ติ้ง
“.....”
ติ้ง!
แสงแดดสว่างจ้ายามตะวันโด่งสาดส่องผ่านบานกระจกใสเข้ามากระทบกับเรือนร่างของหญิงสาวที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน โดยที่ร่างกายของเธอได้โผล่พ้นผ้าห่มผืนหนาออกมาเผยให้เห็นผิวกายขาวละเอียดนอกร่มผ้าซึ่งสัมผัสกับไอเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบ แต่ถึงอย่างนั้นฐานิตาก็ยังคงตกอยู่ในห้วงนิทราลึกอยู่ดี
เพราะเอาเข้าจริง ๆ เธอก็พึ่งจะได้มานอนจริงจังก็ตอนหกโมงเช้านี่เอง หลังจากที่นอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยตั้งแต่ตีสาม และเพราะแบบนี้เลยทำให้ฐานิตาเธอถึงได้หลับสนิทชนิดที่ว่าต่อให้เสียงข้อความเข้าจะดังเข้ามาติดกันต่อเนื่องแค่ไหนหูของเธอก็ไม่ได้ยินมันเลยแม้แต่น้อย
และก็จะเป็นแบบนี้ไปอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงเห็นจะได้ กว่าที่เธอจะรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะเสียงข้อความที่เงียบหายไปนั้นได้กลายเป็นเสียงเรียกเข้าที่เข้ามาแทนที่
ครืดด! ครืดด!
“!!” เสียงเรียกเข้าปลุกคนที่กำลังหลับลึกให้ตื่นขึ้นมา ฐานิตารีบพลิกตัวนอนตะแคงพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางเอาไว้บนลิ้นชักหัวเตียงที่เก่าขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เธอมองหน้าจอมือถือด้วยแววตาที่ยังคงพร่ามัวเพราะยังเมาขี้ตาอยู่พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล” ฐานิตางัวเงียเมื่อสาย น้ำเสียงของเธอยังอ่อนล้า เปลือกตาหนักอึ้งแทบจะปิดลงอีกครั้ง แต่ในยังมีสติพอที่จะรับรู้ถึงบทสนทนา ความเหนื่อยอ่อนทับถมกันจนเสียงของเธอแทบจะขาดหายไป ในขณะที่น้ำเสียงแข็งกระด้างจากปลายสายตะโกนข้ามมา
[ฉันส่งข้อความไป ทำไมไม่อ่าน!] น้ำเสียงที่อัดแน่นด้วยความไม่พอใจ สะท้อนให้เห็นถึงความกดดันที่ลอยฟุ้งในอากาศ
“หลับ…ไม่ได้ยิน” ฐานิตาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ความรู้สึกขุ่นเคืองเริ่มก่อตัวขึ้นภายในเหมือนไฟที่ค่อย ๆ ระอุ ความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนน้อยกลับถูกกลบด้วยความไม่พอใจที่ถาโถมจากคนที่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
[หลับ!? แหกตาดูสิว่านี่มันกี่โมงแล้ว! นอนกินบ้านกินเมืองเหลือเกินนะแม่คุณ!] คำพูดนั้นพุ่งตรงมา ราวกับมีดที่กรีดลึกลงในจิตใจของฐานิตา
“แม่เถอะ มีอะไร โทรมาทำไม” ฐานิตาขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด หัวปวดตุบ ๆ ทำให้ทุกคำที่คนเป็นแม่พูดเข้ามาเป็นเหมือนค้อนที่กระแทกลงไปไม่หยุด
[พี่สาวแกไม่สบาย] เสียงของ ‘อรไพลิน’ ลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงความไม่พอใจในน้ำเสียงอยู่ดี
“แล้ว?” ฐานิตาตอบกลับสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เธอไม่แม้แต่จะใส่ใจว่าคำตอบนั้นว่าจะทำให้แม่ของเธอไม่พอใจหรือเปล่า
[นี่พี่สาวแกไม่สบายนะ! แกควรจะถามหน่อยว่าเป็นอะไรไหม ไม่ใช่พูดแค่คำว่า ‘แล้ว’!] น้ำเสียงของอรไพลินกระแทกกระทั้น ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบงันเหมือนเวลาถูกหยุดนิ่ง อึดอัดใจจนฐานิตาต้องพ้นลมหายใจหนักออกมา
“ไม่สบายก็ไปหาหมอสิ ไม่ต้องมาบอกแยม” คำพูดนั้นของฐานิตากล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่าย น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน
[ใจแกนี่มันดำกว่าอะไรทั้งนั้นนะนังแยม กับพี่แกยังไม่เป็นห่วงเลย!] อรไพลินกล่าวด้วยความไม่พอใจและผิดหวัง
“ถ้าจะโทรมาว่าแยมก็วางสายไปเถอะ” ฐานิตาพูดแทรกอย่างเย็นชา รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ไม่เคยราบรื่นเลย
[ฉันโทรมาเพราะอยากให้แกไปทำงานแทนพี่สาวแก!] อรไพลินเปิดเผยความตั้งใจที่แท้จริงในทันที น้ำเสียงที่ตะคอกบ่งบอกถึงความกดดันที่ไม่ยอมให้ใครขัดขืนได้
“บ้าปะ! จะให้แยมไปทำงานแทนพี่เนยเนี่ยนะ!?” ฐานิตาเบิกตากว้าง เสียงของเธอแหลมสูงเพราะความตกใจและความโมโหที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
[ใช่ ฉันบอกคุณหญิงไปแล้วว่าแกจะไปแทนวันนี้!] น้ำเสียงของอรไพลินเย็นชาราวกับคำสั่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ไม่ไป! แยมเหนื่อย แยมจะพัก” ฐานิตาปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
[ไม่ได้! ฉันบอกคุณหญิงไปแล้ว แกต้องไป!] เสียงแม่ยังคงย้ำอย่างเด็ดขาด ไม่ฟังสิ่งที่ลูกสาวปฏิเสธเลยสักนิด
“อะไรของแม่วะ!” ฐานิตารู้สึกได้ถึงความร้อนในตัวที่พุ่งขึ้นมา เธอเด้งตัวลุกจากเตียงอย่างแรง มือขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ
[แกอย่ามาขึ้นวะกับฉันนะ!] อรไพลินตอบกลับทันควัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ
“แต่มันไม่ใช่งานของแยมไงแม่! แยมไม่ไป!” ฐานิตากัดฟันพูด อารมณ์ของเธอพุ่งขึ้นจนแทบจะคุมตัวเองไม่ได้
[ทำไม? มันไม่ใช่งานขายตัวแล้วมันทำไม่ได้เลยหรือไง!] คำพูดของอรไพลินปักเข้าไปในใจฐานิตาราวกับเข็มที่แทงซ้ำลงในบาดแผลที่ยังไม่หายสนิท
เธอชะงักงันไปทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฐานิตาได้ยินคำพูดนี้จากปากของคนเป็นแม่ แต่ไม่ว่ามันจะออกมากี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยชินกับมันเลย ความเจ็บปวดและความอับอายทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้งทุกครั้ง
[ยังไงก็แล้วแต่...ก่อนเย็นนี้ฉันต้องเห็นแกโผล่หัวมาทำงาน เข้าใจไหม!] อรไพลินสั่งด้วยความเด็ดขาด ก่อนจะวางสายไปโดยไม่รอฟังคำตอบ ทิ้งให้ฐานิตามองโทรศัพท์ในมือด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วน ดวงตาของเธอร้อนผ่าวด้วยความโกรธและความเจ็บใจที่กัดกร่อนอยู่ข้างใน
“แม่งเอ๊ย…” เธอสบถออกมาเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก น้ำตาที่ไม่ได้หลั่งออกมากำลังจุกอยู่ในอก ความรู้สึกที่เธอไม่เคยยอมรับเต็มตัวถูกทับถมจนเธอแทบจะรับไม่ไหว
มันไม่มีเลยสักครั้งหรือไง ที่ฐานิตาจะได้รับการปฏิบัติจากครอบครัว…เหมือนลูกสาวคนหนึ่งบ้าง
“เตรียมตัวให้พร้อมซะ” กรรณิการ์กล่าวกับลูกชายที่ยืนหันหน้ามองออกไปข้างนอก กระจกใสบานใหญ่เผยให้เห็นท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพูและเส้นขอบฟ้าที่เต็มไปด้วยตึกสูงต่ำ สายลมเบา ๆ ที่พัดเอื่อยกับทัศนียภาพไม่ได้ทำให้บรรยากาศในห้องเบาบางลงเลย กลับยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดระหว่างแม่ลูก
“…..”
“ยังไงคืนนี้แกก็ต้องไปพบหนูณะกับแม่” น้ำเสียงของเธอไม่หนักแน่นมากนัก แต่ชัดเจนว่าเป็นคำขอที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ติณณภพได้ยินทุกประโยคชัดเจน แต่เขายังคงนิ่งเฉย มองไปยังท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อย ๆ โดยไม่หันกลับไปหรือพูดอะไร เขารู้ดีว่าการปะทะกับแม่ของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย จนกระทั่งกรรณิการ์พูดประโยคถัดไปซึ่งทำให้เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่เต็มไปด้วยความประชด
“อย่าดื้อกับแม่นักเลยติณ…แม่ขอแค่นี้ แกทำให้แม่หน่อยไม่ได้หรือไง” เสียงอ่อนของกรรณิการ์สื่อถึงความเหนื่อยล้า แต่คำพูดของเธอก็ยังชัดเจนว่านี่ไม่ใช่การขอร้อง หากเป็นการบังคับในคราบของความอ่อนโยน
ติณณภพค่อย ๆ หันหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากยังคงยิ้มเจือความเย้ยหยัน
“แค่นี้สำหรับแม่คือแค่ไหนล่ะ” เขาถามกลับเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความหมายที่ชัดเจน ว่า ‘แค่นี้’ ของกรรณิการ์มีความหมายมากกว่าที่เธอแสดงออก เขาหลีกเลี่ยงการปะทะมาตลอด แต่แม่ของเขากลับตามมาถึงที่นี่เพื่อเรียกร้องบางอย่างที่เขาไม่เคยอยากทำ
“ติณ! นี่แม่ขอร้องแกดี ๆ แล้วนะ” กรรณิการ์เพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงที่เริ่มสั่นจากความกดดันภายในใจ
“ถ้าผมขอร้องแม่ดี ๆ บ้างล่ะ แม่จะยอมฟังผมบ้างหรือเปล่า” เขาหันกลับไปมองแม่ตรง ๆ แววตาของเขาว่างเปล่า เหมือนคนที่เหนื่อยกับการโต้เถียงครั้งแล้วครั้งเล่า กรรณิการ์นั่งบนโซฟากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ร่างเธอดูโดดเด่นในชุดสีขาวหรูหราที่ตัดกับความมืดครึ้มของห้อง
“นี่แกอย่ามาย้อนแม่แบบนี้นะติณ แค่ไปกินข้าวบ้านหนูณะแค่นี้มันจะตายเลยหรือไงฮะ” คำพูดของแม่ทำให้ติณณภพคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างรู้สึกประชดตัวเอง
“งั้นเราไปพิสูจน์กันเลยดีไหมว่าผมจะตายอย่างที่แม่พูดหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาเย้ยหยันเล็กน้อย แต่ไม่ดังพอที่จะทำให้กรรณิการ์โกรธ เธอกลับฉีกยิ้มกว้าง ราวกับชัยชนะที่กำลังจะเป็นของเธอ
“จริงหรือเปล่า” เธอยังคงสงวนท่าทีไว้ ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ครับ” ติณณภพตอบรับ แต่เสียงตอบรับของเขาไม่ได้มีน้ำหนักเหมือนคำพูดที่ออกมาจากความจริงใจ
“งั้นก็ไปเตรียมตัว พอเสร็จแล้วจะได้ไปพร้อมแม่เลย” กรรณิการ์พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง แต่ลึก ๆ แล้วเธอกลับแอบรู้สึกกังวล สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเร็วเกินกว่าที่เธอคาดไว้ทำให้เธอสงสัยว่าลูกชายของเธอกำลังวางแผนอะไรอยู่หรือไม่ แต่แม้จะรู้สึกเช่นนั้น เธอก็พยายามไม่ใส่ใจ เพราะเธอกลัวว่าถ้ารื้อฟื้นมากไป ติณณภพอาจเปลี่ยนใจขึ้นมาได้