“ผมคุยกับกรรมการ เห็นว่าเราควรประกาศขายที่นี่ ดีกว่าปล่อยให้มันรกร้าง อย่างน้อยเราจะได้มีเงิน ผมจะได้มีเงินก้อนมาเก็บไว้ใช้จ่ายในบั้นปลายชีวิต”
“ประกาศขายเหรอครับ มันไม่ได้ขายง่ายขนาดนั้นนะครับ”
“ผมรู้ว่ามันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปหนึ่งปี สองปี หรือสามปี ก็ไม่ว่ากัน แต่คงไม่มีเงินอีกแล้ว”
“ท่านแน่ใจนะครับ”
“แน่ใจ ทำเรื่องประกาศขายทีนะ”
“ครับท่าน”
“คุณช่วยผมมาตลอดเลยคุณรัน ว่าแต่ผู้ใหญ่ใจดีของคุณจะช่วยเรื่องนี้ได้ไหม”
“เอ่อ ผมไม่ทราบครับ หากเงินไม่มากท่านช่วยได้ แต่ถ้าถึงขั้นให้เทคโอเวอร์นี่ ก็ท่าจะยาก ท่านชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ตามต่างจังหวัดมากกว่า แล้วท่านเป็นนักสะสมของเก่ามีราคาด้วย”
“อืมๆ ก็ค่อยๆ ดูกันไป ผมไม่อยากสติแตก เอาเป็นว่าลองแหย่ๆ ท่านดูก็แล้วกันเผื่อท่านจะสนใจ”
“ครับ ผมจะลองดู”
“ว่าแต่ท่านเป็นเศรษฐีอยู่แถวไหน”
“ท่านอยู่โคราชครับ ผมขอตัวนะครับ เดี๋ยวจะจัดการเรื่องนี้ให้”
“อืม ไปเถอะ” ว่าแล้วชรันก็ออกไปจากห้องทำงานอีกครั้ง ทิ้งให้เจ้านายหรือรู้จักกันในชื่อขจร ประสิทธิเวช เจ้าของโรงแรมวัย 68 ปี เขาต้องมานั่งถอนใจกับปัญหาที่เกิด คิดไม่ตกกับหนี้สินหลายสิบล้าน ไหนจะค่าใช้จ่ายพนักงานอีก หรือต้องขนสมบัติเก่าออกมาขายประทังชีวิต เขาคิดอย่างเครียดๆ
ต่อมา โรงแรมสยามวลัยได้ปิดกิจการอย่างเป็นทางการ หลังจากจ่ายค่าจ้างพนักงานและผู้บริหาร รวมถึงค่าน้ำค่าไฟต่างๆ หมดสิ้น มองเงินในบัญชีก็แทบจะกุมขมับ ท้ายที่สุดขจรให้ชรันจัดการเรื่องประกาศขายโรงแรมระดับ 3 ดาวจำนวน 78 ห้อง ในราคา 350 ล้านบาท
ซึ่งเชื่อแน่ว่าขายออกยากในเศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะมาเสียสละเงินตั้งหลายร้อยล้านซื้อเอาไว้ สู้เก็บเงินไว้ไม่ดีกว่าหรือ และหลังจากโรงแรมปิดตัวครอบครัวของขจรกลายเป็นคนหมดตัวทันที เหลือเพียงเงินเก็บในธนาคารที่เอาไว้ใช้ได้แบบไม่ขัดสนเท่านั้น แต่ก็คงได้อีกไม่นานหากจะใช้สุรุ่ยสุร่ายแบบเมื่อก่อนเห็นทีคงต้องสิ้นเนื้อประดาตัว
“กรี๊ด! ว๊าย!” เสียงกรีดร้องลั่นบ้านพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง วิ่งแจ้นออกมาจากห้องนอน เสื้อผ้าหลุดลุ่ยด้วยความที่ยังใส่ไม่เสร็จ
“ออกไปให้พ้นเลยไป ออกไป๊!” เสียงดุกร้าวดังไล่หลังหญิงสาวที่วิ่งออกมาราวกับหนีตาย
“คุณปราชญ์! เป็นบ้าอะไรเนี่ย” เธอวิ่งหนีก่อนจะตะคอกขึ้น
“อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ!” เสียงตวาดลั่นยังคงดังก้อง จนคนรับใช้ในบ้านวิ่งแตกตื่น ทว่ามีเพียงคนสนิทที่เดินดุ่มๆ มาดักทางหญิงสาวเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวนะคุณหนูเนตร มีเรื่องอะไรกันอีกล่ะครับเนี่ย แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน” ชายหนุ่มบอก ขณะที่เธอใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองทางห้องนอน ซึ่งเจ้าของห้องไม่ได้ออกมาด้วยหรอก
“เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ค่ะ อยู่ๆ ก็ไล่เนตรเฉยเลย” งามเนตรว่าน้ำเสียงสั่นๆ
“คงไม่อยู่เฉยๆ แล้วไล่หรอกครับ พูดอะไรไม่เข้าหูหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างรู้ทัน
“ก็... พูดเรื่องจริงจัง อยากจริงจัง ไม่ได้อยากเป็นอีหนู รับค่าตัวแล้วก็ไปอีกแล้วอ่ะ เนตรไม่ชอบ แล้วไหนจะมีผู้หญิงอีกตั้งเยอะแยะไม่แคร์เนตรเลย พอพูดเสร็จเฉยเมยมาก”
“ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่า นายไม่ชอบผูกมัดกับใคร และไม่ต้องพูดถึงใคร แล้วริอ่านจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงของนายก็ต้องยอมเขาล่ะ”
“ก็เขาไม่ยุติธรรมนี่คะ”
“พูดไม่เข้าหูก็ถูกไล่ออกมางี้แหละ กลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวค่อยกลับมาง้อ”
“อารมณ์ร้ายเหลือเกิน หึ๋ย” เธอว่าอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินกระทืบเท้าลงไปจากบ้าน
“ร้ายก็ยังมาชอบ เฮ้อ” คนสนิทก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วเดินตรงไปยังห้องนอนของเจ้านาย พอเข้าไปถึงก็เห็นแต่ยืนสูบบุหรี่พ่นควันออกมาเหมือนกำลังหงุดหงิด เสื้อคลุมใส่แบบหลุดลุ่ย หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง คนสนิทมองไล่ตั้งแต่เท้ายันไรผมที่ยาวๆ แต่รวบเอาไว้ลวกๆ เจ้านายเขาเป็นไอ้หนุ่มเซอร์ผมยาวที่ดุดันแข็งกระด้างดีๆ นี่เอง แล้วไหงสาวแยะเสียจริง
“ไปหรือยัง” เสียงดุกร้าวดังออกมาอย่างหงุดหงิดใจ
“ไปแล้วครับ” ผู้ช่วยตอบเสียงเรียบ พลางก้มหน้าแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ
“นั่นลูกสาวกำนันนะ ใจเย็นหน่อยสิครับ เตลิดหนีไปซะหมด”
“ไปให้หมดรำคาญ ผู้หญิงอะไร ย้ำคิดย้ำทำพูดมากอะไรขนาดนั้น”
“ก็คุณหนูเนตรนี่ครับ อีกอย่างนายหามาเองทั้งนั้นนี่ครับ” สิ้นคำของเขา เจ้านายหนุ่มก็หันขวับกลับมามองหน้าอย่างเอาเรื่องทันที มือที่คีบบุหรี่ถึงกับค้างเอาไว้แล้วกัดฟันแน่น
“เข้ามาพูดเรื่องนี้เหรอ แทนที่จะยุ่งเรื่องของฉัน เรื่องที่ให้ไปทำน่ะสำเร็จสักนิดหรือยัง”
“ก็อยากจะเข้ามารายงานอยู่หรอกครับ แต่นายยังไม่ว่าง อีกอย่างต้องทำให้เป็นทำธรรมชาติ”
“ธรรมชาติมาก ผ่านมาสี่ปีแล้ว ถ้าจะเอานานกว่านั้นก็ยี่สิบกว่าปี ฉันรอไหว” น้ำเสียงของเจ้านายหนุ่มเหมือนประชดเลยแฮะ
“ผมจัดการได้แน่ครับนาย แต่เอาเรื่องตอนนี้ก่อน หงุดหงิดอะไรคุณหนูเนตรล่ะ”
“พูดไม่เข้าหู เรื่องเดิมๆ เรื่องผู้หญิงอยากเป็นเมีย ฉันไม่ชอบให้ใครยุ่งจุ้นจ้านผูกมัด”
“ตามสไตล์หนุ่มเพล์บอย แต่ว่าอ่อนโยนหน่อยสิครับ”
“อย่ามาสอน ฉันมีเวลาอ่อนโยนของฉันน่า”
“หึๆ ครับเชื่อ แต่คนเขาโจทย์จันทร์กันทั้งบางแล้วว่านายเจ้าอารมณ์หนักมาก”
“ก็เป็นมานานแล้ว”
“ผมรู้ต้นสายปลายเหตุ เดี๋ยวนายก็ดีขึ้นครับ”
“ฉันจะดีขึ้นเมื่อได้ฟังข่าวดี”
“ก็ข่าวดีครับ โรงแรมปิดประกาศขาย 350 ล้านบาท”
“ใครมันจะซื้อ แพงขนาดนั้น”
“สามดาวแต่สวยหรูนะครับ เผื่อนายสนใจ”
“ฉันสนใจอย่างอื่นมากกว่า”
“ผมบอกว่า ผมมีผู้ใหญ่ใจดีคอยช่วยเหลือ เผื่อเขาอยากได้ความช่วยเหลือ”
“ฉันช่วยซื้อโรงแรมให้ไม่ได้หรอกนะ ไม่ใช่สไตล์ เก็บเงินไว้หมุนเวียนอย่างอื่นดีกว่า”
“ก็ช่วยอย่างอื่นก็ได้นี่ครับ ทางกำลังอยากได้ความช่วยเหลือ คนมันไม่มีงานทำอ่ะนะ”
“เก่งงงง บอกมาเลยเมื่อไหร่ จะเตรียมสถานที่ไว้รอ”
“ขอผมกลับไปคุยกับเขาก่อน แต่ผมบอกนายไว้ตรงนี้ว่า คนที่นายรอน่ะอาจจะได้เหนื่อยออกแรงหน่อย ไม่ใช่ประเภท นอนอยู่เฉยๆ แล้วจะได้”
“กวนตีนนะเนี่ย แต่ฉันชอบอ่ะ นางฟ้าปีกหักลองไม่มีอะไรซะบ้างจะเป็นยังไง แล้วนี่จะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่”
“วันนี้แหละครับ จะไปเป็นที่ปรึกษาให้กับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหางานใหม่ทำ แล้วก็พาลูกจ้างคนใหม่มาให้นายด้วย” เขาก็พูดหยอกเย้าไป
“น่าสงสารนะเรา ตกงานก็เป็นด้วย”
“ผมขอเงินเดือนแปดหมื่นนะครับ จากห้าหมื่น”
“อะไรของมึงวะไอ้รัน ต่างจังหวัดขออะไรเยอะแยะ มีแต่ละลด”
“ค่าเสียเวลาครับ นี่ผมทำงานสองที่เลยนะเนี่ย สับรางก็เหนื่อยแล้ว”
“ครับ คุณรัน ไปทำงานนี้ให้สำเร็จก่อน เดี๋ยวพ่อให้แสนนึง” ปราชญ์บอกเสียงเรียบแต่จริงจัง
“กราบขอบพระคุณครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันวันอาทิตย์ จะมาตอนบ่ายพร้อมของขวัญที่นายหมายปองมานาน เอ่อ ว่าแต่ขอค่าขนมหน่อยสิครับ” พูดจบชรันก็แบมือขอทันที ทำเอาเจ้านายถึงกับมองบน
“อืม เดี๋ยวโอนให้”
“เงินสดเลยไม่ได้เหรอครับค่าขนมนะ”
“มึงนี่มัน...” เพราะเป็นคนสนิทที่รักเหมือนน้องหรอกนะ จึงยอมให้กวนตีนได้ แต่ว่าปราชญ์ก็เดินที่ตู้เซฟแล้วหยิบเอาเงินที่เก็บไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินออกมาห้าหมื่น แล้วกลับมายื่นให้ลูกน้องสุดที่รัก
“ห้าหมื่นพอไหม”
“พอครับ จะไปซื้อกินให้ฉ่ำไปเลย” ว่าแล้วชรันก็เอาเงินมาดมนิดๆ แล้วยิ้มหน่อยๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวหันหลังให้เจ้านาย
“ไอ้รัน” ปราชญ์กัดฟันด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะยื่นเท้าไปยันที่ก้นเบาๆ
“โอ๊ย! เท้านะครับนั่น” ชรันหันมาขึงตาใส่เจ้านายเล็กน้อย
“ตีนโว้ย” ปราชญ์ตอบ ชรันก็รีบวิ่งแจ้นออกจากบ้านทันที มองตามผ่านกระจกก็เห็นแต่รีบขึ้นรถแล้วขับออกไป ปราชญ์ได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ก็มีแต่ชรันที่ทำให้เจ้านายคนนี้ยิ้มได้บ้าง นั่นก็เพราะความเก่งและความกวนตีนที่มาพร้อมๆ กัน ไม่มีใครรู้ว่าทำไมปราชญ์จึงส่งชรันไปติดต่องานที่กรุงเทพฯ แทนตนเอง ติดต่อเรื่องอะไรกัน กว่าจะเห็นหน้าก็เสาร์อาทิตย์ แต่เป็นเรื่องสำคัญแน่นอน สำคัญต่อความแค้น และชรันก็ทำได้ดีด้วย