ซึ่งเธอคลับคล้ายจะไม่เชื่อเขาในตอนแรก
“ฮึ ฉันว่าคุณตู่เอากับฉันหรือน่าจะอุปโลกน์ขึ้นมามากกว่า และฉันไม่เชื่อหรอกว่าเป็นบ้านของคุณ และแถวนี้จะมีปัญญาสร้างบ้านได้ราคาเป็นสิบล้านขนาดนี้ ถ้าไม่ถูกหวยหรือลอตเตอรี่แบบคนมีดวงฟลุ๊กเท่านั้น”
ซึ่งท่าทางที่หล่อนพูดออกไปนั้นเหมือนหมิ่นใส่เขา พร้อมกับเบะปากนั่นเอง
“อ้าว ก็ยัง ยังหรอกนะ เพราะว่าผมยังไม่ทันกล่าวจบเลย คุณอย่าเพิ่งคิดเองเออเอง” หากเขาแย้งขึ้นมา
“งั้น ว่ายังไงล่ะ แล้วนี่ คุณจะเถียงอะไรฉันอีก”
รวิวาลย์ตอบแบบไม่ยี่หระใส่เขา เพราะหล่อนคิดว่าตัวเองคิดถูกแน่ รวมทั้งท่าทางที่แสดงออกมาอย่างนั้น บ่งบอกว่าหล่อนไม่เคยคิดแคร์อะไรทั้งนั้นเลย
“ก็ไหนล่ะคุณ ที่กำลังจะบอกอะไรกับฉันว่า คุณยังกล่าวไม่จบเลย บอกมาสิ”
“ใช่เพราะผมกำลังจะบอกกับคุณว่าไอ้บ้านหลังนี้น่ะมันเป็นของน้องสาวคือน้องสาวของผมเธอไปได้สามีเป็นชาวต่างประเทศอยู่ที่อเมริกาในเมื่อผมเป็นพี่ชายและพื้นที่บริเวณนี้เป็นบ้านของผมและผมก็ต้องใช้ชื่อตัวเองเป็นเจ้าของด้วยและไอยมาน้องสาวคนรองของผม ฝากให้ดูแลบ้านหลังนี้ ส่วนน้องสาวอีกคน อยู่ในกรุงเทพ”
ดังนั้นหล่อนพอจะเข้าใจรวิวาลย์ขมวดคิ้วและทำตาปริบๆเมื่อได้ทราบคำตอบจากเขา
“อ๋อที่แท้เป็นอย่างนี้เองเพราะฉันก็คิดดูแล้วเหมือนกันว่าที่จริงนั้นพวกนายก็คงไม่มีปัญญาที่จะหาเงินมาสร้างเองราคาเป็นล้านหรอกนะ”
หล่อนตอบเหมือนคนที่ถือไพ่แต้มเหนือกว่าเขาด้วยน้ำเสียงหมิ่น
“แล้วก็คุณทำไร่ด้วยนี่และเกิดมาฉันไม่เคยทำหรอกนะ จับจอบขุดเสียมงานในไร่แบบนี้ มันงานหนักจะตาย และฉันเห็นแล้วแค่เจอกับเปลวแดด ฉันก็แทบทนไม่ไหวแดดที่นี่แรงจัดมากมากกว่าในกรุงเทพฯเสียอีก แล้วรู้ไหมแสงแดดทำให้ผิวเป็นมะเร็งได้”
หล่อนเอ่ยประหนึ่งคนมีความรู้ในเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพจึงพร้อมแจกแจงให้เขารับฟัง
หากนั่นเองที่รวิวาลย์รู้สึกสะดุดตากับรูปภาพใบหนึ่ง ตั้งอยู่กลางห้องโถงริมผนังจึงถามเขา
“นี่ภาพใครกันคะ คุณแทน”
“อ๋อ นั่นคือรูปของน้องสาวผมเองครับ คนที่ผมบอกกับคุณว่า ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
“แล้วเธออยู่ที่ไหนล่ะคะ”
“ในเมืองกรุง” เมื่อคำตอบของเขานั้นมำให้รวิวาลย์มีสีหน้าที่ตกใจไม่น้อย เพราะกรุงเทพเป็นเมืองที่หล่อนเกิดและเพิ่งจากมา
“อ้าวเหรอ ฉันก็เกิดที่นั่นหมือนกัน แต่ไม่เคยได้ยินสักนิด เอ้อ น้องสาวของคุณ ที่บอกกับฉันว่า ไปเป็นดารงดาราอะไรนั่น สงสัยคงจะเป็นแค่ตัวประกอบ”
และรวิวาลย์ยังพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่หมิ่นแคลน
“ตรงกันข้ามครับ เพราะว่าเธอเคยเป็นนางเอกมาก่อน แต่แค่เรื่องเดียว ต่อจากนั้นเธอก็เล่นบทบาทอื่น แล้วจากนั้นก็เงียบหาย เพราะเป็นคนชอบเก็บตัว”
แล้วเมื่อนึกขึ้นมาได้อีก รวิวาลย์ถามต่อ
“แล้วคุณจบอะไรมาล่ะคะ”
ฝ่ายแทนธัตรก็เงียบเสียงก่อนตอบ แต่รู้สึกแปลกใจที่หล่อนถามแบบนี้
“เอ้อ จบครูครับ แต่ก็ไม่ยอมเป็นครู”
“อ้าวทำไมหรือคะเพราะอะไรแล้วทำไมเป็นงั้นล่ะคะ” หล่อนเหมือนคนอยากรู้ไปหมดทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องของเขา
“อือมส์ก็อาจเป็นเพราะว่าผมไม่ชอบเป็นครูก็ได้ครับ ทั้งๆที่เรียนแล้ว ตอนแรกอาจจะคิด แต่พอจบออกมาแล้ว ความคิดเปลี่ยนไป คือ มันไม่คิดอยากเป็นแล้ว”
หล่อนเลยถามเอาเหตุผลจากเขา
“ตอบเหตุผลมาอีกสิคะ ว่าเป็นเพราะอะไรอีก ที่คุณไม่ยอมเป็นคุณครู”
“อ้าว ก็ผมเป็นคนที่ชอบอิสระมากกว่าและอีกอย่างมีชีวิตอยู่ในโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง”
นี่คือคำตอบของเขา ทำให้ รวิวาลย์พยักหน้า
“ประเภทแบบศิลปินหรือคะ”
“ไม่ถึงกับขั้นนั้น เพราะผมไม่ใช่ศิลปิน และไม่อยากเป็นด้วย”
เวลานั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้าวเข้ามา และโผล่ตัวที่หน้าบ้านหลังนี้ ดูแล้วกับท่าทางและการแต่งกายของเจ้าหล่อนรวมไปทั้งใบหน้าที่ดูเรียบแบบจืดชืดสนิท เหมือนสาวชาวบ้านธรรมดา ไม่มีการผัดหน้าทาแป้งหรือเครื่องสำออาง ซึ่งไม่อาจที่จะเทียบเท่าความงามของรวิวาลย์ได้
“มะลิซ้อน” แทนธัตรอุทานอยู่ในใจและเขานั้นรู้จักกับเด็กสาวคนนี้ดี นั่นเพราะวัยไล่เลี่ยกับเขาด้วย อ่อนกว่าเขาสามปี หากมะลิซ้อนก็มีท่าทีชอบเขามากกว่าเพื่อน แต่เขาไม่เคยคิดอย่างนั้นกับหล่อน
เขาจึงมองหน้ามะลิซ้อนด้วยสาตาที่ตำหนิออกมา ที่หล่อนถือโอกาสมาหาเขาในเวลานี้
มะลิซ้อนมองเห็นแล้วหล่อนก็มองเห็นผู้หญิงที่มาใหม่ซึ่งดูงามสง่ามีมาดเหมือนนางพญาและขลุกอยู่กับ แทนธัตรตามลำพังอย่างนี้คงจะนานมากแล้วหล่อนเลยถือโอกาสมาขัดจังหวะ
แต่ก็ทำตามมารยาท ทำให้หล่อนพูดทักออกมา
“เอ้อ มะลิขอโทษนะคะ ที่นึกว่าวันนี้แทนจะอยู่บ้านคนเดียวเสียอีก” พูดเพียงนั้นแล้วมะลิซ้อนก็พาตัวออกไป
เพราะหล่อนรู้ว่าแทนธัตรไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วย หากเขากำลังมีธุระส่วนตัวหรือต้อนรับแขก คงจะเป็นผู้หญิงเมืองกรุงคนนี้ไง ที่เขาพึงใจด้วย
หากแต่ว่าก็ยังไม่หมดเท่านั้นหรอกเพราะไม่นานนักญาติของเขาอีกคนก็โผล่หน้ามาอีก และในเวลาปกติ นั้นคุณมาลัย ก็ไม่ค่อยที่แวะเวียนมาที่นี่บ่อย หากนั่นเป็นเพราะ เธอได้ทราบข่าวคราวว่าที่นี่มีผู้หญิงมาป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยที่บ้านหลังนี้ดังนั้นจึงอยากจะมาดูให้เห็นกับสายตาของตัวเองจนแน่ชัด และตะกี้นี้ นางก็มองเห็นมะลิซ้อน ที่ก้าวออกมา เป็นเด็กสาวที่รู้จักมักคุ้นกันดี เพราะเป็นลูกหลานของที่นี่ ก็เห็นว่ามะละซ้อนนั้นเอามือยกปิดหน้าพร้อมวิ่งหนีออกไป เหมือนกับไปพบเจอกับภาพอะไรที่บาดตาบาดใจสะเทือนใจอย่างหนักหน่วงเข้าแล้วนั่น
ดังนั้นหญิงสูงวัยจึงก้าวเข้ามาและเมื่อมองเห็นหญิงสาวเมืองกรุงที่ใครๆพูดถึงนั้นเธอก็ยอมรับว่าสวยสมสง่าเหมาะเจาะพอดีกับใบหน้าและรูปร่างเพรียวบาง พร้อมกับใบหน้าที่ตบแต่งไม่เข้มมากและใบหน้าค่อนไปทางหวานคมหากแต่ดูท่าทางลึกๆข้างในแล้วก็ออกจะร้ายกาจเลยทีเดียวล่ะสังเกตจากดวงตาคมของหญิงสาวก็พอจะรับรู้