“อะ โอ๊ย…อื้อ~ แน่นเกินไปแล้วเพคะ”
“ยังไม่พอ เจ้ารัดข้าแน่นกว่านี้เสียอีก ฮึบ”
“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วเพคะ พอแล้วๆ ฮื่อออออ”
“รอก่อน อดทนไว้ก่อน”
เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องบรรทมของท่านอ๋องทำเอาเหล่าขันทีและนางกำนัลใบหน้าแดงก่ำ มิต้องบอกก็คาดเดาได้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้น คงไม่ผิดจากที่พวกนางคิดไว้เป็นแน่
แต่…ผิดจ้ะ! ผิดทั้งหมด! เพราะตอนนี้เจียวซินกำลังนอนเป็นหมอนให้ท่านอ๋องกอดรัดคืน ด้วยท่านอ๋องอ้างว่าเจียวซินใช้แขนและขากอดก่ายจน ท่านอ๋องนอนไม่สบาย นางจึงถูกลงโทษอยู่เช่นนี้ หากมิยอม ท่านอ๋องก็หาว่านางเป็นเด็ก ทำผิดมิรู้จักไถ่โทษ หึ!!! ใครกันแน่ที่เด็ก คิดแต่จะเอาคืนผู้อื่น
“พอแล้วเพคะ โอ๊ย~ หม่อมฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”
“ได้ๆ แต่ครั้งหน้าข้าจะทำหลายๆ รอบ” เฟยเทียนคาดโทษเจียวซินไว้ จากนั้นจึงลุกออกมาเรียกหาขันทีจิ้นหนาน
“พวกเจ้าเข้าไปปรนนิบัติพระชายา หากช้ากว่านี้จะรับสำรับสายเอาได้”
“พะ เพคะ” หนิงเออร์ นางกำนัลชีชีและซวนซวนเข้าไปหาพระชายาด้วย สีหน้าแดงก่ำ อาบน้ำ แต่งกายเสร็จจึงพาพระชายาไปรับสำรับที่ห้องโถงของตำหนักใหญ่ เจียวซินถูกหนิงเออร์พยุงให้นั่งลงที่ว่างอย่างระมัดระวัง ซึ่งนางเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดเหล่าขันทีและนางกำนัล จึงมองเขาด้วยสายตาขัดเขินเช่นนั้น อีกทั้งหนิงเออร์ยังคอยถามนางว่าต้องการทายาหรือไม่ จะให้ทาที่ใดเล่านางมิได้บาดเจ็บตรงใดเสียหน่อย
“อ่า วันนี้คงจะครึกครื้นน่าดู” เจียวซินมองไปรอบโต๊ะที่มีเหล่าชายาและอนุของท่านอ๋อง
มากันครบองค์เชียวหรือ
“พวกหม่อมฉันได้ยินว่าระหว่างทางกลับจวนท่านทั้งสองถูกลอบทำร้าย จึงได้ร้อนใจเพคะ” ชายารองอันกล่าวขึ้น แม้แท้ที่จริงแล้วนางมาเพราะเหล่าขันทีและนางกำนัลในโรงครัวเล่าว่าท่านอ๋องและจางเจียวซินเข้าหอกันแล้วต่างหาก
“หึๆ ชายารองของข้ารู้ข่าวไวเสียจริง สมเป็นบุตรสาวสกุลอัน” เฟยเทียนกล่าวกระทบอันอ้ายฉิง เขามั่นใจว่าเหตุครั้งนี้นางมีส่วนด้วยไม่มากก็น้อย คนที่รู้ว่าเขาและเจียวซินถูกลอบสังหารมีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์และอนุถังเท่านั้น ซึ่งเขาได้กำชับไปแล้วว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด แต่อันอ้ายฉิงกลับรู้ จะให้แปลความว่าอย่างไร
“มิได้เพคะ เป็นเหล่าอนุที่นำความมาบอกหม่อมฉันเพคะ”
“เอาเถิด ข้ากับพระชายามิได้เป็นอันใดแม้แต่น้อยพวกเจ้ามิต้องเป็นห่วง” ว่าแล้วเฟยเทียนก็คีบอาหารมาใส่จานตน ทุกคนจึงเริ่มทานสำรับเช้า
“ท่านอ๋องให้หม่อมฉันคีบอาหารจานนี้ให้ดีหรือไม่เพคะ รสชาติดีทีเดียว” อนุจ้งเอ่ยอย่างเอาใจ
“จานนั้นมีแต่ของให้โทษ ให้หม่อมฉันตักต้มสมุนไพรให้ดีกว่าเพคะ” อนุตงยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจที่ได้กล่าวเสียดสีอนุจ้ง
“พวกเจ้าทานของตนเองเถิด” เป็นเช่นนี้ตลอดการทานสำรับเช้า…กว่าจะทานเสร็จและแยกย้ายกันก็ทำเอาเจียวซินปวดหัวแทบแย่
“เจ้าตามข้ามาที่ห้องตำราก่อน ข้าจะพูดคุยกับเจ้าเรื่องคณะราชทูต” เฟยเทียนเอ่ยบอกเจียวซิน
“ได้เพคะ” เจียวซินตามไปพูดคุยกับเฟยเทียนเรื่องราชทูต ใช้เวลาเกือบสองชั่วยามก็พูดคุยเรื่องคณะราชทูตแล้วเสร็จ ได้ความว่าคณะราชทูตจะเดินทางมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะมีการจัดการต้อนรับและเจรจาการค้าในยามเช้า โดยจะให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางเข้าร่วมได้ ซึ่งเจียวซินจะต้องไปตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อแปลสารจากคณะราชทูต ภายในหนึ่งเดือนนี้เจียวซินจะต้องศึกษาทั้งกฎระเบียบในวัง การปฏิบัติตน รวมถึงศึกษาการเจราจาค้าขายอีกด้วย
เห้ออออ รางวัลจะคุ้มกับค่าเหนื่อยที่ต้องเสียไปหรือไม่นะ
“เมื่องานสำเร็จหม่อมฉันจะได้รับรางวัลอย่างงามใช่หรือไม่เพคะ”
“อืม เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม” เฟยเทียนอดขำกับท่าทีเหนื่อยล้าตั้งแต่ยังมิได้เริ่มของนางไม่ได้
“แล้วเรื่องคนร้ายเล่าเพคะ สืบรู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”
“ยังมิมีหลักฐานแน่ชัด เจ้าก็ระวังตัวไว้เสียบ้าง หากจะออกไปที่ให้ก็ให้มา แจ้งข้า ข้าจะพาไป”
“เพคะ หม่อมฉันมิเสี่ยงออกไปนอกจวนเองเป็นแน่เพคะ” นึกแล้วขนลุก ออกนอกจวนครั้งแรกก็ถูกลอบฆ่าเสียแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี ช่วงนี้นางกำนัลของเสด็จแม่จะมาสอนการปฏิบัติตัวให้เจ้า”
“เพคะ” เจียวซินตอบกลับแล้วจึงลากลับตำหนัก
.
.
.
และแล้วช่วงเวลาที่คณะราชทูตจะมาเยือนก็มาถึง ในวันรุ่งขึ้นเฟยเทียนและเจียวซินจะต้องออกไปต้อนรับคณะราชทูตในท้องพระโรง เจียวซินตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางจะเล่าเรียนการปฏิบัติตน อ่านตำราการค้าต่างๆ มากมาย แต่นางก็กดดันไม่น้อย เพราะหากมีสิ่งใดผิดพลาด นางอาจถูกใช้เป็นหอกทิ่มแทงท่านอ๋องได้ นางมิอยากให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อน ความสัมพันธ์ของนางและท่านอ๋องในตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน แม้จะเถียงกันตลอดเวลาก็เถอะ คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักเจียวซินก็เข้าสู่ห้วงนิทรา รุ่งขึ้นเจียวซินตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวปักลายหลี่อวี๋ (ปลาคาร์ฟ) สีเงินแซมทองที่ท่านอ๋องเป็นผู้มอบให้ เพื่อแสดงถึงโชคลาภ ผลกำไรและผลประโยชน์ เจียวซินผัดหน้าทาปากด้วยตนเองแล้วให้หนิงเออร์ทำหน้าที่รวบผม
“ข้าเข้าไปได้หรือไม่” เจียวซินได้ยินเสียงท่านอ๋องดังอยู่ด้านนอกจึงเร่งให้คนสนิทเร่งมือ
“เจ้าไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องที” นางกำนัลเดินไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
เฟยเทียนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองเงาสะท้อนขอผู้เป็นชายา
“ใกล้เสร็จแล้วเพคะ ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่”
“อืม” เฟยเทียนตอบกลับทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเงาสะท้อนบนกระจก งดงาม งดงามยิ่งนัก
“พระชายาจะปักปิ่นอันใดเพคะ” หนิงเออร์ที่รวบผมเสร็จนำปิ่นมาให้นายของตนเลือก
“มิต้อง ข้าเตรียมปิ่นมาให้เจ้าแล้ว” เฟยเทียนขยับตัวซ้อนหลังผู้เป็นชายา ปักปิ่นหยกสลักลายหงส์ลงบนมวยผมของเจียวซิน
“งดงามยิ่งเพคะพระชายา” หนิงเออร์กล่าวชม เจียวซินยิ้มรับคำชมเล็กน้อย
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง แล้ว…ปิ่นอันนี้หม่อมฉันต้องคืนหรือไม่เพคะ” เจียวซินถามเย้าเฟยเทียน
“ข้าให้แล้วให้เลย ไม่รับคืน” เฟยเทียนพูดพรางเสมองไปทางอื่น คนทั่วเมืองต่างรู้ดีว่าการมอบปิ่น(ให้ปิ่นเพื่อเป็นของแทนใจหรือการหมั้นหมาย) ให้แก่หญิงสาวนั่นหมายถึงสิ่งใด
“ดียิ่ง…” เจียวซินกล่าวอย่างตื่นเต้น ปิ่นหยกนี้คงราคาแพงน่าดู
“แต่ห้ามเจ้านำไปขายหรือให้ผู้อื่นเด็ดขาด” เฟยเทียนกล่าวดัก เหมือนอ่านความคิดของเจียวซินออก
“เพคะๆ เราไปกันเถิดเพคะ ประเดี๋ยวจะชักช้าไปกว่านี้” เฟยเทียนและเจียวซินเดินทางเข้าวังหลวง ขุนนางในท้องพระโรงหลายคน ประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าเฟยเทียนพาเจียวซินเข้ามาในท้องพระโรง เดิมทีนอกจากฮ่องเต้ องค์ชาย ขุนนางรับใช้บ้านเมือง ก็มิมีผู้ใดสามารถเข้าร่วมพูดคุยการบ้านการเมืองได้ โดยเฉพาะสตรี เหล่าขุนนางน้อยใหญ่จึงคาดเดากันมั่วซั่วไปหมด
“ฮ่องเต้ เสด็จ~” เสียงของขันทีประกาศการมาถึงขององค์จักรพรรดิ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางกล่าวถวายพระพรองค์จักรพรรดิ
“อีกไม่นานคณะราชทูตคงจะเข้ามาแล้ว ผู้ใดมีหน้าที่ขอจงทำสิ่งนั้นให้ดี” ฮ่องเต้เฟยหลงกล่าวต่อขุนนางทั้งหลาย
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางน้อมรับคำสั่งกันอย่างถ้วนทั่ว แต่ทว่า...
“น้องสาม เจ้านำชายามาในท้องพระโรงเช่นนี้ เห็นทีคงจะไม่สมควรกระมัง หรือเจ้ามุ่งแต่รบราฆ่าฟันจนหลงลืมกฎระเบียบในวังไปเสียแล้ว” เฉินลู่เหวินหรือท่านอ๋องสองกล่าวขึ้นทำเอาเสียงขุนนางที่เห็นด้วยดังแซ่ซ้องขึ้นมา ลู่เหวินยกยิ้มมุมปากดังผู้มีชัย ไม่ทันที่เฟยเทียนจะกล่าวก็มีเสียงนุ่มนวลจากองค์ชายห้า เฉินเลี่ยงหรงดังขึ้น
“พี่รองกล่าวหนักเกินไปแล้ว พี่สามย่อมรู้กฎระเบียบ การนำพระชายามาด้วยเช่นนี้คงมีสิ่งจำเป็นแน่”
“เป็นดังน้องห้ากล่าว ข้านำชายามาด้วยครานี้เนื่องด้วยไม่สามารถหาล่ามที่จะแปลสารจากคณะราชทูตได้ ชายาของข้าที่มีความเชี่ยวชาญจึงเสนอตัวเข้ามาช่วยไว้” คำตอบของเฟยเทียนทำเอาลู่เหวินถึงกับหน้ามืดดำไม่น้อย จะไม่มีวันใดเลยหรือที่เขาจะหักหน้าเจ้าน้องบ้านี่ได้ คิดแล้วยิ่งเจ็บใจ เขาไม่เคยชนะมันได้สักครั้ง
“เป็นดังนั้นหรอกหรือ เช่นนั้นก็ฝากเจ้าช่วยแปลความให้ทุกผู้ในท้องพระโรงได้กระจ่างทีเถิด” ฮ่องเต้เฟยหลงกล่าวตัดการโต้เถียงของพี่น้องที่ถกเถียงกัน ไม่เลิก ทำเอาเจียวซินที่ตื่นตระหนกกับการหยอกเย้ากันของพี่น้องถึงกับโล่งอก
“หม่อมฉันจะมิทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังเพคะ”
ไม่นานเหล่าคณะราชทูตก็เดินทางมาถึง คณะราชทูตที่มาครานี้มีจำนวนมิมากโดยรวมแล้วอาจมีไม่เกิน 20 คน เจียวซินมองสำรวจจนทั่วจึงเข้าไปแนะนำตัวโดยใช้ภาษาอังกฤษ (ขออนุญาตใช้ภาษาไทยแทน)
“ขอคำนับราชทูตทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นเฉินของเรา ตัวข้ามีนามว่า จางเจียวซิน จะเป็นผู้แปลสารของท่านให้องค์ฮ่องเต้ได้รับรู้เจ้าค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเจียวซิน” หนึ่งในราชทูตกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาให้เจียวซินจับเป็นการทักทาย
“ขออภัยท่านราชทูต ตัวข้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นเฉินตัวข้าจึงมิอาจจับมือทักทายกับท่านได้ หากท่านมิรังเกียจจับมือทักทายกับสามีของข้าแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินพูดด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเกรงจะทำให้ราชทูตมิพอใจ แต่ทว่าราชทูตหนุ่มผู้นั้นกับหัวเราะเบาๆ
“ข้ามิรังเกียจ อยากรู้จักชายโชคดีผู้นั้นเช่นกัน”
“ท่านอ๋องสามเพคะ” เจียวซินเอ่ยเรียกเฟยเทียน
“ท่านราชทูต นี่เป็นท่านอ๋องสามเฉินเฟยเทียนโอรสขององค์ฮ่องเต้ของแคว้นเฉินเจ้าค่ะ” ราชทูตจับมือทักทายเฟยเทียน ซึ่งเฟยเทียนมิได้ตื่นตระหนกกับธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะเคยอ่านผ่านตำรามาบ้าง ทั้งเจียวซินยังสอนวิธีการทักทายเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่เป็นธรรมเนียมการทักทายโดยการสัมผัสที่มือ เพคะ”
“เช่นนั้นหรือ ชายจับชาย หญิงจับหญิงหรือ”
“แท้จริงแล้วชายจับมือทักทายกับหญิงได้ถือเป็นปกติเพคะ แม้จะแต่งงานแล้วหรือไม่แต่งก็จับมือทักทายได้เพคะ” สิ้นเสียงเจียวซินทั่วทั้งท้องพระโรงก็มีเสียงอื้ออึงแสดงถึงความแปลกใจ
“แปลกยิ่งนัก เอาเถิดบอกกล่าวเขาเถิดว่าแคว้นของเรายินดีที่พวกเขามาเยือน มีสิ่งใดเจรจาสามารถพูดคุยได้” จากนั้นในท้องพระโรงก็เงียบลงเพื่อพูดคุยเจรจาการค้ากับชาวตะวันตกที่ต้องการนำสินค้าต่างแดนมาขายทั้งยังต้องการซื้อสินค้าจากแคว้นเฉินกลับไปอีกด้วย
“กราบทูลฝ่าบาท ทางนั้นเสนอว่าจะแบ่งปันกำไรให้เราสี่ในสิบส่วน เพียงแค่เรายอมให้เรือสินค้าของพวกเขาเทียบท่าเพคะ”
“สี่ส่วนหรือ…แล้วตามปกติแล้วเขาขายได้กำไรเท่าไรเล่า”
“เคยขายได้สูงถึงหนึ่งพันตำลึงทองต่อเรือหนึ่งลำเพคะ หากเขาขายได้หนึ่งพันตำลึงทอง เราจะได้ส่วนแบ่งสี่ร้อยตำลึงทองโดยมิต้องทำสิ่งใดเลยเพคะ”
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ หากเราขอรับกำไรแค่สองส่วนแต่ขอให้เขาลดราคาขาย ลงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านจะได้ของที่ราคาถูกลง” องค์รัชทายาทเฉินเฟยฉีเสนอแนวทางช่วยลดราคาขายลง
“อืม ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร หากจะรับกำไรเพียงสองส่วน”
“ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“เช่นนั้นก็กล่าวตามนี้เถิดเจียวซิน” องค์ฮ่องเต้กล่าวบอกเจียวซินที่ทำหน้าที่ส่งสาร นางจึงรีบแปลความบอกกล่าวทางราชทูตทันที
“ทางราชทูตกล่าวว่าจะลดราคาของแต่ละชิ้นลงยี่สิบในร้อยส่วนเพคะ” ขุนนางน้อยใหญ่กำลังคำนวณราคาของอยู่ในใจ ไม่เว้นแม้แต่องค์ฮ่องเต้
“ถ้าเป็นราคาของจริงจะลดเท่าไหร่หรือนี่” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวขึ้น
“เอ่อ หากท่านทั้งหลายนึกภาพมิออก ข้าจะยกเอาปิ่นเงินมาเป็นตัวอย่าง ปิ่นเงินมีราคา 20 ตำลึงเงิน ท่านจะได้จ่ายเพียง 16 ตำลึงเงินเท่านั้น นั่นคือลดไป 4 ตำลึงเงิน กราบทูลฝ่าบาทหม่อมฉันคิดว่าข้อเสนอนี้เราได้ประโยชน์มากว่าเสียประโยชน์เพคะ” เจียวซินกล่าวอธิบายเพิ่มเติมและแสดงความเห็นของตนลงไป จนหลายคนอึ้งกับการคำนวณที่รวดเร็วของนางมิได้
“อืม เอาตามนั้นเถิด” เจียวซินจึงจัดการเจรจาและนำหนังสือสัญญาถวาย แด่องค์ฮ่องเต้ ทั้งยังมีการเจรจาการค้าในอีกหลายเรื่องซึ่งแคว้นเฉินได้ผลประโยชน์จากการเจรจาครั้งนี้อยู่ไม่น้อยจนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยามจึงเสร็จสิ้น คณะราชทูตเดินทางกลับในทันที
“วันนี้ลำบากเจ้าแล้วสะใภ้ข้า ฮ่าๆ กงกงมอบรางวัลให้สะใภ้ข้า” ฮ่องเต้ เฟยหลงปราบปลื้มกับความสำเร็จในครานี้เป็นอย่างมาก
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ของรางวัลที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่พระชายาของ ท่านอ๋องสามเป็นผ้าแพรสิบทับ เครื่องประดับจากหยกมันแพะห้าชิ้น เงินรางวัลห้าสิบตำลึงทอง และที่ดินว่างเปล่าติดจวนอ๋องสามอีกหนึ่งผืนพ่ะย่ะค่ะ” เจียวซินตกตะลึงกับของรางวัลที่มากมายเช่นนี้
คุ้มค่ากับหนึ่งเดือนที่เสียไปกับการเตรียมตัว
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เจียวซินก้มคำนับต่อองค์ฮ่องเต้ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในท้องพระโรงเฟยเทียนจึงพาเจียวซินเข้าเฝ้าฮองเฮาหลี่หนิงเฟิง
“หุบยิ้มเสียบ้างเถิด ใครผ่านไปมาจะหาว่าข้ามีชายาวิปลาส” เฟยเทียนเอ่ยเย้าชายาของตนอย่างอดไม่ได้ ก็นางเอาแต่ยิ้มแก้มแทบจะปริแตก มองดูก็รู้ว่าพอใจกับของรางวัลมากเท่าใด
“ท่านจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสักหนึ่งชั่วยามมิได้เลยหรือ”
“หึๆ ประเดี๋ยวจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ อาจจะมีรัชทายาท เฟยเฟิ่งและหนิงหลงอยู่ด้วย จำพวกเขาได้หรือไม่”
“จำรูปร่างหน้าตามิได้เพคะ รู้เพียงนามและสถานะเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นใคร เสด็จแม่อาจพูดขัดหูเจ้าไปบ้างอย่าได้นำมาใส่ใจมากนัก เสด็จแม่ของข้าแข็งนอกอ่อนใน วาจาร้ายกาจแต่ก็ใจดีไม่น้อย” ไม่นานเฟยเทียนและเจียวซินก็เดินมาถึงตำหนักที่ประทับของฮองเฮา ไม่ทันจะก้าวเข้าไปในตำหนักก็มีเด็กชายตัวน้อยวิ่งมาชนเจียวซิน
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ะ เด็กน้อยเจ้าเจ็บที่ใดหรือไม่” เจียวซินรีบคว้าเด็กชายขึ้นมาสำรวจจนทั่ว พอได้สตินางก็เริ่มคิดได้ว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้คงจะเป็นองค์ชายเฉินหนิงหลงมิผิดแน่ จึงรีบกล่าวขอโทษทันที
“ขออภัยด้วยเพคะองค์ชาย”
“มิเป็นไย แล้วเจ้าเป็นคายจึงมาที่นี่ด้าย” เสียงเล็กดูเย่อหยิ่งพูดขึ้น
“อะแฮ่ม!!” เฟยเทียนกระแอมขึ้นมาขัดจังหวะการไต่สวนขององค์ชายตัวน้อย
“อ๊ะ…คารวะพี่สามพะยาค่า” องค์ชายตัวน้อยเอ่ยคารวะผู้เป็นพี่ชาย
“นางเป็นชายาของข้า นามว่า จางเจียวซิน มาเถิดข้าจะอุ้มเข้าไปด้านใน ทุกคนคงรออยู่แล้วกระมัง” เฟยเทียนกำลังจะย่อตัวลงอุ้มน้องชาย แต่ทว่า...
“ให้พระชายาอุ้มได้หยือไม่พะยาค่า” หนิงหลงจ้องมองไปที่เจียวซินไม่ละสายตา สายตาเย่อหยิ่งก่อนหน้าลดลงไม่น้อยเมื่อรู้ว่านางคือชายาของพี่ชาย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากอุ้มองค์ชายเพคะ ขอหม่อมฉันอุ้มได้หรือไม่เพคะ” เจียวซินที่รักเด็กเป็นทุนเดิม พอเห็นองค์ชายที่น่าตาน่ารักน่าชังจึงอยากเล่นด้วย
“อืม แต่เขาตัวหนักมาก หากหลังเดาะข้าจะไม่เรียกหมอหลวงให้หรอกนะ” เฟยเทียนอุ้มหนิงหลงส่งให้เจียวซิน
“ม่ายหนัก น้องม่ายหนักพะยาค่า” องค์ชายน้อยโบกไม้โบกมือว่าตนไม่หนัก
“ไม่หนักเพคะ หม่อมฉันอุ้มองค์ชายได้ทั้งวันเลยเพคะ” เจียวซินหันไปหยอกล้อกับองค์ชายน้อย
“งั้นพระชายาต้องอุ้มน้องท้างวัน”
“ได้เพคะ แต่องค์ชายเรียกหม่อมฉันว่าเจียวซินก็ได้เพคะ”
“เจียวซิน เจียวซิน”
“เพคะ คิกๆ” เฟยเทียนที่มองเด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งหยอกล้อกันดังเคยพบกันมาแต่ชาติปางก่อนแล้วถอนหายใจหนัก นี่มิมีผู้ใดสนใจเขาเลยใช่หรือไม่ เขายังมีตัวตนในสายตาอยู่หรือไม่
เมื่อเข้ามาในตำหนักก็พบเข้ากับฮองเฮา รัชทายาท และองค์หญิงเฟยเฟิ่งรออยู่แล้ว เห็นดังนั้นเจียวซินจึงวางองค์ชายลงเพื่อที่จะกล่าวถวายพระพรต่อฮองเฮา รัชทายาทและองค์หญิงองค์ชาย
“มิต้องมากพิธี ขึ้นมานั่งเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อเจียวซินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ก็มีร่างเล็กพยายามปีนขึ้นมานั่งบนตัก เจียวซินจึงอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นมาบนตัก
“หนิงหลงเจ้าจะรบกวนพระชายาเกินไปแล้ว” องค์หญิงเฟยเฟิ่งที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่นกล่าวเตือนน้องชาย
“เจียวซินอุ้มน้องท้างวัน ท้างวันเลย”
“ได้ยินว่าตกน้ำตกท่าจนวิปลาส หายดีแล้วหรือ” ฮองเฮาหลี่กล่าวถามเจียวซิน
ป๊าป! เข้าให้ หน้าชาไปครึ่งหน้าแล้วกระมัง
“หายดีแล้วเพคะ มีเพียงความจำที่หดหายไปเพคะ”
“หากความจำเจ้าหดหายไปแล้วเป็นผู้เป็นคนส่งเสริมสวามีเช่นนี้ ก็ภาวนะ อย่าให้ความจำมันกลับมาเลย”
ป๊าป! ชาทั้งหน้าแล้วหล่ะตอนนี้
“แหะๆ เพคะ หม่อมฉันก็คิดเห็นดังนั้นเพคะ” เจียวซินยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้
“จริงสิ รู้ตัวผู้บงการเหตุลอบทำร้ายพวกเจ้าหรือยังน้องสาม” องค์รัชทายาทเฟยฉีกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันทีมิให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่านี้
“หากจะคุยเรื่องนี้ก็เข้าไปคุยในที่ห้องทำงาน กำแพงกั้นยังมีหู* อย่าได้ประมาทเลินเล่อเช่นนี้” ฮองเฮาหลี่กล่าวเตือนบุตรชายทั้งสอง
“เช่นนั้นลูกกับเฟยเทียนขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เฟยฉีและเฟยเทียนตรงไป ที่ห้องทำงานในตำหนักของฮองเฮาหลี่ ปล่อยให้เจียวซินนั่งนิ่งท่ามกลางคนที่พึ่งเคยพบหน้าครั้งแรก
“เฟยเทียนกล่าวว่าเจ้าประพฤติตนดีขึ้น มิได้ระรานผู้อื่นเช่นเคย”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ” เจียวซินกล่าวตอบทั้งที่มีองค์ชายตัวน้อยนั่งเล่นอยู่บนตัก
“แล้วได้ติดต่อพี่ชายเจ้าบ้างหรือไม่เล่า”
“ท่านพี่ซีห่าวส่งจดหมายมาว่าต้องออกรบ ช่วงนี้จึงห่างหายกันไปเพคะ”
“อืม ตัวข้าเองเป็นหนี้บุญคุณแม่ทัพจางไม่น้อย อย่างไรทั้งเจ้าและพี่ชายเจ้าข้าย่อมดูแลเป็นอย่างดี ตอนนี้เจ้าก็ปรับปรุงตนเองแล้วข้าก็มิได้ติดใจอันใด เจ้าเองก็คิดเสียว่าข้าเป็นมารดาเจ้าอีกคน เรียกข้าเสด็จแม่เช่นเฟยเทียนเถิด” น้ำเสียงของฮองเฮาหลี่มิได้อ่อนหวานออกจะแข็งกร้าวด้วยซ้ำแต่คำพูดนั้นทำเอา เจียวซินถึงกับชะงัก ทั้งโลกเดิมและโลกนี้นางต่างก็ขาดมารดา บิดา เจียวซินตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่”
“เอาเถิด เฟยเฟิ่ง หนิงหลงพาพี่สะใภ้เจ้าออกไปสูดอากาศข้างนอกเถิด แม่จะพักเสียหน่อย”
เจียวซินที่อุ้มองค์ชายหนิงหลงเดินตามองค์หญิงเฟยเฟิ่งที่พูดเจื้อนแจ้ว แนะนำนั่นนี่ไปทั่ว เจียวซินก็ตอบกลับบ้างในเรื่องที่สนใจ เช่น นิยาย ขนม อาหาร เทศกาลต่างๆ
“ข้าอยากไปเที่ยวตลาดยิ่งนัก พี่สะใภ้ท่านสั่งพี่สามให้ขออนุญาตต่อเสด็จแม่ทีเถิด” เฟยเฟิ่งที่ได้ยินว่าเจียวซินได้ไปตลาดเทียบท่าทางเหนือก็รบเร้าอยากไปบ้าง
“หม่อมฉันจะสั่งท่านอ๋องได้อย่างไรเพคะองค์หญิง”
“พี่สะใภ้เรียกข้าเฟิ่งเออร์เถิด อยู่แค่เราพูดคำสามัญก็พอ ข้าเองก็จะเรียกท่านว่าพี่เจียวซินดีหรือไม่”
“น้องด้วยๆ พูดสามาน สามาน” องค์ชายน้อยอยากมีส่วนร่วมจึงได้พูดขึ้นด้วยท่าทางน่ารัก
“เจ้ารู้เรื่องหรือ เจ้าเด็กน้อย” เฟยเฟิ่งพูดหยอกน้องชาย
“รู้ซี น้องรู้” องค์ชายน้อย เท้าสะเอวพยักหน้าหงึกหงัก
“หึๆ องค์ชายตัวน้อยก็รู้หรือ รู้ด้วยหรือ” เจียวซินเอ่ยหยอกเย้า ทั้งยังกอดรัด พรมจูบลงบนแก้มนุ่มนิ่มทั้งสอง จนเกิดเสียงหัวเราะคิกคักขององค์ชายตัวน้อย เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างยินดีมิน้อยที่องค์ชายของตนหัวเราะมีความสุขเช่นนี้ แม้ฮองเฮาหลี่จะมอบความรักให้องค์ชายน้อยแต่ก็เคร่งครัดกับองค์ชายมิน้อย
.
.
“หลักฐานทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่สกุลอัน” เฟยเทียนใช้เวลาร่วมเดือนในการหาหลักฐานต่างๆ ในการลองสังหารครานั้น หลักฐานทุกอย่างที่ได้พุ่งเป้าไปที่สกุลอันทั้งหมด
“มันมิง่ายไปหรือเฟยเทียน หรือนี่จะเป็นการป้ายความผิดให้สกุลอัน”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น จึงได้แต่ตามสืบต่อไป พี่ใหญ่ต้องระวังตนเอาไว้บ้าง เหตุการณ์ลอบสังหารข้าและชายาครานั้นอาจเป็นแผนการแรกที่จะลดอำนาจทางการทหารของข้า”
“หากครานั้นชายาเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา ประกอบกับข่าวลือที่เจ้าจะหย่าร้างกับนาง อาจทำให้รองแม่ทัพซีห่าวเข้าใจผิดและแปรพักตร์ก็เป็นได้” เฟยฉีรู้ดีว่ารองแม่ทัพซีห่าวรักน้องสาวคนนี้เพียงใด ทั้งเหล่าทหารยังรักและเคารพรองแม่ทัพ ซีห่าวมิน้อย จะอย่างไรก็ต้องรั้งให้รองแม่ทัพซีห่าวเอาไว้
“เจ้าเองก็ดูแลชายาเจ้าให้ดีเล่า” เฟยฉีบอกกล่าวน้องชาย
“ชายาข้า ท่านไม่บอกข้าก็ดูแลนางอย่างดีอยู่แล้ว” เฟยเทียนยืดอกพูดอย่างภาคภูมิ
“หึๆ เห็นทีน้องข้าคงจะหลงสาวงามเสียแล้วกระมัง”
“จะผิดอันใดหากข้าจะหลงชายาตนเอง” เฟยฉีได้แต่ส่ายหน้ากับความหน้าตายพูดออกมาได้มิอายปากของน้องชาย
.
.
“เสด็จพี่ เสด็จพี่” เฟยเฟิ่งร้องเรียกหาเฟยฉีและเฟยเทียนที่จำลังเดินเข้ามาในศาลา
“มีอันใดเฟิ่งเออร์ เหตุใดดูตื่นเต้นเช่นนั้น” เฟยฉีกล่าวถามน้องสาวที่ยิ้มหน้าระรื่นอยู่
“พี่เจียวซินมีบางอย่างจะกล่าวกับพี่สาม” เมื่ออยู่ด้วยกันในครอบครัว พี่น้องมักใช้คำสามัญสื่อสารกันเช่นนี้เสมอ
“มีอันใดหรือ” เฟยเทียนหันไปถามชายาของตน
“เอ่อ พอดีว่าหม่อมฉันพูดคุยถึงเครื่องหอมที่ซื้อจากตลาดเทียบท่า องค์หญิงเองก็สนใจเรื่องนี้จึงจะขอท่านอ๋องพาไปซื้ออีกคราเพคะ” เจียวซินพยายามใช้เสียงอ่อนเสียงหวาน แขนบางก็โอบกอดองค์ชายตัวน้อยไปด้วย เฟยเทียนเห็นภาพนี้แล้วอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นลูกของเขากับนางจะเป็นเช่นไรนะ
“น้องด้วย น้องไปด้วย” องค์ชายน้อยผู้รู้ความรบเร้าขอให้ตนไปด้วย
“คราแล้วยังไม่เข็ดหรือ” เฟยเทียนเอ่ยถามเจียวซิน
“มิเป็นไรหรอก มันคงมิลงมือซ้ำ แต่ก็เอาคนไปด้วยมากหน่อย” เฟยฉีกล่าว ออกมา
“เย้ๆๆๆ ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุด” เฟยเฟิ่งกระโดดไปนั่งตักเฟยฉี
“เหอะ!! หากรักมากก็ให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาไปแล้วกัน” เฟยเทียนเอ่ยออกมาเสียงงอน จนเจียวซินยิ้มขำ
อ่า~ เป็นเด็กขี้อิจฉาด้วยสินะ
“น้องรักพี่สามที่สุด” องค์ชายน้อยหนิงหลงดันตัวออกจากอ้อมกอดเจียวซินแล้วรีบวิ่งเข้าไปกอดเฟยเทียนทันที
“หึๆ รู้ความเสียจริงน้องพี่” เฟยฉีหัวเราะร่า
“น้องนอนกับเจียวซินนะ”
“อ่าวอย่างไร มิใช่ว่าที่มากอดพี่เพราะจะไปเที่ยวตลาดหรือ”
“เที่ยวด้วย นอนด้วย กอดๆ” เฟยเทียนถึงกับปลงตกกับการรู้ความของน้องชาย
“ได้ พี่จะไปขอเสด็จแม่ให้ แต่เฟิ่งเออร์คงจะออกไปค้างแรมที่จวนของพี่มิได้” คำตอบของเฟยเทียนทำเอาเฟยเฟิ่งและหนิงหลงร้องตะโกนอย่างดีใจจน เจียวซินอดหัวเราะตามมิได้
เเว่นแคว้นร่มเย็น ครอบครัวมีสุข เพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้เฟยฉียอมสละความสุขของตนแล้วเพื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้แล้ว
Tip : สำนวน "กำแพงกั้นยังมีหู" คล้ายกับ "หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง" จะพูดหรือทำอะไรต้องระมัดระวังอาจจะมีคนมาได้ยินหรือมาพบเจอได้