“เหยาจี! เราว่ายน้ำข้ามไปไม่ได้! เจ้ารีบกลับขึ้นมาก่อน!” สี่เสินใจหายวาบรีบวิ่งตามมาดึงร่างน้องสาวเอาไว้
“ในน้ำมีสัตว์ทะเลอะไรบ้างเราก็ไม่รู้ อันตรายเกินไป เอาไว้ข้าจะคิดหาทางข้ามไปเกาะนั้นเอง อีกอย่างระหว่างที่เรายังหาทางข้ามไปไม่ได้ ไม่แน่ว่ามนุษย์ที่อยู่ทางนั้นอาจจะข้ามมาหาเราเอง เราก็จุดไฟสุมควันส่งสัญญาณให้เขาบ้างก็แล้วกัน”
“ข้าจะต่อแพเพื่อข้ามไปที่เกาะนั่น เราต้องช่วยกันขนไม้ที่หักโค่นมาไว้ที่ชายฝั่ง ตัดเถาวัลย์ในป่ามาผูกพวกมัน เจ้าไหวไหม”
มองดูมือพี่ชายที่เต็มไปด้วยตุ่มไต ฝ่ามือของสี่เสินไม่ได้อ่อนนุ่มบอบบางเหมือนแต่ก่อนแล้วเหยาจีก็เศร้าใจ การเก็บผลไม้ จับสัตว์มาทำอาหาร จุดไฟ ทุกอย่างล้วนเป็นสี่เสินจัดการให้หมด นางรู้สึกว่าหลายวันที่ผ่านมาความรู้สึกสะดวกสบายทั้งหมดของนางล้วนผ่านมือสองข้างของสี่เสินมาทั้งสิ้น
“ไหวเจ้าค่ะ ข้าเอาแต่กินแล้วก็นอน ข้าอยากทำงานจะแย่อยู่แล้ว” เด็กสาวไม่รอช้าเดินลิ่วกลับไปที่ชายป่าตั้งอกตั้งใจเก็บไม้ที่ตนลากไหวมากองรวมกันไว้ หากเหนื่อยนางก็จะเปลี่ยนไปเก็บเถาวัลย์มาเตรียมเอาไว้แทน ปล่อยให้สี่เสินจัดการกับท่อนไม้ขนาดใหญ่เพียงลำพัง
“ยังมีเรื่องที่เจ้าต้องเรียนรู้อีกมากนัก เมื่อเราพบกับมนุษย์คนอื่น เจ้าจะทำตัวกล้าหาญเช่นนี้ไม่ได้ มนุษย์มีโลภ โกรธ หลง มีการแก่งแย่งมีคนดีค้นร้าย เจ้าต้องระวังตัวมากกว่าเดิม” สี่เสินเล่าเรื่องของมนุษย์เท่าที่ตนเคยได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดจากเทพองค์อื่น ๆ ให้น้องสาวได้รับรู้
สี่เสินและเหยาจีย้ายที่พักมาอยู่ที่ชายหาดชั่วคราว และจุดไฟเอาไว้เกือบจะตลอดเวลาเพื่อส่งสัญญาณให้คนอีกฝั่งรู้ว่ามีคนอาศัยอยู่บนเกาะร้างแห่งนี้ ผู้คนจากอีกฝั่งหนึ่งมองเห็นควันไฟจากพวกตนแน่นอนและมารวมกลุ่มกันที่ชายฝั่งอยู่บ่อยครั้ง
พวกเขามีเรือหลายลำ แต่กลับไม่เคยพายเรือมายังทิศทางของเกาะร้าง ไม่เคยกระทั่งจะหันหัวเรือมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้สองพี่น้องอยู่ไม่น้อย แต่ความเย้ายวนของการจะได้เห็นมนุษย์กลุ่มใหม่ตัวเป็นๆ ของทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถอดทนรอดูสถานการณ์ต่อไปได้ไหว สี่เสินจึงเริ่มลงมือผูกท่อนไม้ด้วยเถาวัลย์และต่อแพขึ้นจนสำเร็จในอีก 10 วันต่อมา
“เหยาจี เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปที่นั่นเพียงลำพังแล้วจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด” สี่เสินจัดการแบ่งผลไม้ออกเป็นสองกอง ฉีกแขนเสื้อยาวเฟื้อยเกินพอดีของเหยาจีมาห่อพวกมันเอาไว้ นอกจากนี้ยังจับปลาและกุ้งเตรียมไว้ให้น้องสาวกินระหว่างวันเรียบร้อยแล้ว
“พี่สี่เสิน ท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่ามนุษย์มีทั้งคนดีและคนชั่ว ถ้าพวกเขาเป็นคนชั่วจับตัวท่านไปเล่า? ข้าจะอยู่อย่างไรเพียงลำพัง” เหยาจีหน้าตื่น ไม่คิดว่าสี่เสินจะตัดสินใจลอยแพไปคนเดียวแล้วทิ้งตนเองไว้
“หากข้ามีอันตรายข้าก็จะหาทางหลบหนีออกมาเอง แต่หากเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน ข้าต่างหากที่ต้องเสียใจ อยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่าเจ้าก็รู้ว่าพวกเขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตรอบเกาะเลยสักครั้ง”
“แล้วทำไมท่านไม่คิดว่าข้าอาจจะช่วยท่านได้บ้างเล่าเจ้าคะ หากท่านเป็นอะไรข้าเสียใจไม่เป็นหรือ? เรื่องนี้ข้าไม่ยอมเด็ดขาด ไปไหนเราก็ต้องไปด้วยกัน” เหยาจีหยิบห่อเสบียงอาหารส่วนของตนกระโดดขึ้นไปนั่งบนแพอย่างไม่ยินยอม
“เจ้ามันดื้อรั้นนัก ข้าเพิ่งสอนไปไม่นานว่าเจ้ามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังข้า” สี่เสินใช้มือผลักศีรษะน้องสาวเบาๆ แม้จะกล่าวคำตำหนิ แต่หัวใจของเด็กหนุ่มก็รู้สึกซาบซึ้งและมีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิมที่เห็นว่าน้องสาวก็เป็นห่วงตนไม่น้อยไปกว่ากัน
การถ่อแพด้วยท่อนไม้หนึ่งท่อน จากกำลังแขนของเด็กชายร่างผอมอายุ 14 ปี ยากเย็นเหลือเกินในความคิดของสี่เสิน โชคดีที่วันนี้คลื่นลมไม่แรง แพของพวกเขาทั้งสองจึงยังมุ่งหน้าไปยังเกาะใหญ่ใกล้เข้าไปทุกที
จากสายตาที่คะเนไว้ว่าระยะห่างระหว่างสองเกาะน่าจะราวๆ 5 ลี้ แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนระยะทางจะไกลเกินกว่าที่สองพี่น้องเห็นมากนัก ทั้งคู่ไม่ได้ปริปากพูดคุยกันเลยสักคำมาตลอดทาง เพราะในใจต่างมีความคิดที่หลายหลากเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมนุษย์กลุ่มแรกที่พวกตนไม่รู้จัก
ชาวบ้านจากเกาะจิงเหมินมองเห็นแพที่มีคนนั่งอยู่ด้านบนสองคนตั้งแต่ไกล พวกเขาจับกลุ่มชี้ไม้ชี้มือให้คนอื่น ๆ พากันมองดูไปที่สองพี่น้องที่เข้าใกล้ชายหาดมาทุกที
“มีคนอาศัยอยู่บนเกาะลอยแห่งนั้นจริงๆ เสียด้วย”
“ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นเด็กชายและเด็กหญิงอายุน้อยกันนะ”
“ไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเร็ว คนจากเกาะลอยปรากฏตัวออกมาแล้ว เราอาจจะรู้ข่าวอะไรจากที่นั่นบ้างก็ได้” ชายชาวประมงตะโกนบอกกันไปเป็นทอดๆ
หลายคนรู้สึกหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของสองพี่น้อง รีบเรียกบุตรหลานวัยเยาว์ของตนให้ขึ้นจากน้ำ หลายคนก็ช่วยกันลากเรือขึ้นมาบนชายหาดด้วยความแตกตื่น ชาวบ้านในหมู่บ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะทยอยกันเดินทางมาที่ชายหาด ชายหนุ่มบางคนยังถืออาวุธติดไม้ติดมือกันมาด้วยเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะปลอดภัยจากมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนเกาะลอยแห่งนั้น
สถานการณ์บนชายหาดฝั่งเกาะจิงเหมินชุลมุนวุ่นวายไม่แพ้จิตใจของสองพี่น้องบนแพไม้ลำเล็กเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าหมู่บ้านบนเกาะจิงเหมินเป็นบุรุษกลางคนร่างใหญ่วัย 45 ปี เมื่อเห็นว่าบนแพไม้ที่ใกล้จะถึงขายหาดเป็นเพียงเด็กหนุ่มและเด็กสาวรุ่นเยาว์ เขาตัดสินใจเดินลุยน้ำลงทะเลไปเจรจากับอีกฝ่ายก่อนที่คนทั้งสองจะลงจากแพ
“เจ้าอาศัยอยู่บนเกาะลอยหรือ? มีใครอยู่ที่นั่นอีก พ่อแม่ของเจ้าครอบครัวของเจ้ามีกันทั้งหมดกี่คน?” เกาโหลวถามเสียงเข้ม ดังพอที่จะให้ชาวบ้านที่ยืนอยู่เบื้องหลังได้ยินโดยทั่วกัน
“เกาะลอย? เกาะนั้นมีชื่อว่าเกาะลอยหรือขอรับ? เราสองพี่น้องรอดชีวิตกันเพียงสองคนจากเรือโดยสารที่แตกกลางทะเล พวกเราลอยไปติดอยู่ที่ชายฝั่งของเกาะแห่งนั้น จนมองเห็นควันไฟจากที่นี่เราเลยพยายามจุดไฟเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็ช่วยกันต่อแพขึ้นมาได้ก็เลยลอยแพกันมาเอง เราไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นหรอกขอรับ”
เหยาจีเหลือบตามองพี่ชายของนางแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกชื่นชม เพียงครู่เดียวสี่เสินก็สร้างเรื่องราวเป็นตุเป็นตะขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน
เกาโหลวไม่กล่าวตอบโต้อะไรกับเด็กทั้งสองอีก เขาหันหลังเดินกลับมาพูดคุยกับชาวบ้านที่ชายหาดเบาๆ
แท้จริงแล้วสี่เสินก็ยังไม่ได้เข้าใกล้ชายหาดมากนัก เขาตั้งใจว่าหากกลุ่มคนที่ถืออาวุธขยับขาออกมาแม้เพียงก้าวเดียว ตนก็จะตัดสินใจหันหัวพาน้องสาวลอยทะเลกลับไปที่เกาะร้างอีกครั้ง โชคดีที่เป็นบุรุษร่างใหญ่ในมือไร้อาวุธเดินมาหาตนและน้องสาวเพียงลำพัง
ดูจากสีหน้าและการลดความก้าวร้าวลงไปของชาวบ้านบนหาดทรายก็ทำให้สี่เสินโล่งใจ
บนชายหาดหัวหน้าหมู่บ้านเกาโหลวก็กำลังหารือกับสมาชิกบนเกาะของตนเช่นกัน
“ร้อยวันพันปีไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นคนอาศัยอยู่บนเกาะลอยเลยสักคน แต่ข้าเห็นเต็มสองตาเลยนะว่าพวกเขาลอยแพออกมาจากเกาะประหลาดนั่นจริงๆ” ชายชราผู้เห็นเหตุการณ์เป็นกลุ่มแรกรีบยืนยันสิ่งที่ตนเห็น
“เจ้าหนุ่มน้อยนั่นบอกว่าเขาจุดไฟส่งสัญญาณ นั่นก็เป็นเรื่องจริงอีกด้วย เราเห็นกองไฟถูกจุดขึ้นที่ชายหาดอยู่หลายวันแล้ว หรือว่าพวกเขาเพิ่งจะรอดชีวิตมาจากเรือแตกจริงๆ”
“สองเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้าก็เชื่อว่าจริงตามที่พวกเขากล่าว แต่พวกเขาลอยเข้าไปติดเกาะนั่นได้อย่างไรนี่ต่างหากที่ข้าสงสัย”
เกาะที่มีภูเขาอยู่ตรงกลางเป็นจุดเด่นแห่งนั้นแทบจะเรียกว่าเป็นเกาะในตำนานแห่งท้องทะเลก็ว่าได้ มันสามารถเคลื่อนตัวไปกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ได้โดยอิสระจึงถูกขนานนามว่าเกาะลอย
มีผู้คนในอดีตมากมายที่พยายามแล่นเรือเข้าไปเทียบที่เกาะลอยแห่งนั้น แต่ผ่านมานานเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ทุกวันนี้เรือขนาดเล็กหรือใหญ่ แม้กระทั่งการว่ายน้ำเข้าไปก็ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเหยียบย่างขึ้นไปบนเกาะลอยได้เลยสักคน
เมื่อพวกเขาพยายามเดินทางเข้าใกล้เกาะไปเมื่อใด ก็ดูเหมือนว่าเกาะจะเคลื่อนที่ลอยห่างไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในอดีตมีคนรวมกลุ่มกันส่งเรือร้อยลำพร้อมกับอาวุธเต็มลำเรือล้อมรอบเกาะเอาไว้ไม่ให้มันลอยหนีไปได้ ก็กลับกลายเป็นว่าเรือทั้งร้อยลำถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากดูดกลืนเรือให้จมลงสู่ใต้ทะเล
ครั้งนั้นมีผู้คนจำนวนมากประสบอุบัติเหตุ บ้างก็ได้รับการช่วยเหลือทัน ที่พยายามว่ายเข้าไปให้ถึงเกาะลอยก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงจมน้ำเสียชีวิตไปไม่น้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล่าที่ผ่านมาเนิ่นนานราวกับเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง ไม่เคยปรากฏว่าบนเกาะจะส่งสิ่งมีชีวิตออกมาเข่นฆ่าผู้คน ทุกอย่างคล้ายเป็นอุบัติเหตุทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าคิดย่างกรายเข้าไปในอาณาเขตของเกาะลอยอีกเลย