ยามวิกาลแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับ จื้อซิ่งเหมี่ยนก็สมควรที่จะนอนพักผ่อนเช่นกัน แต่นางต้องกลับเข้ามาหยิบชุดผลัดนอน
ประตูแง้มออกอย่างเบามือ จื้อซิ่งเหมี่ยนค่อยๆ สืบเท้าก้าวเข้ามาเห็นว่าจ้าวยวี่เสียงยังหลับไม่ได้สติอยู่ จึงเดินอ้อมไปปลายเตียงเพื่อหยิบชุด แต่ไม่คิดว่าเสียงของเขาจะทำให้นางหยุดยืนและหันไปฟังว่าเขาพึมพำว่าอะไร ยิ่งเดินเข้าใกล้ เสียงยิ่งเบา - ยิ่งเบาลง ความใคร่รู้ของนางก็ทวีมากยิ่งขึ้น สองขาก้าวมาหยุดอยู่ข้างเตียงและด้วยความสงสัยว่าเขาพูดอะไร นางจึงก้มหน้าเอียงหู
"หอมจัง" นางนิ่งอึ้ง หันหน้าไปสบกับตาของเขา จ้าวยวี่เสียงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดรอด จับนางพลิกนอนราบลงพื้นเตียง ส่วนตัวเขาก็ลงนอนทับ จมูกซุกซอกคอ นางกำลังจะง้างมือตี ได้ยินเสียงพึมพำอีกครา "ท่านแม่ อย่าลืมข้า ห้ามลืมข้าเด็ดขาด" นางเปลี่ยนความตั้งใจเดิมทีที่จะตีเขาเป็นการใช้ฝ่ามืออังไปที่หน้าผาก ไอร้อนระอุออกจากตัวเขาส่งผ่านมาที่มือ
"เพ้อเพราะพิษไข้นี่เอง" นางหมายจะดันเขาให้นอนหงายและไม่ต้องมานอนทับร่างของนาง แต่การกระทำครั้งนี้กลับไร้ผล
ตัวเขาหนักมากจนนางจนใจต้องนอนในสภาพนี้ นางนอนแน่นิ่งแต่ในใจปั่นป่วน คิดย้อนแย้ง สับสนในความคิด นางชอบเขาหรือไม่? นางไม่แน่ใจแต่ที่รู้คือตนเองหงุดหงิดงุ่นง่านใจยามที่ไม่เจอเขา และปวดใจที่เขาได้รับบาดเจ็บ
เริ่มมีแสงสีทองมาจับที่ขอบฟ้า ตะวันค่อยเคลื่อนตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ จ้าวยวี่เสียงก็ลืมตาตื่นขึ้น อดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่ตัวเขาไม่ได้นอนเพียงผู้เดียว ร่างนุ่มนิ่มนอนก่ายกอดเขาอย่างสบาย เขามีโอกาสได้พินิจวงหน้างามใกล้ๆ จริงๆ เสียที
ใบหน้าขาวเรียบเนียนไม่มีกระไฝ คิ้วโค้งได้รูป ริมฝีปากเมื่อชาดหลุดออกก็เผยว่าที่แท้ไม่แต่งแต้ม สีสันก็ห่างชั้นกันไม่เท่าใดนัก
ขนคิ้วยาวเรียงตัวเป็นแพ หากนางลืมตาเขาคงจะกล่าวได้ว่านางมีดวงตาที่กลมโตที่แฝงแววซุกซน ออดอ้อนและร้ายกาจในคนๆ เดียวกัน
ในใจหาได้แค่นึกอยากจะพิจารณาวงหน้าแต่เขาอยากทำมากกว่านี้ จะทำให้สิงห์กลายเป็นแมวเชื่องจะยากสักแค่ไหนกัน
จู่ๆ นางก็ขยับตัว ขนตาเริ่มเคลื่อนไหวเหมือนว่านางจะลืมตา จ้าวยวี่เสียงรีบหลับตาเพื่อไม่ให้นางจับสังเกตได้ว่าตนตื่นแล้ว
จื้อซิ่งเหมี่ยนตื่นลืมตาก็ตกใจ ไม่คิดว่าตัวนางจะนอนก่ายกอดเขาได้ นึกแล้วใบหน้าพลันแดงก่ำ นางค่อยๆ ขยับตัวออกจากแผงอกของเขา ในใจนึกขอบคุณที่เขายังไม่ตื่นขึ้นมา นางค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเบาเสียงที่สุด แต่นางช่องทางว่าตนจะไปทางอย่างไรดีที่จะไม่โดนตัวเขา เพราะตนยังไม่อยากให้เขาตื่นและจับได้ว่าเมื่อคืนนางนอนกับเขาทั้งคืน
ครั้นจะคลานแน่นอนว่าต้องโดนช่วงขา และก้าวยาก เช่นนั้นนางตัดสินใจข้ามตัวเขาดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นจื้อซิ่งเหมี่ยนหันด้านข้างยกชายกระโปรงขึ้น สายตายังจ้องชายที่นอนอยู่ไม่กะพริบ
นางยกขาข้างที่ถนัดก้าวข้ามช่วงขาของเขา แต่จู่ๆ เขาลืมตาและลุกพรวดขึ้นมา ฝ่ามือแกร่งจับสะโพกของนางไว้และรั้งนาง จน
จื้อซิ่งเหมี่ยนทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงนั่งทับที่ช่วงเอวของเขาเข้าพอดี
มือสองข้างยันเข้าที่หัวนอน แต่เขาก็ลุกขึ้นมาทำให้ใบหน้าของเขาทั้งสองห่างกันเพียงฝ่ามือ
"อ๊ะ!" เสียงอุทานไม่ไกลทำให้จื้อซิ่งเหมี่ยนหันไปมอง เห็นเด็กนามฮุ่ยกวงเดินเข้ามาทั้งนางยังมีสีหน้าตะลึงกับภาพที่เห็น
"ข้าไม่เห็น เชิญท่านทั้งสองตามสบาย" นางปิดตาระหว่างที่พูด เพื่อให้ทั้งสองเชื่อในคำพูดของตน เมื่อกล่าวจบนางรีบวิ่งออกไปและไม่หลงลืมที่จะปิดประตู
"เดี๋ยว!" จื้อซิ่งเหมี่ยนจะลุกแต่จ้าวยวี่เสียงไม่ยอมปล่อย
"ท่านี้ข้าชอบนะ เจ้าจะได้แสดงฝีมือได้เต็มที่"
"ท่าน!" นางยกมือขึ้น พอๆ กับที่เขาประกบริมฝีปากของตนเข้าที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนาง ครั้นนางจะทุบเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่าย แต่เขากลับปล่อยรสสัมผัสที่ริมฝีปากเพื่อเอ่ยบางอย่าง
"ทุบข้างอีกข้างได้ไหม ข้างนี้เจ็บอยู่" นางถึงกับชะงักงันกับคำที่เขากล่าวเพราะนั่นหมายความถึงเขาอนุญาตให้นางทุบตีเขาได้ หากแต่ขอเปลี่ยนข้างได้หรือไม่
นางยังไม่ได้อนุญาตให้เขาจูบ เขาไม่รอให้นางคิดว่าจะทุบเขาหรือไม่ทุบ มือแกร่งจับมือน้อยของจื้อซิ่งเหมี่ยนให้ทุบข้างที่ไม่บาดเจ็บ ส่วนอีกข้างก็ประคองศีรษะน้อยๆ ของนางเพื่อรับรสสัมผัสอีกครั้ง
หน้าผากที่แนบสนิทกัน กับลมหายใจที่รินรด สายตาสบใกล้แค่นิ้วกั้น จื้อซิ่งเหมี่ยนรู้สึกได้ถึงความร้อนใต้อุ้งมือใหญ่ หญิงสาวตัวสั่นสะท้าน นางหายใจไม่ทันจนต้องหายใจช่วยทางปากและดวงตาคู่งามก็หรี่ลง
เมื่อจ้าวยวี่เสียงประทับจุมพิต เขากอดกระชับเรือนร่างของนางเขาหาตนมากยิ่งขึ้น จื้อซิ่งเหมี่ยนก็บดเบียดเนื้อตัวเข้าหาเขาอย่างไม่ตั้งใจ
จื้อซิ่งเหมี่ยนรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ริมฝีปากของจ้าวยวี่เสียงเม้มเข้าที่เรียวปากล่างของนางอย่างแผ่วเบา หญิงสาวลืมตาขึ้นมองที่ดวงตาดำขลับของเขา
ไฟเสน่หาในดวงตาคู่งามถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เขากดจมูกสูดดมแก้มนวลนิ่ม และเลื่อนริมฝีปากสัมผัสจูบเม้มและวกกลับมาหาเรียวปากบวมเจ่อของนางอีกหน ก่อนที่เขาจะซุกใบหน้าเข้าที่ซอกคอนางเพื่อระงับอารมณ์ของไฟปรารถนาไม่ให้ลุกโชติช่วงไปมากกว่านี้
"แค่นี้หรือ? " นางเอ่ยเหมือนขนมที่ทานนั้นยังไม่อิ่ม เขาขำในลำคอและเงยหน้ามองนาง เห็นสีหน้าประดักประเดือกคิดว่านางคงก่นด่าตนเองเป็นแน่ว่าเอ่ยอะไรออกมา
"อีกครั้งแล้วกันนะ" เขากดจูบลงไปยังริมฝีปากนางอีกครั้ง และพลิกร่างนางให้นอนลงไปยังแผ่นเตียง ฝ่ามือสอดประสานกัน แนบแน่นคลอเคลีย ทั้งนางและเขารู้สึกลึกซึ้ง ผูกพันและโหยหา
มือใหญ่โอบรัดเอวคอด จุมพิตอ่อนโยน ทะนุถนอม
เขาค่อยเลื่อนมือแกร่งหมายสัมผัสเนินอกทว่าสตรีใต้ร่างกลับรู้สึกตัว รีบคว้ามือเขาและหันหน้าหนี ทิ้งรสจุมพิตที่วาบหวามเมื่อครู่
"หืม? "
"พอแล้ว" เขาต้องมองใบหน้า แม้นางจะหันหน้าหนีแต่ยังเห็นรูปหน้านางอย่างชัดเจน เขาก้มหน้าซุกที่ต้นคอ นางขยับตัว
"อย่าขยับ" เขาห้ามนางทั้งที่ยังซุกหน้าที่ต้นคอนาง
"ข้าไม่คู่ควร" เสียงเบากล่าวเชิงน้อยใจในวาสนาของตนเองแต่ถูกเขาเอ่ยเสียงเชิงตำหนิคำพูดของนาง
"คู่ควรหรือไม่อยู่ที่ข้าตัดสิน" เขาพลิกตัวนอนหงาย หายใจหอบ
"เมื่อเยาว์เจ้าเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยข้าโดยยังไม่ห่วงชีวิต ข้าแก้ต่างให้เจ้ามิได้เพราะคำอ้างว่านั่นคือการเล่นกันปกติ เสด็จแม่ต้องถูกส่งไปเป็นเครื่องราชบรรณาการ ข้ามิสามารถยื่นมือไปช่วยได้ เพราะข้าไม่แกร่ง ยังเยาว์และไร้อำนาจ เมื่อวันนี้ข้าสามารถปกป้องมารดาได้แล้ว และเหตุใดจะขอปกป้องและเคียงคู่กับสตรีเช่นเจ้าไม่ได้
อนึ่ง...หากเจ้าจะเอ่ยว่าสตรีเช่นเจ้าสกปรก แปดเปื้อน เช่นนั้นมารดาของข้าก็แปดเปื้อนไม่ต่างกัน เพราะนางไม่ใช่มีแค่ฝ่าบาทเพียงองค์เดียว บุรุษทั่วแคว้นก็มิสะอาดเพราะมิใช่มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน" เขาพลิกตัวไปจ้องมองนาง นางจ้องกลับไม่คิดว่าบนโลกนี้ยังมีบุรุษเช่นนี้อยู่จริง
"ชีวิตคนก็เหมือนกับเดินกระดานหมาก ระหว่างที่วางหมากแต่ละตัว ไมตรีจิตของแต่ละฝ่ายจะเกิดขึ้นหรือไม่ย่อมมิอาจล่วงรู้ คดเคี้ยววกวน ไม่อาจหลีกเลี่ยงจุดจบของหมากบนกระดานได้จนกว่าถึงท้ายที่สุด
หมากตัวสุดท้ายวางลงเมื่อใดก็มีเพียงผู้ชนะและผู้พ่ายแพ้เท่านั้น แต่กับเจ้า...ครั้งแรกที่พบ ใจข้าก็เหมือนเช่นฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ข้าสลักชื่อและใบหน้าลงในใจข้าและยอมพ่ายแพ้ตั้งแต่หมากเม็ดแรกยังไม่ลงเพื่อเจ้าผู้เดียว"
"? "
"ใจแรกใจ? " น้ำเสียงจริงจังถามนางเพื่อเค้นหาคำตอบ
"ท่านจะปลูกต้นถั่วแดงในใจข้าเช่นนั้นหรือ? " เขาหลุดขำออกมา แต่นางยังหน้านิ่งพลางเอ่ยคำ
"หอนี้ไม่ใช่มีสตรีที่ช่วยสร้างความสำราญให้แต่บุรุษท่านก็รู้" เขาย่อมเข้าใจความหมายนัยของนาง ว่าหากเขากล้ามีสตรีอื่น นางก็จะมีชายบำเรอเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างไม่เสียเปรียบ จู่ๆ นางก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างแนบเนียน เพราะนางไม่ได้หวังคำตอบจากเขาเพราะเกรงว่าคำตอบที่เขาตอบมานั้นจะเป็นเพียงลมที่พ่นออกมา
"แล้วที่จวนสกุลกู้ ท่านเจออะไรบ้าง" นางลุกขึ้นนั่ง เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเรื่องที่นางขอร้องนำพามาซึ่งการบาดเจ็บของเขา
"เรื่องใหญ่อยู่ แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยว" นางนิ่งไปสักพักไม่ตอบคำ เขามองนางสักพักก่อนที่จะเอ่ยถาม "สงสารหรือ? "
"ไม่! คนอยู่เบื้องหลังหาได้เกี่ยวกับข้า แต่คนสกุลกู้มีแค้นกับข้า ข้าต้องการทำให้พวกนั้นเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเจ็บ" เขาฟังคำนางแต่ไม่ได้กล่าวอะไร รู้อยู่ว่าในอดีตนางต้องพบพานสิ่งใด ขอเพียงนางไม่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงก็พอ