บ้านของย่งเส็งไม่ได้อยู่ห่างจากศาลปู่ย่าสักเท่าไหร่ สามารถเดินถึงกันได้เพราะอยู่ในอาณาบริเวณติดกัน และที่สำคัญตระกูลของย่งเส็งเป็นคนสร้างศาลนี้ขึ้นมาเอง เพื่อให้ชาวไทยเชื้อสายจีนเข้ามาเคารพบูชา กราบไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่มาถึงบ้านย่งเส็งแล้ว อมเรศก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นเพื่อจะได้เล่าเรื่องราวเลวร้ายด้วยความเต็มใจ
“ก่อนที่ฉันจะช่วยเหลือใคร ฉันต้องรู้จักคน ๆ นั้นเป็นอย่างดีเสียก่อน หากนายจะเล่าให้ฉันฟังนะ” ย่งเส็งเริ่มเอ่ยขึ้นก่อน พร้อมกับมองหน้าอมเรศด้วยแววตาอันเป็นมิตรมากขึ้น
“ผมกับพ่อ เราถูกลักพาตัวมาไม่รู้ว่ามันอยากจะเรียกค่าไถ่หรืออะไร มันไม่มีการโทรศัพท์กลับไปที่บ้านผมเลย เหมือนมันกำลังหาทางฆ่าเรา แต่เราก็เลือกหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต ระหว่างหลบหนีมันยิงพ่อผมเสียชีวิต ผมซ่อนตัวอยู่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองแล้วก็หนีมา จนเจอศาลเจ้าก็เลยเข้าไปหลบ” อมเรศเล่าสั้น ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เข้าใจได้ง่ายเช่นกัน
“นายสำคัญถึงขนาดที่พวกนั้นอุ้มฆ่าเชียวเหรอ”
“เปล่าครับ แต่ผม หม่อมราชวงศ์อมเรศ ส่วนพ่อผมหม่อมเจ้าอัศวเรศ ระวิวงษ์อำไพครับ พ่อมีบริษัทพลังงานและในเครืออีกมาก มีผู้บริหารระดับสูงช่วยกันดูแลรวมทั้งนักการเมืองด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังและเกี่ยวข้องกับบริษัทไหม ผมยังเด็กพ่อไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังหรือแม้แต่จะให้ยุ่งเรื่องงาน ทำให้ไม่รู้สาเหตุของการอุ้มในครั้งนี้ครับ” คำบอกเล่าของอมเรศทำให้ย่งเส็งถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง
“เมื่อไม่รู้ว่ามันเป็นใครแบบนี้แล้ว ก็ให้พวกมันรู้ไม่ได้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ ให้เห็นตัวตอนนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันเก็บนายแน่”
“ผมก็เลยต้องขอหลบที่นี่ก่อน แต่ไม่รู้ว่าจะกลับกรุงเทพฯ ยังไงดี”
“ถ้าทุกอย่างที่เล่าเป็นเรื่องจริง ที่นี่ก็ยินดีให้นายอยู่และหลบซ่อนจนกว่าจะปลอดภัย”
“ขอบคุณครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” อมเรศถามขณะทั้งที่มีน้ำตาคลอเล็กน้อย
“ย่งเส็ง เรียกเฮียย่งก็ได้ ทุกคนก็เรียกอย่างนั้น”
“ครับเฮียย่ง” อมเรศรับคำยิ้มเจื่อน ๆ
“พี่ไม่เรียกนายว่าคุณชายหรอกนะ มันกระดากปากแกล้งเป็นผู้ดีไม่เก่งเสียด้วย ให้เรียกว่าอะไรดี” ย่งเส็งแทนตัวเองอย่างสนิทปากเพื่อหวังจะให้อมเรศไว้ใจ
“เรียกอั้มเฉย ๆ ก็ได้ครับผมเพิ่งจบ ม. 6 น่ะ”
“เอาเป็นว่าอยู่ให้สบายใจ จนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัย ระหว่างนี้พี่จะให้คนไปจัดการสืบให้ว่าพ่อของนายเป็นยังไง... และจะช่วยสืบว่าใครอยู่เบื้องหลัง น่าจะทำได้นะ”
“ขอบคุณเฮียอีกครั้งครับ ตอนนี้ผมแทบจะไม่เหลือใครเลย ผมกลัวเหลือเกินว่าพวกนั้นมันจะหันไปเล่นงานแม่”
“ถ้าไว้ใจกัน เดี๋ยวจะส่งคนไปสอดส่องดูแลให้ เชื่อมือพี่ว่าหม่อมแม่นายจะปลอดภัย”
“ผมไม่รู้จะขอบคุณเฮียยังไงดี แต่ขอบคุณมากครับ”
“พี่เป็นนักเลงมีคุณธรรมสูง ใครตกทุกข์มาก็อยากจะช่วยเหลือ และคิดว่าคงมีบุญหรือไม่ก็เวรกรรมต่อกัน ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่ได้เจอเจ้าพวกนั้นและไล่มันออกไปหรอก” ไม่ใช่แค่จะมีบุญหรือกรรมต่อกัน แต่ย่งเส็งกลับรู้สึกอาทรเด็กหนุ่มคนนี้ แถมยังถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
“ผมก็เชื่ออย่างนั้น ระหว่างที่อยู่ที่นี่ผมจะไม่ทำให้เฮียเดือดร้อนเลย ผมสัญญาครับ”
“แค่นายเชื่อฟังพี่ไม่ออกไปโชว์ตัวที่ไหนก็พอแล้ว แค่นี้นายก็จะปลอดภัย”
“ครับเฮีย” บุญคุณที่ดูเหมือนจะน้อยนิด แต่สิ่งที่ย่งเส็งทำมันก็ดูยิ่งใหญ่เพราะเป็นการให้ชีวิตใหม่กับคน ๆ หนึ่งเลยทีเดียว และคนนั้น ๆ ดันเป็นทายาทที่เหลือเพียงคนเดียวของตระกูลระวิวงษ์อำไพ นี่สิที่เรียกว่าบุญคุณท่วมหัว
จากนั้น ย่งเส็งยังให้ลูกน้องไปตามสืบด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหม่อมเจ้าอัศวเรศ แต่ก็ได้รับการยืนยันจากข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่าเสียชีวิตแล้วจากเหตุฆาตกรรม แต่การตามหาคนร้ายดูจะยืดเยื้อเสียเหลือเกินและคิดว่าจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนคนที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะอยู่เบื้องหลังนั้นไปอยู่ต่างประเทศก่อนจะเกิดเรื่อง รวมทั้งคนที่ใกล้ชิดก็ออกนอกประเทศไปกันหมด นั่นยิ่งทำให้มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีกว่าน่าจะเป็นคนสั่งฆ่าหม่อมเจ้าอัศวเรศ
ทางตำรวจได้สืบหาต้นเหตุของการอุ้มฆ่าในครั้งนี้ ก็พบความผิดปกติเรื่องการเงินภายในบริษัทนั่นเอง จึงได้รู้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากหม่อมเจ้าอัศวเรศไปรู้ความลับเข้าจึงได้ถูกฆ่าปิดปาก คนที่ทำอย่างนี้ได้คือคนที่เสียผลประโยชน์หลายร้อยล้าน หากจะตามจับเข้าคุกก็ดูจะยากเสีย ยิ่งมีอิทธิพลด้วยแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร
เวลานี้อมเรศเป็นห่วงอยู่คนเดียวคือมารดา ย่งเส็งจึงส่งคนไปดูแลแบบลับ ๆ ขณะเดียวกันก็ให้ความช่วยเหลืออมเรศอย่างเต็มที่ ประหนึ่งน้องชายคนหนึ่ง แม้อยากจะกลับไปสืบหาความจริง
แต่ย่งเส็งยังไม่อนุญาต จึงอยากให้รอเวลาที่เหมาะสมเสียก่อน นั่นคือให้เรื่องมันซ่า
“ใจร้อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะนำมาซึ่งความตาย ไว้รออีกสักระยะหนึ่งก่อน พี่ถึงจะส่งนายกลับวังนะอั้ม” ย่งเส็งให้ความเห็นในวันหนึ่ง
“ผมเป็นห่วงคุณแม่ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงแล้วบ้างครับ แล้วงานศพคุณพ่อล่ะ”
“หม่อมแม่ปลอดภัยนายก็วางใจได้ ส่วนเรื่องงานศพพี่เห็นหม่อมแม่นายจัดแบบเรียบง่าย คงไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โต”
“ท่านไม่ควรมาตายแบบนี้ พิธีศพควรจะสมเกียรติกว่านี้ด้วยซ้ำ ผมอยากกลับไปแก้แค้น อยากไปฆ่ามัน”
“ผู้ต้องสงสัยหนีไปเมืองนอกแล้ว คาดว่าฆาตกรก็หนีไปแล้วเหมือนกัน แต่พี่เชื่อว่ากรรมมันวิ่งเร็วพอ ๆ กับจรวด นายจะได้เห็นมันตายในชาตินี้นี่แหละ”
“ผมคงรอไม่ไหว เฮียก็รู้ว่าเพราะเงินถึงทำให้เรื่องมันซ่าลงแบบนี้ มีนักการเมืองหนุนหลัง ตำรวจจับตัวใครไม่ได้สุดท้ายคดีของพ่อก็จะถูกปิดไปโดยปริยาย”
“เอาน่าใจเย็น ๆ สิ เดี๋ยวพี่จัดการให้ คุณชายอย่างนายมือไม่ควรเปื้อนเลือด ปล่อยให้พี่จัดการเอง” ย่งเส็งขันอาสาที่จะจัดการปัญหาแทนอมเรศ นั่นก็เพราะว่ารักและสงสาร
“ผมไม่อยากให้เฮียต้องลุยเดี่ยว” อมเรศบอกด้วยความเป็นห่วง
“หึ ๆ นายเองก็ไม่เหมาะที่จะลุย นายยังเด็ก และพี่ไม่ได้ลุยเดี่ยวเอาเป็นว่า ถ้าคิดถึงและเป็นห่วงแม่มากล่ะก็ พี่จะเคลียร์ทางให้นายได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย นายจะได้ไปจัดการหลาย ๆ เรื่องที่พ่อได้ทิ้งเอาไว้ในบริษัท”
“ขอบคุณนะครับเฮียย่ง”
“นายเหมือนน้องชายพี่นะอั้ม”
“บุญคุณนี้ผมจะไม่ลืมเลย ชีวิตของผมเป็นหนี้เฮียไม่รู้ว่าชาตินี้จะทดแทนยังไง เมื่อไหร่ที่เฮียอยากจะขอความช่วยเหลือจากผม แค่เฮียเอ่ยออกมาผมก็ยินดี”
“นายยังเด็กเกินไปที่พี่จะขอความช่วยเหลือว่ะอั้ม แต่ก็ไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะมีวันนั้นก็ได้”
“ให้ผมแลกด้วยชีวิตก็ยอมนะเฮีย” เด็กหนอเด็กช่างแสนซื่อ ย่งเส็งคิด
“ฮ่า ๆ ไม่ พี่ปกป้องนายก็เพราะว่าเป็นห่วงชีวิต ฉะนั้นรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อจะได้ทำตามสัญญาที่นายให้ไว้กับพี่ไง สักวันนายจะได้ช่วยเหลือแน่พี่นะอั้ม” อันที่จริงแล้วย่งเส็งคิดว่าคงไม่มีวันหรอก เพราะเส้นทางที่เดินของทั้งคู่มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นคุณชาย อีกคนหนึ่งเป็นถึงทายาทมาเฟีย แต่ถ้าวันนั้นมาถึงก็ไม่แน่ว่าอมเรศนี่แหละที่จะช่วยเหลือเขาได้ดีที่สุด
“ผมสัญญาครับเฮีย ผมจะรอ” มันเป็นคำสัญญาระหว่างพี่น้องร่วมสาบาน แต่คำสัญญานั้นมันค่อย ๆ ลบเลือนหายไปพร้อมกับความสงบสุขในชีวิต อมเรศกลับไปที่วังพร้อมกับชีวิตใหม่ และบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับมารดาฟัง แต่เพราะความที่ยังหวาดกลัวว่าอิทธิพลมืดนั้นมันอาจจะยังอยู่ อมเรศจึงถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศ
มาถึงตอนนี้ แม้ว่าหม่อมอมราจะรู้ว่าใครมีบุญคุณต่อบุตรชายและครอบครัว แต่ถึงกระนั้นการมาเยือนของระพีพรรณก็ต้องถูกปิดไว้เป็นความลับ บอกใครไม่ได้ว่าเป็นบุตรสาวของย่งเส็ง เพราะไม่อยากให้เกิดอันตรายขึ้น และอมเรศไม่ได้หนักใจต่ออะไรทั้งสิ้น ยกเว้นก็แต่เรื่องที่หม่อมอมราไม่ปลื้มระพีพรรณ เพราะมองว่าเป็นกาฝากเท่านั้น ทว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเขาต้องกลับไปจัดงานศพของย่งเส็งต่างหาก
“เพราะผมหรือเปล่าเฮีย ใช่พวกที่เราไปแก้แค้นมันหรือเปล่า” อมเรศหวนนึกถึงเมื่อสิบปีที่แล้ว พาลนึกถึงเรื่องที่ทำลงไปส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน และย่งเส็งอาจเสียชีวิตเพราะไปจัดการกับพวกที่โก่งเงินบริษัทของอมเรศก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะมาเฟียกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากย่งเส็งไม่ได้เป็นมาเฟียฝ่ายดีเสียทีเดียว ก็ทำหลาย ๆ อย่างที่เทา ๆ อยู่เช่นกัน แม้ว่าปัจจุบันคดีของหม่อมเจ้าอัศวเรศจะสิ้นสุดลงแล้ว เพราะจับตัวฆาตกรได้ส่วนผู้จ้างวานได้ชิงฆ่าตัวตายก่อนที่ถูกทางการอเมริกาส่งตัวกลับไทย
“เอาไว้เรื่องซ่าแล้วผมจะกลับไปจัดการเรื่องเอกสารของเพ่ยเพ่ยให้นะครับ เฮียไม่ต้องเป็นห่วง รวมถึงเรื่องของพี่ด้วย” อมเรศเอ่ยออกมาลอย ๆ
“เพ่ยเพ่ย ชื่อน่ารักน่าชัง” อมเรศรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยแสนน่ารักคนนี้ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคนในครอบครัวจะเอ็นดูเธอเหมือนเขาหรือเปล่า เขาคิดพลางยิ้มออกมาด้วยความลืมตัว ก่อนจะหยุดขบคิดถึงเรื่องราวในอดีตอันแสนเลวร้ายที่ผ่านมา แล้วเดินหน้าทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับย่งเส็ง คือดูแลระพีพรรณให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้
ก๊อก!!! ก๊อก!!! ก๊อก!!! ขณะที่อมเรศกำลังพยายามสลัดความคิดวุ่น ๆ ออกไปจากสมองอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดึงขึ้นฉุดให้เขาหลุดจากภวังค์ และเอี้ยวตัวหันกลับไปมองแล้วเอ่ยอนุญาตเท่านั้น
“เข้ามา” สิ้นคำ ประตูก็เปิดพร้อมกับวัฒนะเดินเข้ามาหา
“หม่อมให้มาแจ้งว่าตอนหนึ่งทุ่มคุณหญิงน้อยจะมาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยครับ ให้คุณชายเตรียมตัวเอาไว้”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว อีกตั้งนาน กลัวฉันจะหาเรื่องหนีหรือยังไง” อมเรศอดประชดประชันไม่ได้
“ก็ไม่แน่นะครับตอนนี้มีสาวน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน คุณชายอาจจะไม่มีเวลาไปดูแลคนอื่น”
“แน่นอน อยู่กับเด็กแล้วสบายใจกว่า ไปบอกหม่อมว่าฉันจะลงไปก่อนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ขออาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อน”
“ได้ครับคุณชาย” ว่าแล้ววัฒนะก็ออกไปจากห้องและปิดประตูให้เรียบร้อยดังเดิม จากนั้นอมเรศจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้อาบน้ำ
ส่วนระพีพรรณกับพี่เลี้ยงต้องอาบน้ำแต่งตัวอีกรอบ เพราะแช่มช้อยบอกเอาไว้ว่าหากจะร่วมดินเนอร์ด้วยต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ห้ามให้ร่างกายมีกลิ่นเหม็นเป็นอันขาด นี่คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ระพีพรรณต้องร่วมโต๊ะอาหารแบบผู้ดีแท้ ๆ เธอจะทำได้ดีมากน้อยแค่ไหนกัน