สามวันต่อมา…
-ร้านสัก-
-JINLA TALK-
“พี่จิวโทรมาบอกน้าว่าจีนถามซื้อตึกด้านหลังตลาดซอยวิเวก” เมื่อเดินเข้ามาในร้านสักของน้าจา น้าจาก็ตั้งคำถามขึ้นมาทันที
“แม่บอกน้าจาว่ายังไงบ้างคะ” ฉันถามด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่ได้สนว่าน้าจาจะทำหน้าเครียดมากแค่ไหน
“เราจะไปเปิดร้านสัก”
“ใช่ค่ะ น้าจาช่วยหาอุปกรณ์ให้จีนด้วยน้า…” ฉันทำเสียงอ้อนพลางส่งยิ้มหวานให้
“มันเร็วไปจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่จะเปิดร้านสัก แล้วจีนก็ต้องไปเรียน” น้ำเสียงยังคงตึงเครียดเช่นเดิมค่ะ
“จีนก็ไม่ได้ยุ่งเรื่องเรียนขนาดนั้นนะคะน้าจา แล้วน้าจาเก่งขนาดนี้ ยังไงก็ดูแลร้านสองร้านควบคู่กันได้อยู่แล้ว ไม่รู้อะ พี่ทิวกับพี่เคลิ้มออกตังค์กันซื้อตึกเป็นของขวัญวันเกิดให้จีนแล้ว ยังไงจีนก็จะเปิดร้านสัก” ฉันเริ่มใช้นิสัยงี่เง่าเอาแต่ใจ ด้านน้าจาก็ถอนลมหายใจอย่างเอือมระอาในตัวฉัน
“ไปเตรียมสักที่หลังต่อเถอะ” น้าจาเปลี่ยนเรื่องพูด ซึ่งฉันเชื่อว่าฉันจะได้เปิดร้านสักอย่างที่ฉันต้องการ
ถ้าจะถามว่าอยากเปิดร้านสักเพราะมันคือความฝันเหรอ
ขอตอบเลยว่า ‘ไม่’
ฉันก็แค่ชื่นชอบ ณ ตอนนี้ ก็เลยอยากลองเปิด อยากลองวาดลวดลายบนตัวคนสักครั้ง ก็แค่นั้น
คนอย่างฉันไม่กล้าคิดจะมีความฝันหรอก คนอย่างฉันต้องอยู่กับความจริงในทุกวัน ทุกวันเท่านั้น
ชื่นชอบก็ตัดสินใจทำ อันไหนไม่ชอบก็ไม่ทำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังแยกไม่ออกว่า ‘ชอบ’ หรือ ‘ไม่ชอบ’
สิ่งที่หมายถึงก็คือ ‘คู่หมั้น’ ของฉัน เมื่อก่อนฉันมั่นใจมากว่า ‘ฉันรักเขา’ แต่ตอนนี้ฉันไม่มั่นใจว่า ‘ฉันเกลียดเขา’ หรือเปล่า
เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะโผล่โทรมาหาฉันในรอบสามเดือนโทรมาหนึ่งครั้ง น่าดีใจที่สุด
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ฉันจะไขว่คว้าโทรหาเขา ส่งข้อความให้กำลังใจเขา บอกกับเขาว่า ‘สู้ ๆ นะคะ จีนเป็นกำลังใจให้’
เป็นการกระทำที่แสนปัญญาอ่อน
ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ ไม่โทรก็ไม่ต้องโทรมาสิ เรื่องของคุณเลย จะอ้างว่าไม่ว่างก็เรื่องของคุณ
หนีได้ หนีไป หนีเท่าไหร่ก็หนีฉันไม่พ้น เพราะกรงที่ฉันสร้างให้เขามันใหญ่มาก
เขาเปรียบเสมือนหนูแฮมเตอร์ที่วิ่งอยู่บนลู่วิ่ง วิ่งเท่าไหร่ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่มีทางถึงจุดหมายที่พยายามแทบตาย
แต่ก็นะ หนูแฮมเตอร์มันก็แค่วิ่งออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวัน ต่างจากพี่หมอคีย์ที่พยายามหนีคู่หมั้นที่แสนดีอย่างฉัน
“วันหยุดนี้ได้ข่าวว่าคีย์จะกลับมา” น้าจาถามขณะที่ฉันกำลังจะหลับ ทั้งที่แผ่นหลังกำลังโดนเข็มทิ่มแทง
“ไม่รู้สิคะ เขาโทรมาก็ไม่ได้ถามเรื่องนั้น ไม่สิ เราไม่ได้คุยอะไรกันเลยมากกว่า โทรมาเหมือนหวงเวลา โทรแบบนั้นไม่รู้จะโทรทำไม” พูดแล้วก็นึกโมโห ทำมาพูดใส่ว่าไม่ได้ว่างเหมือนฉัน
“ก็คีย์มันเรียนหนัก จีนนี่ก็แปลก คีย์ไม่โทรก็บ่น พอโทรก็ไปหาเรื่องทะเลาะกับเขา”
“เข้าใจค่ะว่าเรียนหนัก แต่สามเดือนคุยกันทีก็เกินไป และยิ่งไม่เจอกันเลยปีกว่ามันก็เกินไปนะคะ เข้าใจว่ายุ่ง แต่บางทีก็… ช่างเถอะค่ะ จีนเข้าใจค่ะ พี่หมอคีย์ทำเพื่อความฝันของตัวเอง แต่ถ้าความฝันที่ฟันฝ่าอุปสรรคมากมายมาตั้งหลายปีมันพังลง…จะเป็นยังไงนะ คริคริ”
“หยุดคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลยนะจีน เอาแค่พอดี แต่อย่าไปทำลายอนาคตของคีย์ จีนก็รู้ว่าคีย์มันทุ่มเทกับการเรียนทันตะมากแค่ไหน อย่าไปกวนพี่เขาถึงขั้นนั้น ไม่งั้นน้าจะบอกแม่เรานะ”
“น้าจาอายุเท่าไหร่แล้วคะ ทำไมขี้ฟ้องจัง จีนก็แค่ลองคิดเล่น ๆ แค่นั้นเอง จีนไม่ทำลายอนาคตพี่หมอคีย์หรอกค่ะ จีนไม่ทำแบบนั้นกับพี่หมอคีย์แน่นอน จีนไม่ใช่คนใจร้ายเหมือนพี่หมอคีย์นะคะ” ฉันตอกย้ำพอเป็นพิธี ฉันรู้ว่าน้าจาพยายามเป็นกลางกับทุกฝ่าย
แต่เรื่องความเป็นกลาง ความยุติธรรม พูดกับฉันไม่ได้อยู่แล้ว ฉันไม่สนใจ
“ยังไงก็รักผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เอาแค่พอดี อย่าเกินงาม เดี๋ยวคีย์จบก็ต้องแต่งกันตามที่ปู่ของจีนวางไว้” น้าจายังคงย้ำเตือน สอนสั่งฉัน ถึงความจริงที่ว่า ยังไงผู้ชายคนนี้ก็ต้องร่วมใช้ชีวิตคู่กับฉัน
“มันไม่แน่หรอกค่ะ ตอนนี้พี่หมอคีย์อาจจะมีคนรักแล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นพี่หมอคีย์ก็อาจจะลุกขึ้นมาคัดค้านการแต่งงาน และยอมเสียหลาย ๆ อย่างเพื่อผู้หญิงที่เขารัก หึหึ… คงจะน้ำเน่ามากนะคะถ้าเป็นอย่างที่จีนพูด น้าจาคิดว่าในตอนนั้นจีนควรสวมบทบาทไหนดีคะ ระหว่างคู่หมั้นตัวร้ายหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมถอนหมั้น เป็นมารร้ายที่ต้องได้ครอบครองเจ้าชายที่แสนดี หรือ….จะทำตัวเป็นคุณหนูจีนที่น่าสงสาร โดนคู่หมั้นหักหลังระหว่างที่ไปศึกษาสานความฝัน เอ๊ะ!!! แบบนั้นไม่ได้สิ ภาพลักษณ์ของจีนเป็นคุณหนูจีนที่แสนอ่อนหวานและน่ารักไม่ได้แล้ว งั้นก็คงต้องเป็นอย่างแรกสินะ ถูกไหมคะน้าจา หึหึ”
คำตอบของน้าจาคือการผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ
จากนั้นทุกอย่างก็อยู่บนความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องสักที่ดัง
น้าจาคงขี้เกียจจะพูด เพราะพูดไปก็คงไม่ได้เข้ามาในสมองของฉัน
ความรู้สึกของฉันจะไม่เป็นแบบนี้สักนิด ฉันคงรัก และหวงแหนพี่หมอคีย์มาก หากว่าความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไม่ย้อนกลับมา