หลังจากที่เฟยเทียนรับหน้าที่ไปจัดการปัญหาเรื่องโรคระบาดที่หัวเมืองทางใต้ เขาก็เร่งรีบสะสางงานที่ยังคงค้างคาอยู่ตอนนี้ ทั้งยังจัดการวางแผนอย่างรัดกุมในทุกย่างก้าว เห็นได้ชัดว่าสกุลอันและพี่รองของเขาตั้งใจบีบให้เขาออกนอกเมืองหลวงนั่นแสดงว่าจะต้องมีแผนการสำคัญเป็นแน่
“กระหม่อมร่ายรายชื่อของผู้ที่เราไว้ใจได้มาไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนยื่นม้วนกระดาษให้เฟยเทียน
“อืม น่าจะมีเพียงพอสำหรับวางสายข่าวไว้แต่ละเมืองที่เราผ่าน…มีนายกองหรงด้วยหรือ” เฟยเทียนเอ่ยถามเมื่อเห็นรายชื่อของนายกองหรงหรือคุณชายหรงที่มีใจให้เจียวซิน
“พ่ะย่ะค่ะ คนผู้นี้ถือข้างเราแน่พ่ะย่ะค่ะ” มิใช่ห่าวซวนมิรับรู้ถึงความขุ่นเคืองของผู้เป็นนายที่มีต่อนายกองหรง แต่อย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้
“อืม เช่นนั้นเจ้าจัดการวางกำลังไว้แต่ละเมืองที่เราผ่าน เมืองละสองคนคงจะเพียงพอ ให้คนของเราสืบข่าวกบฏหรือข่าวการซุ่มรวมพลของเมืองที่แต่ละคนอยู่ นอกจากนี้ให้พวกเขารับข่าวจากเมืองหลวงแล้วส่งต่อกันเป็นทอดๆ จนไปถึงเราที่อยู่หัวเมืองทางใต้” เฟยเทียนเอ่ยสั่งการลงไป
“แล้วท่านอ๋องจะปล่อยให้พระชายาอยู่เมืองหลวงหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่ามิปลอดภัยต่อพระชายาเป็นแน่”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่จะให้นางไปตกระกำลำบากที่หัวเมืองทางใต้กับข้าเช่นนั้นก็คงมิได้ ข้าคงจะจัดคนคุ้มกันนางเพิ่มจากเดิม” เฟยเทียนคิดแล้วคิดอีกกับเรื่องนี้ เขากลัวนางจะมิปลอดภัยเมื่ออยู่เมืองหลวง แต่ไปหัวเมืองทางใต้ครานี้เขาไปจัดการโรคระบาด จะให้นางไปลำบากด้วยมิได้เป็นอันขาด
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่อ…เรื่องหมอที่จะไปกับเราครานี้ ข้าจะมิใช้หมอจากสำนักหมอหลวง แต่จะใช้หมอที่ร่วมกองทัพกับเราในคราที่ชนะสงครามกับพวกนอกด่านทางใต้ เจ้าช่วยนำจดหมายนี้ส่งให้พวกเขาที” เฟยเทียนยื่นจดหมายห้าฉบับให้แก่ห่าวซวน ในจดหมายเป็นข้อความถึงท่านหมอที่เคยทำงานร่วมกับเขา เพื่อขอให้ท่านหมอทั้งห้าคนไปช่วยเหลือเรื่องโรคระบาด การที่เขาไม่ใช้หมอจากสำนักหมอหลวง เพื่อต้องการตัดปัญหาเกลือเป็นหนอน เพราะเรื่องการวางยารัชทายาทยังมิแน่ชัดว่าสำนักหมอหลวงมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
“กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนก้มโค้งคำนับนายเหนือหัวแล้วจึงออกไปจัดการกิจธุระที่ได้รับมอบหมาย
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเอกมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีจิ้นหนานดังลอดเข้ามาทำให้เฟยเทียนที่นั่งทำงานอยู่ลุกขึ้นไปรับเจียวซินด้วยตนเอง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันนน้ำชากับขนมมาให้เพคะ” หนิงเออร์นำน้ำชาและขนม ที่ถือมาไปวางไว้บนตั่งไม้ยาว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ท่านอ๋องรวบตัวเจียวซินเข้ามานั่งบนตัก
“ท่านอ๋อง! หนิงเออร์ก็อยู่ด้วย” เจียวซินเอ่ยตักเตือนท่านอ๋องที่ทำตัวรุ่มร่ามยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น
“หม่อมฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แล้วเพคะ” หนิงเออร์พูดพลางยิ้มกริ่ม ก้มตัวคำนับผู้เป็นนายแล้วรีบเดินออกจากห้องทันที
“นางรู้ความยิ่ง หึๆ”
“หม่อมฉันจะนำขนมมาให้ ปล่อยหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ”
“ขอข้ากอดเจ้าให้ชื่นใจก่อนเถิด มิรู้ว่าอีกนานเพียงใดจะได้กอดเจ้าอีก” เฟยเทียนว่าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“หมายความว่าอย่างไรเพคะ” เจียวซินที่นึกสงสัยกับคำพูดแปลกๆ ของท่านอ๋องจึงเอ่ยถามขึ้น
“ข้าได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลเรื่องโรคระบาดที่หัวเมืองทางใต้ มิรู้ว่านานเท่าใดจึงจะเสร็จสิ้น…ข้าจะเพิ่มคนคุ้มกันเจ้า เจ้าอยู่ทางนี้จงระวังตัวให้มากอย่าได้ซุกซนให้-”
“หม่อมฉันไปด้วย!!” เจียวซินพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ได้ออกไปทำงานต่างเมืองยังดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในจวน
“แต่มันอาจจะลำบากมาก ข้ามิอยากให้เจ้าต้องทนลำบาก”
“หม่อมฉันอยากไปเพคะ หม่อมฉันเป็นถึงบุตรสาวของอดีตแม่ทัพใหญ่ ทั้งยังมีสวามีเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เรื่องลำบากเพียงเล็กน้อย มิจำเป็นต้องหวั่นกลัวสักนิด” เจียวซินชักแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าวใจท่านอ๋อง แต่เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องยังนิ่งเงียบจึงได้กล่าวขออย่างออดอ้อน แขนเรียวทั้งสองกอดรอบคอของเฟยเทียน
“นะเพคะ ขอหม่อมฉันไปด้วยนะ นะ” ใบหน้าสวยถูกไถไปตามแผงอกของร่างหนาอย่างออดอ้อน
“หึๆ ได้ ย่อมได้ เราจะไปด้วยกัน แต่ให้เจ้าเอานางกำนัลที่ไว้ใจได้ไปด้วย จะได้มิลำบากมาก” เฟยเทียนเอ่ยบอกชายาเพราะมิอยากให้เจียวซินต้องลำบากมากนัก
“น้องเข้าใจแล้วเพคะ เทียนเกอของน้องใจดีที่สุด” ไม่พูดเปล่า เจียวซินยังทำการอุกอาจยื่นริมฝีปากบางไปประทับบนปากหนา แล้วถอนออกอย่างรวดเร็ว
จุ๊บ!!!
ไม่ทันให้เฟยเทียนได้สติ เจียวซินก็รีบกลับตำหนักไปเก็บของทันที เจียวซินที่ทำให้ท่านอ๋องถึงกับไปไม่เป็นได้ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เช่นนี้นางคงต้องนำ คำสอนของแม่สามีมาใช้บ่อยๆ เสียแล้ว
คิกๆ ถูกออดอ้อนเข้าหน่อยถึงกับไปไม่เป็นเช่นนี้ ต่อไปจะไหวหรือเทียนเกอของน้อง~
ด้านเฟยเทียนที่พึ่งได้สติก็มิเห็นชายาของตนอยู่ในห้องแล้ว นิ้วมือหน้าแตะลงไปบนริมฝีปากที่เจียวซินจุมพิตลงมาเมื่อครู่ ใบหน้าคมคายดูขัดเขินมิน้อยที่เจียวซินออดอ้อนเขาเช่นนี้
“เทียนเกอของน้องงั้นหรือ…ดี ดียิ่ง หึๆ”
เมื่อถึงวันออกเดินทางขบวนเสด็จของท่านอ๋องสามก็ถูกตั้งขึ้นหน้า วังหลวงตั้งแต่ฟ้ายังมิสว่าง ขบวนเสด็จครานี้ไปเพื่อช่วยบรรเทาโรคระบาดใน หัวเมืองทางใต้จึงประกอบด้วยเสบียงอาหาร พืชผักสมุนไพร ยารักษาโรคต่างๆ รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นมากมาย โดยมีเหล่าทหารในสังกัดของเฟยเทียนร่วมเดินทางไปด้วยหนึ่งพันนาย แต่สิ่งที่ทุกคนล้วนประหลาดใจก็คือการที่ท่านอ๋อง นำพระชายาเอกจางเจียวซินเดินทางไปด้วย ทั้งยังจัดนางกำนัลไปด้วยถึงสามคน เช่นนี้ข่าวลือเรื่องหย่าขาดคงเป็นเพียงข่าวโคมลอยแล้วกระมัง
“ออกเดินทางได้!” สิ้นเสียงของท่านอ๋องสามที่นั่งอยู่บนหลังอาชาหยาดโลหิตคู่ใจ ทุกคนก็ออกเดินทางทันที ด้านห่าวซวน หงฮวาและหวงฮวา เมื่อสิ้นเสียง ท่านอ๋องก็ออกเดินทางแยกไปอีกทางเพื่อไปรับท่านหมอทั้งห้าคน ทั้งยังต้องการสำรวจเส้นทางลัดอื่นๆ ไว้ใช้ในเวลาคับขันอีกด้วย เจียวซินที่นั่งอยู่บนรถม้ามองลอดออกไปนอกหน้าต่าง ทัศนียภาพเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากที่เป็นบ้านเรือนบัดนี้เปลี่ยนเป็นป่าเขา แสดงให้เห็นว่าขบวนได้เดินทางออกจากเขตเมืองหลวงมาแล้ว
“ขนมเพคะพระชายา” หนิงเออร์ยื่นขนมให้ผู้เป็นนาย
“เจ้านี่รู้ใจข้าดีเสียจริง…เจ้าก็กินด้วยเถิด เอาแบ่งให้ชีชีกับซวนซวนด้วย” เจียวซินนั่งกินขนมสักพักก็เริ่มเบื่อหน่าย นางยื่นหน้าออกไปมองหาท่านอ๋องแต่ก็ไม่พบ
“ท่านอ๋องคงจะขี่ม้านำขบวนอยู่ด้านหน้าเพคะ” หนิงเออร์ที่เห็นเจียวซินทำท่าเหมือนหาใครอยู่จึงได้พูดขึ้น
“ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าเจ้ารู้ใจข้าเป็นที่สุด คิกๆ …ทหาร!” เจียวซินหยอกล้อกับคนสนิทแล้วจึงหันไปเรียกทหาร
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา” ทหารหนุ่มขี่ม้าเข้ามาเทียบกับหน้าต่างรถม้าเพื่อรอรับคำสั่ง
“อ่อ คุณชายหรงนั่นเอง…ข้าวานท่านไปถามท่านอ๋องทีได้หรือไม่ว่าข้าขอไป ขี่ม้าด้วยคน”
“พระชายาจะลำบากเอานะพ่ะย่ะค่ะ” นายกองหรงเอ่ยออกมาอย่างห่วงใย
“มิเป็นไร ข้านั่งในรถม้าเบื่อเต็มทนแล้ว” เมื่อเจียวซินยืนยันดังนั้นนาย กองหรงจึงทำได้เพียงส่งสารจากพระชายาถึงท่านอ๋องสามเท่านั้น ไม่นานเจียวซินก็เห็นท่านอ๋องขี่ม้าเข้ามาเทียบรถม้าที่นางนั่งอยู่
“นายกองหรงกล่าวว่า เจ้าอยากขี่ม้าไปกับข้างั้นหรือ” เฟยเทียนเอ่ยถามเจียวซินด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ที่นายกองหรงเป็นผู้มาบอกเขา เพราะนั่นหมายความว่านายกองหรงผู้นี้ได้พูดคุยกับชายาของเขา ซึ่งเขามิชอบ! เห็นอยู่ชัดเจนว่าสายตาที่นายกองหรงมองชายาของเขามันมีทั้งความรักและความห่วงใยอยู่ในแววตานั้น
“มิได้หรือเพคะ เช่นนั้นก็มิเป็นไร” เจียวซินพูดเสียงเบา นางคิดว่าท่านอ๋องคงมิพอในที่นางอยากไปขี่ม้าด้วย ใบหน้าสดใสจึงดูหม่นหมองขึ้นมาทันที เฟยเทียนเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยชวน กลัวว่าชายาจะเข้าใจผิด
“มิใช่เช่นนั้น มาเถิด ทางข้างหน้าจะมีน้ำตกอยู่ด้วย หากเจ้าอยู่ในรถม้าคงเห็นไม่ชัดเจนเป็นแน่”
“จริงหรือเพคะ หม่อมฉันไปเพคะ” เจียวซินที่ได้ยินว่าทางข้างหน้าจะมีน้ำตกก็เกิดความสนอกสนใจขึ้นมาทันใด จึงรีบให้ท่านอ๋องอุ้มขึ้นม้าทันที เจียวซินนั่งอยู่ด้านหน้าโดยมีท่านอ๋องนั่งซ้อนคอยควบคุมม้าอยู่ด้านหลังของนาง
“ข้าฝากนายกองหรงดูแลนางกำนัลของชายาข้าทีเถิด” เฟยเทียนเอ่ยดักทางเมื่อเห็นว่านายกองหรงกำลังจะควบม้าตามเฟยเทียนและเจียวซินไปหน้าขบวน เมื่อพูดจบเฟยเทียนก็ควบม้าไปหน้าขบวนทันที
“เหตุใดจึงให้นายกองหรงเป็นผู้มาบอกข้า” เฟยเทียนที่คาใจอยู่นานเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับชายาเพียงสองคน
“มิรู้เพคะ หม่อมฉันเรียกทหารแต่นายกองหรงเป็นผู้เข้ามาเลยฝากเขามาบอกท่านอ๋อง” เจียวซินเอ่ยตอบไปตามความจริง สายตาก็จ้องมองซึมซับบรรยากาศโดยรอบ
“แล้ว…พูดคุยอันใดกันอีกหรือไม่” เจียวซินที่ได้ยินคำถามของสวามีถึงกับยกยิ้มขึ้นมา
คิกๆ นี่หึงหรอกหรือ ดี!! จะแกล้งคืนเสียให้เข็ด
“อืม…พูดอันใดไปบ้างนะ” เจียวซินแกล้งหยอกเฟยเทียนให้หึงหวงยิ่งกว่าเดิม คราที่แล้วมีแต่นางที่หึงหวงเขา มาวันนี้ของนางแกล้งคืนบ้างเถิด
“นี่! เจ้าพูดคุยกับนายกองหรงมากมายจนไล่เรียงไม่ถูกเลยหรือ” เฟยเทียนกล่าวขึ้นเสียงดุ ในใจเขาตอนนี้มันร้อนรนยิ่งกว่ามีคนมาสุมไฟไว้
“แล้วท่านอ๋องจะทำเสียงดุใส่ข้าทำไมกันเล่า”
“ก็เจ้า…เจ้า!” เฟยเทียนพูดไม่ออก จะให้ด่าว่าชายาตนเองก็ทำไม่ได้ แต่จะให้ทำใจเย็นไม่โกรธเคืองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“คิกๆ เทียนเกอหึงหวงน้องหรือเจ้าคะ หืม” เจียวซินทิ้งตัวพิงไปกับอกแกร่ง เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลา ทั้งยังใช้นิ้วสะกิดปลายคางสวามีอย่างหยอกล้อ
“ใช่! ข้าหึงหวงเจ้า หากมิคิดว่านายกองหรงเป็นคนที่ไว้ใจให้ทำงานได้ ข้าคงส่งเขาไปอยู่ชายแดนเสียแล้ว”
“หึๆ เป็นอย่างไรเพคะ เข้าใจความรู้สึกคราที่หม่อมฉันหึงหวงท่านอ๋องบ้างหรือยัง”
“เข้าใจแล้ว” เฟยเทียนพูดเสียงอ่อย เขาทั้งรู้สึกโกรธ โมโห และน้อยใจ ผสมปนเปกันไปหมด
“หม่อมฉันมิได้พูดคุยอันใดกับนายกองหรงแม้แต่น้อย เพียงวานให้เขานำความมาบอกท่านอ๋องเท่านั้น”
“จริงหรือ”
“เป็นจริงเพคะ” เมื่อได้ยินเจียวซินพูดเช่นนั้นเฟยเทียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตา มือซ้ายกระชับกอดชายาจนแน่น มือขวาก็ถือบังเ**ยนบังคบม้าให้ก้าวเดินต่อไป เจียวซินที่ชื่นชมธรรมชาติอยู่นาน ทั้งภูเขา น้ำตก แม่น้ำก็เกิดอาการง่วงงุนจนทนไม่ไหวหลับคาอกแกร่งไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อใกล้ค่ำเฟยเทียนจึงนำขบวนให้หยุดพักที่เมืองฟู่หยู่ ซึ่งเป็นเมืองที่มิได้ห่างไกลจากเมืองหลวงมากนักจึงมีความมั่งคั่งอยู่ไม่น้อย เฟยเทียนนำเหล่าทหารไปตั้งกระโจมบริเวณลานกว้างของเมือง ท่านเจ้าเมืองเถียนที่ทราบถึงการมาของท่านอ๋องสามจึงได้จัดงานเลี้ยงรับรองขึ้นที่จวนของตน ทั้งยังเสนอให้ท่านอ๋องและพระชายาไปพักที่จวนเจ้าเมืองของตน เฟยเทียนที่อยากให้เจียวซินได้หลับนอนอย่างสบายจึงตอบตกลงไป
“นี่เป็นบุตรสาวคนเล็กของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ นามว่า เถียนซูซู” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยแนะนำบุตรสาวที่พึ่งพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่นาน หวังให้ถูกตาต้องใจท่านอ๋อง
“เถียนซูซูคารวะท่านอ๋องสามเพคะ” หญิงสาววัยแรกแย้มก้มคำนับเฟยเทียนอย่างนอบน้อม รอยยิ้มสดใสที่คนอื่นมองคงจะคิดว่าเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนมิมีพิษมีภัย
แต่!!!หากนางนอบน้อมจริงคงต้องเอ่ยคารวะเจียวซินที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านอ๋องไปแล้ว แต่นี่นางทำเป็นมิเห็นเจียวซินเช่นนี้คงมิพ้นแม่ดอกบัวขาวกลีบเน่าเช่นอันอ้ายฉิงเป็นแน่
“หึ ท่านเจ้าเมืองสอนบุตรสาวดีเสียจริง นอบน้อมถ่อมตน แต่ช่างน่าสงสารสายตานางคงมีปัญหาใช่หรือไม่จึงมิเห็นว่าข้ามาด้วย…แท้จริงในขบวนมีหมอเก่งกาจอยู่หลายคนหากอยากรักษา ข้าจะเป็นธุระให้” เจียวซินแสร้งเอ่ยออกไปด้วยท่าทีสงสาร แต่คำพูดกรีดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ฟังจนเจ็บแสบมิน้อย
“เถียนซูซูคารวะพระชายาเพคะ” หญิงสาวข่มความอายเอ่ยคารวะต่อ เจียวซินอย่างมิมีทางเลือก
“ทูลเชิญท่านอ๋องและพระชายาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ เครื่องเสวยคงเตรียมไว้พร้อมแล้ว” ท่านเจ้าเมืองรีบเอ่ยแก้สถานการณ์ หากบุตรสาวของตนได้แต่งเข้าจวนอ๋องการที่ผิดใจกับพระชายาเอกถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
ภายในงานเลี้ยงต้อนรับมีขุนนางน้อยใหญ่ที่ทำงานในเมืองฟู่หยู่มาร่วมด้วย เฟยเทียนจึงใช้โอกาสนี้ในการสอบถามความเป็นอยู่ของชาวเมือง รวมถึงปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือด้านต่างๆ ด้านเจียวซินเองก็เพลิดเพลินไปกับอาหารและขนมเลิศรสตรงหน้า หูก็ฟังเฟยเทียนพูดคุยเรื่องราชการบ้าง ตาก็มองไปรอบข้างบ้างจนไปสะดุดกับที่นั่งของคุณหนูเถียนที่บัดนี้ว่างเปล่า นางคงลุกออกไปแล้วกระมัง เจียวซินมิได้สนใจอันใดมากกลับมาทานขนมตรงหน้าต่อ
“พระชายาเพคะ เกิดเรื่องแล้วเพคะ” นางกำนัลซีซีและซวนซวนที่รับหน้าที่ไปจัดเตรียมเครื่องนอนสำหรับท่านอ๋องและพระชายา เร่งรีบสาวเท้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างๆ เจียวซิน
“มีอันใดงั้นหรือ” เจียวซินหันกลับมาหานางกำนัลทั้งสาม
“เมื่อครู่หม่อมฉันแอบได้ยินแผนการของคุณหนูเถียนมาเพคะ…” ซีซีเอ่ยขึ้น
“แผนการอันใดรีบว่ามาพี่ซีซี” หนิงเออร์เร่งให้ซีซีกล่าวความออกมาเสียที
“ข้ากำลังจะพูดอยู่นี่อย่างไรเล่าหนิงเออร์… คือหม่อมฉันได้ยินมาว่า นางจะให้คนของท่านเจ้าเมืองนำท่านอ๋องไปที่ห้องนอนของนางแทนห้องรับรอง และนางจะนอนเปลือยกายต่อหน้าท่านอ๋อง จากนั้นจะให้บ่าวของนางไปตามคนอื่นๆ มาพบยามที่นางเปลือยกายอยู่กับท่านอ๋องเพคะ” ซีซีพูดจบ ซวนซวนก็รีบสำทับขึ้นมาทันที
“คุณหนูเถียนยังกล่าวอีกว่า ถึงตอนนั้นต่อให้ท่านอ๋องมิได้พึงใจในตัวนาง แต่ก็คงมิปัดความรับผิดชอบที่ทำนางเสื่อมเสีย อย่างไรนางก็จะได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นแน่เพคะ”
“หึ! คิดง่ายเสียจริง แค่มีผู้อื่นเห็นว่าอยู่ด้วยกันเท่านี้ก็นำมาเป็นข้ออ้างให้แต่งงานได้แล้วหรือ” เจียวซินที่ไม่เข้าใจเอ่ยถามนางกำนัลทั้งสาม และก็เป็นหนิงเออร์ที่ไขความกระจ่างให้ผู้เป็นนาย
“ได้เพคะ เพียงแค่ชายหนุ่มเผลอไปเห็นหญิงสาวเปลือยกายเข้าก็สมควรต้องรับผิดชอบเพคะ และยิ่งมีผู้อื่นเห็นว่าชายหญิงอยู่ด้วยกันสองคน ทั้งฝ่ายหญิงยังเปลือยกายอีก ครอบครัวฝ่ายหญิงก็จะยิ่งเร่งรัดให้ชายหญิงผู้นั้นแต่งงานกันเพคะ หากไม่แล้วฝ่ายหญิงอาจจะไม่มีชายใดอยากได้เป็นภรรยา ฝ่ายชายเองก็อาจจะถูกตราหน้าว่าไร้ซึ่งความรับผิดชอบเพคะ” หลังจากเจียวซินได้ฟังที่หนิงเออร์เอ่ยก็พยักหน้าเข้าใจ
“นางช่างกล้านัก!!!” เจียวซินกัดฟันดูออกมาอย่างโมโห เจียวซินเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณหนูเถียนจึงได้คิดแผนการเช่นนี้มาได้ แต่…เจียวซินก็ยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างจึงเอ่ยถามออกไป
“แล้วถ้ามีชายหลายคนไปพบหญิงสาวเปลือยกายเล่า…จะเกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ”