จ้าวยวี่เสียงรอเจ้าของห้องเดินนำเข้าด้านใน ใบหน้าเคร่งขรึมไม่มีท่าทีหยอกเอินเหมือนแต่ก่อน นางออกจะประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยังทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือน เขาเอื้อมหยิบน้ำชาที่นางส่งให้
"ข้าอยากรู้ เจ้าเจอฮุ่ยกวงจากที่ใด" เขาถามนางโดยไม่คิดจะอ้อมค้อมแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้หัวใจนางกระตุก นางจ้องกลับไปยังนัยน์ตาแม้จะกลัวแต่นางก็ต้องตอบ
"แห่งหนึ่ง มารดาของนางฝากข้าให้ช่วยตามหาบิดา" เขายังจ้องนางเพราะคำตอบที่เขาได้ยังไม่ตรงกับคำตอบที่เขาต้องการ
"นางตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว" จื้อซิ่งเหมี่ยนนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้น ฝ่ามือนางบีบเข้าหากัน แม้แต่ลมหายใจนางยังติดขัด เพราะที่นั่นไม่ต่างอะไรกับนรกบนดิน บุรุษมากหน้าหลายตา แต่สตรีกลับมีน้อย นางเป็นหนึ่งในสตรีผู้นั้นที่ถูกจับมาทรมาน ภาพบุรุษทำกับสตรีเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉาน ตบตีก่อนร่วมรัก เพียงเพราะนางยังเคราะห์ดีที่หน้าตาอัปลักษณ์ ถึงแคล้วคลาดจากการถูกพวกโจรชั่วทำร้าย
"ซิ่งเหมี่ยน!" จื้อซิ่งเหมี่ยนสะดุ้งตกใจ จ้าวยวี่เสียงเรียกนางอยู่นาน ทำให้นางมีสติกลับมาเสวนากับเขาต่อ
“ท่านช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้าเถิด ว่าองค์รัชทายาทเคยไปที่หมู่บ้านนั้นหรือไม่"
"พวกมันทำอะไรเจ้า" นางหันไปมองด้วยสายตาดุดัน แต่นั่นก็มิอาจทำให้เขากลัวแววตาของนางแต่อย่างใด กลับทำให้เขารู้สึกเศร้าใจ นางเจออะไรกันแน่หรือว่า เพราะนั่นคือบาดแผลในใจที่นางอยากจะกลบลงไปไม่ต้องการให้ใครขุดคุ้ยมันขึ้นมา จึงเอ่ยไล่เขาไปเสีย
"เชิญท่านกลับไปเถิด เรื่องของฮุ่ยกวงไม่สำคัญอันใดนัก ข้าเลี้ยงนางมาตั้งแต่เล็ก จะเลี้ยงจนตัวตายข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวว่าอดีตนางจะเป็นใครอีกต่อไป
"ใช่! ไม่สำคัญ แต่เรื่องของเจ้าสำคัญกับข้า ข้าต้องการรู้เรื่องของเจ้าทั้งหมด"
“ท่านก็รู้เรื่องของข้าหมดแล้วนี่ ไม่รู้จากปากของท่านลุงเฟิ่งก็รู้จากแหล่งข่าวต่างๆ ของท่าน"
"ข้าไม่เถียง แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้และสืบอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ว่าใบหน้าและน้ำเสียงของเจ้ากลับคืนมาเป็นสภาพปกติได้เช่นไร"
"สำคัญด้วยหรือ? "
"สำคัญ เพราะคนที่ทำเช่นนี้ได้มีเพียงแค่คนเดียว คือนักพรตเต๋อฮุย ข้าตามหานักพรตมานานมาก เขาและลูกศิษย์คิดค้นบางอย่างได้และสำคัญกับกองทัพ"
"สูตรยาชา? " เขาแปลกใจที่นางรู้ หรือว่าชีวิตนางนักพรตเต๋อฮุยก็เป็นคนช่วยไว้ เมื่อนางเผลอเอ่ยไปแล้วจึงต้องจำใจปล่อยเลยตามเลย นางเดินไปยังเตียงเปิดหีบเล็กใบหนึ่งแล้วเดินกลับมายื่นให้กับเขา
"นี่คือสูตรยาชา หากมันจะมีประโยชน์กับทหารในสังกัดของท่าน ข้ายินดีจะมอบให้ ส่วนการตามหานักพรตคงยากเพราะเท่าที่หม่อมฉันรู้มา นักพรตต้องการเจอผู้ใดก็จะเดินทางมาพบเอง" นางมิได้โป้ปดนั่นคือคำพูดสุดท้ายที่นักพรตเอ่ยกับนาง
เมื่อจ้าวยวี่เสียงได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตามหานักพรตผู้นั้นอีก จึงหันเหความสนใจมียังสตรีเบื้องหน้า เรื่องโจรภูเขานางจะรู้เห็นหรือไม่ เขาสลัดความคิดเรื่องความข่มขื่นของสตรี หากนางเจอเช่นนั้นเขาก็จะไม่รื้อฟื้น แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือของที่สูญหายไป น่ากลัวว่าจะเป็นนางเพราะเขาไม่เชื่อว่านางจะมีสมบัติติดตัวเพื่อที่จะกลับเมืองหลวงซื้อหอนางโลมเปิดบ่อนได้
ครั้นจะกล่าวว่าเป็นทรัพย์สมบัติของนักพรตเต๋อฮุ่ยยิ่งไม่ใช่ใหญ่ คิดแล้วเขาไม่เอ่ยถามเสียดีกว่าเพราะอรย่างไรเขาก็ตัดสินใจปกป้องนางอยู่แล้ว จึงคิดกลับมาเรื่องของฮุ่ยกวงดังเดิม
"องค์รัชทายาท ปล่อยเขาไป ฮุ่ยกวงข้ายินดีรับเลี้ยงนางเอง"
"ไม่ลำบากท่าน หากไม่มีสิ่งใดแล้วเชิญท่านกลับเถิด ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว"
"เจ้าไม่ได้เหนื่อยหรอกแต่กำลังสร้างกำแพงกั้นตัวเอง ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาเจ้าต้องประสบอะไร ข้าไม่สนใจ ข้าสนเพียงข้าอยู่กับใครแล้วเป็นสุข"
"ทั้งที่ข้าเป็นสตรีจากหอคณิกา แล้วท่านเป็นเหนียนอ๋อง ภายหน้าอาจจะไม่ใช่แค่ตำแหน่งนี้ก็เป็นได้"
"ข้าเลือกที่จะเป็นใครก็ได้ อ๋อง รัชทายาท ฮ่องเต้หรืออยากเป็นชาวนา ยาจก คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ฐานะแต่อยู่ที่จิตใจ" นางไม่กล่าวสิ่งใด ทำเพียงยกน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างสงบ
"เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ? "
"ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนี่"
"หรือเจ้ายังไม่ไว้ใจข้า"
"สามารถกล่าวเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะไม่ว่าตอนไหน ท่านก็ยังเป็นบุรุษทั้งมีตำแหน่งไม่ธรรมดา มาบัดนี้ยังก่อกวนจนข้าฉงนสนเท่ห์ แล้ว ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้น จากใจจริงหรือเป็นเพียงคำพูดลวง" เขาถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวอย่างเฉื่อยชา ใช้ศอกยันโต๊ะกลม ท่วงท่าอันเกียจคร้านชวนเย้ายวน ทำให้จื้อซิ่งเหมี่ยนใจเต้นระทึกขึ้นมา แต่ยังคงเก็บอาการ
"ข้าเคยบอกแล้วไงว่าข้าชื่อจ้าวยวี่เสียง ต่อไปเจ้าเอ่ยนามข้าได้ เหมือนที่เจ้าไม่เคยใช้คำสูงส่งกับข้าในการสนทนากันทุกครั้ง เฮ้อ! สวนหลังจวนดูยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง เจ้าช่วยเลือกดอกไม้ประดับให้จวนข้าหน่อยได้หรือไม่" พอเขาเอ่ยขึ้น ทำให้นางนึกถึงบางเรื่องได้ และเอ่ยกับตนเอง "สวน"
"เหนียนอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง" เขาจ้องหน้านาง จากเดิมที่เคยสนทนากันปกติ จู่ๆ นางก็เปลี่ยนสรรพนามในการเอ่ย แต่เขาก็ไม่ทักท้วงทำเพียงรอให้นางเอ่ยขึ้น
นางสูดลมหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น "ที่หลังสวนจวนสกุลกู้ หม่อมฉันอยากรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่"
"เฮ้อ! พอรู้ว่าข้ามีใจให้เจ้า ก็รีบใช้งานเลยนะ เจ้านี่หัวการค้าโดยแท้ ไม่ยอมขาดทุนเลย"
"เมื่อครู่ท่านอ๋องไม่ได้เอ่ยคำต่างๆ เพื่อแสดงความจริงใจต่อหม่อมฉันหรือเพคะ"
"ได้! ข้าจะจัดการให้ ว่าแต่หอของเจ้ามีแต่น้ำชาให้ข้าดื่มอย่างเดียวหรือ ไม่มีอะไรให้ข้ากินบ้างเลยหรือ"
"ท่านอ๋องจะทานอะไร หม่อมฉันจะได้ให้คนครัวจัดการให้"
"เจ้า!" จื้อซิ่งเหมี่ยนกำลังจะอ้าปาก แต่ถูกเขาเอ่ยแทรกขึ้น
"อยากทานอะไร ข้าก็ทานอย่างนั้น ข้าไม่เรื่องมาก" นางต้องรีบเก็บคำพูดที่จะต่อว่าเขาลงกระเพาะตนเอง แต่ในใจนึกค่อนขอดเขาไปเรียบร้อยแล้วว่าเหตุใดไม่พูดให้จบเสียทีเดียว แต่ฉากหน้ากลับยิ้มแย้มแต่มิส่งถึงดวงตา กลั่นแกล้งกันชัดๆ
"เพคะ" นางหมายจะลุกขึ้นแต่ถูกเขาดึงมือมา ทำให้นางเซเข้าหาเขา จึงเป็นการเปิดช่องทางให้ดึงนางมานั่งตัก
“นี่ท่านจะทำอะไร?” เสียงไม่พอใจดังขึ้น แต่เขายังยิ้มเพียงมุมปากแต่แววตากับนิ่ง และจับมือนางมาลูบที่เคราของตนเอง
“หนวดเริ่มขึ้นแล้ว ช่วยโกนให้หน่อยได้หรือไม่” ไม่รอให้นางเอ่ยตอบ เขาโอบนางเข้าหาตัวแล้วดึงร่างนางให้ลงมานอนทับร่างของตนในจังหวะที่เขาหงายตัวไปกองกับพื้น ก็ทันกับธนูที่ถูกยิงเข้าทางทะลุหน้าต่างเฉียดเข้าที่ศีรษะนางไปเพียงนิด
จำนวนธนูที่เข้ามาอีกระลอกเมื่อรู้เป้าว่าอยู่ตำแหน่งใด เขาก็หมุนตัวนางให้ไปในทิศทางตรงกันข้าม ดันนางให้ห่างออกจากมุมที่สามารถเห็นตัวนางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
มุมปากยกยิ้มราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับเขา แม้กระทั่งน้ำเสียงยังดูผ่อนคลายไม่ตรงกับสถานการณ์ตรงหน้า
“เจ้าเหยียบโดนหางผู้อื่นเข้าแล้วสิ” นางยังไม่ทันตอบก็ถูกเขาพลิกตัวนอนทับประทับริมฝีปากตนกดจูบนางโดยที่นางยังมิทันตั้งตัวแต่ก็ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้น เพียงอึดใจเขาก็ปล่อยริมฝีปากออกมาและส่งยิ้มทะเล้นให้
“เดี๋ยวจัดการพวกนั้นให้ ถือเป็นค่าตอบแทนกับจูบเมื่อครู่นี้”กล่าวจบเขาก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผาก ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นย่อกายไปทางหน้าต่าง พร้อมส่งสัญญาณให้นางนอนอยู่ตรงนั้น
เขารอจังหวะและลอบมองหน้าต่าง สังเกตคนร้ายเพียงครู่เดียวก็ส่งสัญญาณบางอย่างพร้อมกับที่เขาลุกขึ้นและสาดบางสิ่งจากอกไปยังทิศทางหนึ่งนอกหน้าต่างของหอหอมหมื่นลี้
ราวกับนกที่ร่วงหล่นจากท้องนภาสู่พื้นดิน เสียงร้องครวญครางให้ได้ยินก็ไม่มีนอกเสียจากเสียงชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาใกล้บริเวณนั้นที่กรีดร้อง เพราะศพชายราวสี่ห้าคนตกลงมามอดม้วย ไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเดียว
“ไม่ต้องดูหรอก เจ้าจะเดือดร้อนเปล่าๆ” จื้อซิ่งเหมี่ยนที่รู้ว่าเหตุการณ์ระทึกเมื่อครู่ได้จบลงแล้ว นางหมายจะลุกขึ้นเพื่อจะมาดูตรงหน้าต่าง แต่ถูกเขาเอ่ยดักคอไว้เสียก่อน
“เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือใคร” เขาเอ่ยถามแม้จะพอมีคำตอบอยู่ในใจบ้างแล้ว ส่วนนางก็พอจะเดาได้ว่าเป็นผู้ใด เพียงแต่คำตอบยังไม่หลุดจากปาก เสียงวิ่งกระหืดกระหอบของคนหอมุ่งเข้ามา
“เจ้าเป็นอะไรไหม?” จื้อลี่เจียงใบหน้าซีด สองแก้มหดเกร็งแม้กระทั่งริมฝีปากยังสั่น มือที่สั่นเทาทั้งเย็นเฉียบจับมืออีกฝ่ายเอ่ยปากถามบุตรี
“ข้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม? โชคดีที่เหนียนอ๋องอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นคงเป็นข้าที่มอดม้วยไปแล้ว” นางแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นึกถึงชีวิตของตนและบุตรีก็คั่งแค้นใจนัก
“แม่ขอโทษ ที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก” นางกล่าวขอโทษขอโพยบุตรสาว ก่อนจะหันไปขอบคุณจ้าวยวี่เสียง
“ครานี้พวกนั้นคงอดทนไม่ไหวแล้วกระมัง” เป็นจื้อลี่เจียงที่เอ่ยปากขึ้นมา แม้แต่แววตาก็มิอาจปกปิดความแค้นไว้ได้ ทว่านางยังไม่ได้เอ่ยอันใดก็ถูกจื้อซิ่งเหมี่ยนเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เรื่องนี้ท่านแม่ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้า ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วเจ้าค่ะ”