“สตรีต้องมารยาเท่านั้น ต้องมารยาเข้าไว้ ถึงจะได้บุรุษมาครอบครอง อา...แล้วข้าต้องมารยาอย่างไรบ้าง?” นางเริ่มเห็นแสงสว่างในชีวิต
หนิงเหมยมองซูเจินนิ่งๆ สายตาเริ่มฉายแววร้าวลึก “ที่เจ้าว่ามาล้วนถูกต้องทั้งสิ้น หากแต่ข้ากลับคิดต่าง”
“หืม...”
หนิงเหมยถอนหายใจคำรบหนึ่ง “แน่นอนว่าสตรีย่อมมารยา มีสตรีนางใดบ้างที่ไม่มารยา แค่มองตาส่งยิ้มก็เรียกว่ามารยาได้ หากแต่ถ้าบุรุษหนักแน่นมากพอ ปัญหาทั้งหลายก็คงไม่เกิด” นางเอ่ยกับซูเจินด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก็เท่านั้น
“ความผิดทั้งหมดล้วนเกิดมาจากบุรุษทั้งสิ้น ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นคนดีมีความรับผิดชอบปานใด หากบุรุษมีรักแท้ที่มั่นคงมากพอ ไม่ว่าเขาจักเจอสตรีสักกี่นาง เจอมารยาร้ายกาจสักเท่าใด การนอกใจต้องไม่เกิด เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือไม่?”
ซูเจินกลอกตาไปมา “หากบุรุษฉลาดมากๆ เหมือนท่านพ่อของข้าทุกคนก็แย่น่ะสิ แล้วอย่างนี้ข้าจะหลอกล่อใครได้เล่า?”
หนิงเหมยได้ฟังพลันกะพริบตาปริบๆ ข้ากับเจ้ากำลังคุยเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่?
ในขณะที่สองสตรีกำลังเริ่มจะคุยกันคนละทาง เสียงของหนี่ม่านพลันตะโกนเข้ามา “คุณหนูเจ้าคะ ม้าของเรามันไม่ยอมหยุดวิ่งเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
ซูเจินกินขนมต่อมิได้สนใจ
หนิงเหมยเริ่มขมวดคิ้วสงสัย “มันวิ่งไปย่อมสมควร เจ้าจะให้มันหยุดเพื่อเหตุใด”
“หากมันไม่หยุด เราคงตกลงไปเจ้าค่ะ” หนี่ม่านเอียงหน้านึกครู่หนึ่งว่าเบื้องหน้าที่นางเห็นคืออันใด “บ่าวคิดว่าข้างหน้าของเราเป็นเหวเจ้าค่ะ แต่ว่าบ่าวหยุดม้าไม่ได้”
“...!?”
ซูเจินลุกขึ้นทันใดจนหัวชนกับหลังคารถม้าเสียงดังโป๊ก ในขณะที่หนิงเหมยถึงกับตกใจตาโตทำสิ่งใดไม่ถูกทั้งนั้น ส่วนหนี่ม่านทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆ อย่างโง่งม สตรีทั้งสามเริ่มชุลมุนวุ่นวาย ซูเจินคิดจะออกมาจากตัวรถม้าเพื่อบังคับม้าที่กำลังควบตะบึงไร้ทิศทาง
เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นเสียงดังกุบกับๆ จนฝุ่นตลบอบอวลผสมผสานกับเสียงกรีดร้องของสองสตรีดังระงมวุ่นวาย
แต่ยังไม่ทันที่ซูเจินจะออกจากตัวรถม้าเพื่อตรงเข้าไปจับบังเ**ยนม้า รถม้าพลันเปลี่ยนทิศทางการขับเคลื่อน เพียงครู่ม้าที่กำลังเตลิดพลันสงบและค่อยๆ ชะลอตัวก่อนจะหยุดวิ่งคงเหลือเพียงการเดินเหยาะๆ ก็เท่านั้น
สตรีทั้งสามมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดม้าที่กำลังไร้การควบคุมถึงสงบลงได้
เมื่อแน่ใจว่ารถม้าหยุดเคลื่อนที่จนนิ่งดีแล้ว หนี่ม่านจึงเปิดผ้าออกมามองก่อนใคร แต่แล้วนางพลันชะงักไปก่อนจะทำตาโต ใบหน้าแดงซ่าน เหม่อมองเป็นนาน
สาเหตุที่ทำให้รถม้าหยุดนิ่งคือบุรุษหนุ่มรูปงามสองคน
คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีม่วงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลา ท่างท่าเคร่งขรึม สีหน้าเย็นชา สมชายชาตรี
อีกคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเนื้อดีเรียบลื่นมันวาวสีเงินยวง รูปโฉมงดงาม ผิวพรรณดั่งหยกสลัก ดวงตาเรียวคม ให้ความรู้สึกวาบหวามยามมองสบตา
หนี่ม่านถึงกับตาลาย อ้าปากเผยอ นางกำลังเจอเข้ากับเทพเซียนมาจุติยังโลกมนุษย์
“เป็นอะไรไปหรือหนี่ม่าน” หนิงเหมยเริ่มเป็นห่วงสาวใช้ของตนจึงเอ่ยถามพลางเดินออกมาจากรถม้า “หนี่ม่าน”
“เอ่อ...คุณหนู” หนี่ม่านยกนิ้วชี้ไปยังเทพเซียนด้านล่างรถม้าโดยที่สายตายังคงเหม่อมองไปที่สองบุรุษทั้งสองอย่างขัดเขิน
หนิงเหมยมองตามการชี้ชวนของสาวใช้
นางเห็นบุรุษสองคนยืนอยู่กับม้าด้านหน้าคันรถ คนหนึ่งยืนมองมาทางรถม้า ใบหน้าเรียบเฉยดวงตาดุดันเป็นประกายหมายจ้องมองเข้าไปในรถม้าที่มืดมิด ท่าทางของเขาดุดันน่าเกรงขาม
อีกคนหนึ่งรูปงามมากนัก เขากำลังลูบคอม้าอย่างอารมณ์ดี
“ท่านทั้งสองคงเป็นคนช่วยพวกเราไว้” หนิงเหมยคลี่ยิ้มส่งให้พร้อมกล่าวออกไปทางชายรูปงามทั้งสอง “ขอบคุณพวกท่านมาก”
หยางเหอจินมิได้ตอบคำอันใด เขายังคงหรี่ตาคมเข้มมองเข้าไปในรถม้า ในนั้นมีสตรีนางหนึ่งที่เขาต้องการเห็นหน้า
เฟยหลงเซียนที่กำลังลูบคอม้าเพื่อให้มันสงบและเชื่อฟังสังเกตเห็นหยางเหอจินจ้องมองสตรีในรถม้าไม่วางตาอย่างนั้น เขาจึงเข้าใจได้ว่า ท่านอาของเขาคงเจอกับสตรีถูกใจเข้าแล้ว
ชายหนุ่มจึงเริ่มเอ่ยคำเพื่อเปิดทางให้อย่างหวังดี “แม่นาง...อย่าได้เกรงใจ พวกเราแค่คนผ่านมาเห็นสตรีงดงามกำลังลำบากมีหรือจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือ”
ทั้งน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ทั้งรอยยิ้มประดับใบหน้าที่มีเสน่ห์ตรึงใจหนักหนา หนี่ม่านถึงกับบิดตัวไปมาเขินอายเป็นที่สุด
หนิงเหมยมองบุรุษที่กำลังเอื้อนเอ่ยด้วยสายตาเย็นชาก็เท่านั้น หากแต่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มงดงาม น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดียวกัน
“ข้าต้องขอบคุณท่านอีกครั้ง แต่คงไม่มีอะไรแล้วกระมัง เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัว” หญิงสาวหันไปทางสาวใช้ที่ยืนบิดชายผ้าจนแทบขาดวิ่น
“หนี่ม่าน...เราเดินทางต่อเถิด”
หา!
หนี่ม่านอุทานในใจ นางคิดจะมองบุรุษรูปงามให้เป็นอาหารตาอาหารใจชดเชยที่เจอกับบุรุษอัปลักษณ์เมื่อครู่ก่อนหน้าเสียหน่อย
“ข้าคิดว่าม้าของแม่นางคงเดินทางไม่ไหวแล้วกระมัง ยามนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว ถึงแม้จะมีแสงจันทราเต็มดวงส่องสว่างลงมา หากแต่ฝืนเกินไปคงไม่ดีเป็นแน่” เฟยหลงเซียนยังคงเอ่ยคำ เขามีแผนชายงามอยู่เต็มไปหมด สตรีร้อยทั้งร้อยย่อมสยบให้เขา
หนิงเหมยเริ่มหรี่ตา ไม่ว่าบุรุษคนใดก็เหมือนกันหมด หาดีไม่ได้สักคน นึกว่านางมองไม่ออกหรือไร แม้ในใจจะก่นด่าหากแต่ใบหน้ายังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ปลายทางของข้าใกล้จะถึงที่หมายแล้ว มิได้มีเหตุผลอันใดต้องหยุดกลางทาง”
“อ้อ...เช่นนั้นรึ!” เฟยหลงเซียนเริ่มไปต่อมิได้ หากแต่สตรีที่เล่นตัวยิ่งยั่วยวนหนักหนา “เช่นนั้นให้พวกข้าไปส่งดีหรือไม่?”
“ไม่ดี!” หนิงเหมยตอบทันควัน
“...” เฟยหลงเซียนถึงกับเลิกคิ้วจ้องมอง
หนิงเหมยยังคงยกยิ้มตรงริมฝีปากสีชมพูสวยหวานแต่นัยน์ตาเริ่มไม่เป็นมิตร
ถึงแม้ว่านางจะค่อนข้างแน่ใจว่าบุรุษรูปงามแต่งกายดีตรงหน้าทั้งสองนี้จะไม่เหมือนพวกกักขฬะเมื่อครู่และมิใช่พวกที่ภรรยารองของบิดาจะมีความสามารถติดสินบนว่าจ้างมา แต่ทว่าขึ้นชื่อว่าบุรุษล้วนเหมือนกันทั้งนั้น ยิ่งได้เห็นสายตากรุ้มกริ่มเยี่ยงนั้นยิ่งไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา
พวกเขาหมายมาดสิ่งใด ไยนางจะไม่เข้าใจ น่ารังเกียจที่สุด!
เฟยหลงเซียนเริ่มจับกระแสไม่พอใจของสตรีงดงามรอยยิ้มอ่อนหวานของนางบนรถม้าได้และนั่นยิ่งทำให้เขาชอบใจ เขาจึงคิดจะเกี้ยวนางให้ฉ่ำอุรา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อนเอ่ยวาจา หยางเหอจินพลันพุ่งตัวขึ้นไปในรถม้าแล้วหายเข้าไปในรถม้า
“...!?”
หนิงเหมยกับหนี่ม่านถึงกับยืนแข็งมองตาค้าง
เฟยหลงเซียนก็เช่นกัน ไยท่านอาไม่เสียเวลาเกี้ยวพาราสีเสียหน่อยเล่า? ใจร้อนเสียจริง! นับถือยิ่งแล้ว...