ... จีนให้พี่ได้ไหม” พี่หมอคีย์ขยับใบหน้าเล็กน้อย และนั่นทำให้แก้มของฉันโดนหอม
“ค่ะ” ที่จริงแล้วนั้น รอยสักที่จะเกิดขึ้นตามตัวของฉันมันจะไม่เกิดขึ้นอีก การสักเพื่อเยาะเย้ยความเจ็บปวดมันสิ้นสุดลงแล้ว เพราะรอยสักกลางหลังคือรูปสุดท้ายที่ฉันจะสัก ซึ่งตอนนี้มันเสร็จเรียบร้อย และสวยงามมาก
“ขอบคุณนะที่ฟังพี่” ฟังที่ไหนล่ะ มันคือความตั้งใจของจีนต่างหาก
แต่ถ้าพี่อยากจะเข้าใจอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะมันคือความเข้าใจของพี่ ไม่ใช่ความเข้าใจของจีน แล้วที่บอกว่าเต็มตัวน่ะ เห็นแล้วเหรอถึงกล้าพูด
ไม่หรอก เขาไม่มีทางเห็น
ฉันมั่นใจว่าเขายังไม่เห็น ไม่ว่าจะข้างหน้าหรือข้างหลัง เขาเห็นเพียงแค่บริเวณ ใบหน้า ต้นคอ ต้นแขน และข้อเท้า
ที่มั่นใจว่าเขาไม่เห็นก็เพราะ ถ้าเห็นแล้วเขาไม่มีทางยืนกอดฉันอยู่ตรงนี้แน่นอน
“อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านทำให้”
“แม่บ้านที่นี่รู้ค่ะว่าจีนกินอะไร” เพราะสตอรี่ใหม่เมื่อหนึ่งปีก่อนของฉันมันไม่มีอะไรมากมาย ฉันเคยบอกไปแล้วว่าฉันน่ะชอบทำอะไรจำเจ จนคนที่อยู่ใกล้จะจับสังเกตได้ง่าย
แต่ถ้าคนไม่สังเกตก็จะไม่รู้อะไรเลย เหมือนคนที่ยืนกอดฉันอยู่ตรงนี้ไง
“แล้วอยากได้อะไรไหม เดี๋ยวพี่พาออกไปซื้อ”
“ไม่ค่ะ จีนไม่อยากได้อะไร” ก็ไม่มีอะไรให้ฉันอยากได้ คนอย่างฉันจะอยากได้อะไร ตอนนี้คิดไม่ออกหรอก เพราะถ้าเห็นแล้วถึงจะอยากได้ แต่ถ้าให้มานั่งคิดว่าอยากได้อะไรไหม เรื่องแบบนั้นฉันเลิกทำมานานแล้ว
เลิกทำตั้งแต่จำเรื่องน่าเศร้านั้นได้
“จีน”
“...” ฉันกับพี่หมอคีย์มองหน้ากันผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เขายังคงกอดฉันอยู่อย่างนั้น การกอดของเราสองคนนั้น เมื่อก่อนมันเกิดขึ้นบ่อยมาก
เนื่องจากฉันนี่แหละที่อ้อน หรือจะเรียกว่าสั่งก็ได้
เรียกว่า ‘สั่ง’ คงจะใช่กว่าคำว่า ‘อ้อน’
ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเมื่อก่อนนั้นถ้าฉันอยากได้อะไรฉันต้องได้
“กลับมาเป็นคนดีคนเดียวของพี่ได้ไหม” น้ำเสียงของพี่หมอคีย์ไม่ได้มีความอ่อนโยนอะไรหรอกค่ะ มันยังคงความด้านชา แข็งกระด้าง ไร้ความรู้สึก ดวงตาที่กำลังมองฉันก็เหมือนกัน มันไร้ความรู้สึก! ทำให้ฉันรู้ว่าคำที่เขาเอ่ยออกมานั้น ไม่ใช่เพราะ ‘รัก’ เนื่องจากเขา ‘ไม่เคยรัก’
“ตอนนี้ไม่ดีตรงไหนคะ” ฉันสบตาเขานิ่ง ๆ เราสองคนยังคงมองหน้ากันผ่านหน้ากระจก
“ตรงที่จีนกำลังมีคนอื่นไง ไหนจีนบอกว่ารักพี่ แต่ทำไมจีนถึงมีคนอื่นมากมาย ผู้หญิงดี ๆ เขาไม่ทำกันนะจีน”
“ผู้หญิงดี ๆ นี่ใครคะ” ใช่คนที่รู้ว่าผู้ชายมีคู่หมั้นแล้ว แต่ก็ยังยัดเยียดตัวเอง แล้วอยู่ร่วมกันแบบผัวเมีย หรือคนที่หลงเงินทองจนลืมผู้ชายที่รัก หรือคนไหนอีกที่พี่หมอคีย์ได้แล้วทิ้ง
ฉันอยากจะถามออกไปให้หมดอย่างที่ใจคิด แต่ก็ต้องเก็บไว้ เก็บไว้ และเก็บไว้
“ก็จิลลาคนเดิมของพี่ไง” ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงฉีกยิ้มและหันไปกอดเขา พร้อมบอกกับเขาว่า ‘จีนจะเป็นผู้หญิงของพี่หมอคีย์คนเดียวค่ะ’
ปัญญาอ่อนมาก ฉันในตอนนั้นโคตรปัญญาอ่อน คิดถึงคำพูด และสีหน้าตัวเองในตอนนั้นแล้วอยากจะอ้วก
“หัวใจของจีนยังมีแค่พี่หมอคีย์คนเดียวค่ะ” ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยพอเป็นพิธี และนี่ก็คือเรื่องจริงที่ฉันยังรักเขา รักเขาแค่คนเดียว เพียงแต่มันเพิ่มความเกลียดชังเข้ามาด้วยเท่านั้นเอง
“...” ฉันอ่านสายตาของเขาออก ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูด แต่สายตาที่กำลังมองฉันผ่านกระจกคือสายตาที่ตั้งคำถาม ‘แล้วร่างกายล่ะ’ นี่คือสิ่งที่พี่หมอคีย์อยากถาม แต่เขาไม่ถาม คงไม่กล้าถามมั้งคะ
ช่วยไม่ได้ที่พี่หมอคีย์ไม่ถาม ถ้าเขาถามฉันก็พร้อมจะตอบ
“ป่านนี้คุณปู่คงรอจีนแล้ว” นี่คือการบอกให้ปล่อยกอดฉันอย่างมีมารยาท และพี่หมอคีย์ต้องเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด
“สัญญาแล้วนะว่าจะไม่สักอีก”
“ค่ะ” เมื่อฉันให้คำตอบ พี่หมอคีย์ก็หอมแก้มของฉันอีกครั้ง และปล่อยกอดออก ไม่ได้คิดจะสัญญาสักหน่อย นั่นผลพลอยได้เถอะ เพราะฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สักอีก
เนื่องจากว่าแค่มองรูปรอยสักด้านหลังฉันก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสักเพิ่มในทุกครั้งที่รู้สึกเกลียดตัวเองในอดีต
รอยสักด้านหลังนี้จะย้ำเตือนฉันอย่างดีว่าเคยเจ็บมากเท่าไหร่ เคยผ่านอะไรมาบ้าง แค่รูปนี้ฉันก็รู้สึกเจ็บเจียนตายแล้วล่ะ เหมือนเรื่อง 5 ปีก่อนมันเพิ่งผ่านไปแค่เมื่อวาน
ฉะนั้นฉันจึงได้ตอบออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ค่ะ’
ฉันบอกแล้วว่าฉันน่ะไม่โกหก และแค่ไม่พูดความจริงถ้าหากว่าคู่สนทนาไม่เป็นฝ่ายถาม
“ถ้างั้นเราไปหาปู่กัน” พี่หมอคีย์จัดทรงผมและสำรวจเสื้อผ้าให้ฉัน จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาจับมือของฉัน สีหน้าของพี่หมอคีย์ไม่ยิ้มหรอกนะคะ เขายังคงใบหน้านิ่งเฉย ช่างแตกต่างจากการกระทำซะจริง
การกระทำแบบนี้ไงที่ทำให้ฉันในอดีตตกหลุมรักเขาซะมากมาย
“พี่หมอคีย์จะไปทำไมคะ จีนไปคนเดียวได้”
“ปู่ของพี่ ทำไมพี่จะไปไม่ได้”
“ไหนบอกมีงานที่ต้องทำต้องแก้ไงคะ แล้วจะ...”
“พี่แค่แวะไปหาปู่ พี่ไม่อยู่กวนเราหรอกน่า” พี่หมอคีย์พูดแทรก เหมือนกับว่าตัดความรำคาญ
“ตามใจเถอะค่ะ” ฉันก็ตัดความรำคาญเช่นกันค่ะ ชักจะหงุดหงิดเต็มที
“อย่าปล่อย” พี่หมอคีย์กระชับมือของฉันไว้เมื่อฉันจะดึงออก
“...” ฉันหันหน้าไปชักสีหน้าใส่พี่หมอคีย์
“เมื่อก่อนจับออกจะบ่อย แล้วตอนนี้ทำไมอยากจะปล่อย”
“แขยงมั้งคะ” ฉันพูดพร้อมสะบัดมือออก จากนั้นก็เดินจ้ำอ้าวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว บางทีมันก็เกินจะกลั้นอารมณ์ไว้ได้ ไม่ได้อยากจะหลุดหรอกค่ะ
แต่มันไม่ไหวจริง ๆ อย่าลืมว่าฐานความเป็นคนของฉันคือคนที่เอาแต่ใจ งี่เง่า ไม่สนใจใครนอกจากความรู้สึกตัวเอง เพราะฉะนั้นการอยู่ใกล้ ๆ พี่หมอคีย์มาก ๆ ฉันจะต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เป็นอย่างมาก ถึงมากที่สุด
เหตุการณ์ต่อจากนั้นก็คือ ฉันเดินเข้ามาในห้องของคุณปู่ นั่งวาดรูปตามที่นัดแนะกับคุณปู่เอาไว้ วาดได้สักพักใหญ่ก็ได้เวลาที่คุณปู่จะต้องทานข้าวทานยาตามที่คุณหมอประจำตัวได้สั่งเอาไว้
คุณปู่เดินเหินลำบาก จึงเลือกที่จะนั่งวีลแชร์ ขาของท่านไม่ค่อยดี เนื่องจากท่านเป็นโรคอะไรสักอย่างนี่แหละ ทำให้ท่านยืนนาน ๆ ไม่ได้ เพราะขาจะบวม ตั้งแต่นั้นมาคุณปู่ของพี่หมอคีย์ก็เลือกที่จะนั่งวีลแชร์เป็นประจำ
“หนูจีน” คุณปู่เรียกฉัน ตอนนี้ฉันกำลังจัดยาที่พยาบาลประตัวของคุณปู่ยื่นมาให้
“ขาคุณปู่” กับคุณปู่ฉันมักจะอ่อนหวานอ่อนโยนเสมอ อ่อนหวานเหมือนครั้งในอดีต
อดีตที่อ่อนหวานกับทุกคน แต่ปัจจุบันคนที่ฉันอ่อนหวานด้วยจะเหมือนแค่ญาติผู้ใหญ่ไม่กี่คน นับง่าย ๆ ก็ ตายาย ปู่ย่า และคุณปู่ของพี่หมอคีย์ ส่วนพ่อกับแม่ บางครั้งเท่านั้นที่ฉันจะอ่อนหวานใส่ เพราะส่วนใหญ่ฉันมักจะโดนบ่นจนหูชา และจบลงด้วยการที่ฉันเดินหนี ส่วนแม่ทำท่าจะเป็นลม
“อย่าทิ้งเจ้าคีย์ได้ไหม นอกจากปู่แล้ว เจ้าคีย์มันก็ไม่มีใคร ปู่รู้ว่าหลานชายของปู่ทำไม่ดีกับหนูจีนมาก ๆ มันอาจจะเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว แต่ปู่ก็อยากจะขอ เผื่อว่าปู่เป็นอะไรไป อย่างน้อยปู่ก็เบาใจที่เจ้าคีย์มีหนูจีนที่รักมันมาก ๆ อยู่ข้างกาย” น้ำเสียงที่เหมือนจะหมดแรงของคุณปู่ทำให้หัวใจของฉันหวิวเบาชั่ววูบ
“ค่ะ จีนไม่ทิ้งพี่หมอคีย์ของจีนอยู่แล้ว” ไม่มีทางทิ้งแน่นอน พี่หมอคีย์จะอยู่กับจีนตลอดไป แม้ไม่อยากอยู่ แต่ยังไงก็ต้องอยู่ จีนจะกักขังกักกันไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตาแม้แต่นิดเดียว
“ไม่โกหกคนแก่ที่ใกล้ลงโลงใช่ไหมหนูจีน”
“แน่นอนค่ะ จีนไม่โกหกคุณปู่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้คุณปู่ต้องทานยานะคะ คุณปู่จะได้หาย แล้วก็อยู่กับพี่หมอคีย์ไปนาน ๆ อยู่รอดูความสำเร็จของพี่หมอคีย์ไงคะ” ฉันยิ้มอ่อนโยนให้คุณปู่
ฉันไม่ได้โกหกคุณปู่นะ ก็ฉันไม่คิดจะทิ้งพี่หมอคีย์ แต่ก็ไม่ได้คิดจะสร้างความสุขให้พี่หมอคีย์สักหน่อย
หรือฉันเข้าใจหรือสื่อสารอะไรผิดไปเหรอ ไม่หรอกน่า ฉันน่ะเข้าใจถูกแล้ว จริงไหมคะ ?
“ใช่ ๆ ปู่ต้องอยู่ต่อ ไหนยา เอามาให้ปู่กินเร็ว ปู่ต้องอยู่รอดูเหลนที่เกิดจากหนูจีนกับเจ้าคีย์ เจ้าหนูเหลนของปู่คงจะน่ารักมาก ๆ”
“น่ารักสิคะ เพราะพี่หมอคีย์หล่อ ส่วนจีนก็สวยมาก ๆ ลูกของจีนกับพี่หมอคีย์ต้องน่ารักมากอยู่แล้ว” ลูกน่ะ ถ้ามีต้องเกิดมาน่ารัก เรื่องนี้มันจริงอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะไม่มีทางมีลูกด้วยกันก็เท่านั้นเอง
“ดีจริง ๆ เลย หนูจีนน่ารักเสมอ ปู่รักหนูจีนกับเจ้าคีย์มากนะลูก” คุณปู่ทานยาเรียบร้อยก็ยื่นแก้วคืนมาให้ฉัน
“หนูก็รักคุณปู่ แล้วก็รักพี่หมอคีย์มากค่ะ รักมาก...” และเกลียดหลานชายของคุณปู่มากเช่นกันค่ะ ประโยคหลังก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ ขืนพูดออกไปคุณปู่ของพี่หมอคีย์คงได้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ความดันถามหา เบาหวานมาเยี่ยม มากมายสารพัดโรค
ใช่ ฉันเป็นคนดี ฉันจะไม่ทำร้ายคุณปู่เด็ดขาด แม้ว่าคุณปู่จะเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวของพี่หมอคีย์ ฉันจะไม่ใจร้ายแบบพี่หมอคีย์ แต่ฉันจะใจร้ายยิ่งกว่าพี่หมอคีย์!
-END JINLA-