กริ้ง! กริ้ง! กริ้ง!
“ว่าไง” เสียงเข้มเอ่ยทางปลายสาย
“นายครับ! นายถึงไหนแล้ว”
“กำลังจะกลับ ออกจากกรุงเทพแล้ว มีอะไรเหรอ”
“นายแม่! นายแม่แย่แล้ว ตอนนี้ผมกำลังพาไปโรงพยาบาล กำลังจะหาข้าวให้กิน อยู่ๆ ท่านก็หมดสติไปเลย” สิ้นคำบอกเล่าของคนสนิท ชายหนุ่มถึงกับช็อกไปชั่วขณะ กลัวและตกใจ พาลแสบร้าวไปทั้งกระบอกตาจนตาแดงก่ำ มือหนาสั่นเทาเพราะกลัวว่ามารดาจะเป็นอะไรไป
“รอก่อน รอฉันก่อน ฉันกำลังไป กำลังจะไปบอกข่าวดีท่าน”
“จะรอนะครับนาย” คนสนิทบอกเสียงสั่นเครือ อาการคงไม่สู้ดี
“บอกแม่ว่าฉันกำลังไป ไม่นานหรอก”
“ครับๆ” สิ้นคำต่างฝ่ายต่างวางสาย ชายหนุ่มก็นั่งนิ่งมีท่าทางเศร้าลงไปถนัดตา
“มีอะไรเหรอครับนาย”
“แม่เข้าโรงพยาบาล อาการน่าจะไม่สู้ดี” พูดจบเขาก็ถอนใจ ผู้ช่วยก็สังเกตว่าเจ้านายหนุ่มมีน้ำตาคลอ แต่พยายามหลยไม่ให้เห็น ระหว่างนั่งรถกลับ ก็ได้แต่เมินหน้าออกนอกหน้าต่างเพื่อซ่อนน้ำตา
“ท่านต้องปลอดภัยเหมือนทุกครั้งนะครับ”
“ฉันกลัว กลัวครั้งนี้ แม่จะ... แม่จะไม่ไหว”
“ต้องไหวสิครับ” ผู้ชายหนุ่มให้กำลังใจ
“รอบนี้ฉันไม่น่าทิ้งท่านมา น่าจะอยู่กับท่าน”
“ท่านต้องรอได้ ต้องรอเราได้ ไอ้เก้ามึงขับรถเร็วๆ นะนายแม่เข้าโรงพยาบาล” ผู้ช่วยหนุ่มบอกเสียงเข้ม
“ครับ” ว่าแล้วคนขับรถก็เหยียบคันเร่งทันทีเพื่อจะไปให้ถึง เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
อย่างที่บอก นายแม่ป่วยเรื้อรังมานาน ท่านตรอมใจ ร่างกายทรุดโทรมจนทำให้โรคต่างรุมเร้า แต่ที่มีชีวิตอยู่มาได้ก็เพราะว่าได้กำลังใจจาก ‘ปราชน์ ณรงด์เดช’ เป็นลูกชายคนเดียว บิดาเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก ทิ้งให้เขากับมารดาดูแลกิจการครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน
ปราชญ์มาติดต่องานที่กรุงเทพฯ สองวัน และจะกลับไปพร้อมกับข่าวดีที่มารดารอมานานแสนนาน วันนี้กำลังเดินทางกลับ แต่เขากลับได้รับข่าวที่บั่นทอนหัวใจ ตลอดเส้นทางเขานั่งเคร่ง อมทุกข์ มือกำแน่น คล้ายกับความทุกข์บางอย่างที่สั่งสมนานหลายปีมันแสดงออกทางสีหน้า และเพราะทุกข์จึงทำให้มารดาต้องเป็นแบบนี้ รวมถึงทำให้ปราชญ์กลายเป็นคนที่ไม่เคยมีความสุขกับอะไรเลย
ตูด! ตูด! ตูด! เสียงชีพจรเต้นเป็นจังหวะที่ช้าลง ทำเอาคนรอบเตียงกุมมือนายแม่ หรือทุกคนเรียกนายแม่ปริม ณรงด์เดช วัย 68 ปี ท่านกำลังลืมตามองทุกคนรอบเตียง หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคุณหมอ กระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นและฟื้นอีกครั้ง ทว่าท่านกำลังหายใจรวยริน หมอบอกว่าท่านจะไม่ไหวแล้ว แต่ท่านกำลังรอบุตรชายเพียงคนเดียวของท่าน
“ปราชญ์ มา... หรือยัง” ท่านเปล่งเสียงอันแผ่วเบาออกมา จนคนรับใช้ก้มไปฟังใกล้ๆ
“กำลังมาครับนายแม่ นายกำลังเดินทางมา คงใกล้จะถึงแล้ว” คนรับใช้ตอบเสียงสั่นเครือ มีน้ำตาคลอเล็กน้อย จนนายแม่เห็นถึงกับค่อยๆ เอามืออันสั่นเทายื่นไปหา แล้วจับศีรษะเอาไว้
“คงถึงเวลา แม่... แม่...” ท่านกำลังจะพูดบางอย่างแต่เรี่ยวแรงกำลังจะไม่มี
“นายแม่ต้องสู้นะครับ รอนายก่อน นายแม่ต้องสู้” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับน้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาให้ท่านเห็น
“บะ... บะ... บอก... ปราชญ์ ให้พอ... ให้พี่เขาหยุดเถอะลูก” เสียงของท่านสั่นเทา แผ่วเบา แต่ฟังเข้าใจ
“นายแม่ นายแม่ไม่ต้องพูดแล้วนะคะ พักก่อน นายจะมาถึงแล้ว”
หญิงสาวชื่อกมลแทรกขึ้น ซึ่งเป็นเหมือนพยาบาลส่วนตัวคอยดูแลนายแม่มานาน และเหมือนคนในครอบครัวอีกคน
“บอก... บอกปราชญ์ ปล่อยแม่ไป บอกปราชญ์ ให้หยุด หยุดเถอะ” น้ำเสียงของท่านเริ่มรวยรินลงเรื่อยๆ
“นายแม่” หญิงสาวจับมือนายแม่เอาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้
“นายแม่ต้องอยู่กับเราไปนานๆ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้นายกับพวกเรานะคะ”
“ให้ปราชญ์ดูแลทุกคน ต้องฟังเขา ฟังเขาคนเดียว”
“ค่ะ/ครับ”
“เราจะฟังนายคนเดียวครับ”
“ดี บอกปราชญ์ให้หยุด แม่ทุกข์มาพอแล้ว แม่ไม่อยากให้เขามาทุกข์เหมือนที่แม่เป็น”
“นายแม่ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ นายแม่ต้องรอนายก่อน ต้องกลับบ้านกับเรา” กมลพูดทั้งน้ำตา ทว่านายแม่กลับส่ายหน้า
“แม่คง... ต้องไป บอกปราชญ์ แม่... แม่... ขอ อโหสิกรรมให้ทุกคน” ท่านพูดทั้งน้ำตา ลมหายใจเริ่มขาดช่วง คนรับใช้หนุ่มจึงตัดสินใจโทรไปหาปราชญ์อีกครั้งเพื่อจะได้ทันมาดูใจท่าน
“นายถึงไหนแล้วครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความร้อนใจ
“อยู่นี่ จะถึงห้องแล้ว” ปราชญ์ตอบพลางวิ่งออกจากลิฟต์ ทำให้ผู้ช่วยใจชื้นทว่าเสียงสาวใช้ก็ดังขึ้น
“นายแม่! นายแม่! นายแม่ไปแล้ว! ฮือๆๆ” กมลกรีดร้องและซบไปบนร่างของนายแม่ ผู้ช่วยหนุ่มก็หันไปมองที่เครื่องแสดงชีพจร ตู๊ดดดดด เส้นชีพจรแสดงเป็นเส้นตรง จากนั้นเขาก็หันไปมองนายแม่ที่จากไปอย่างสงบ มือถือของเขาแทบร่วงลงพื้นพร้อมกับน้ำตา จังหวะเดียวกันนั้นปราชญ์ก็ผลักประตูเข้ามาพอดี สิ่งที่เห็นคือสัญญาณชีพจรเป็นเส้นตรงแล้ว
“แม่!” ปราชญ์เรียกมารดา
ก่อนจะวิ่งเข้าไปโอบร่างไร้ลมหายใจเอาไว้ กดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลรินทว่าสุดจะกลั้น แต่ไม่ได้เปล่งเสียงร้องไห้ออกมา มีเพียงหยดน้ำที่ไหลเอ่อ เนื้อตัวสั่นเทา พลางซบหน้าลงไปกับร่างไร้วิญญาณ
“แม่ ผมมาแล้ว ทำไมไม่รอผม นิดเดียวแม่ก็ไม่รอ ผมมาบอกข่าวดีแม่แล้วไง ฟื้นสิครับแม่” ปราชญ์ไม่ได้คร่ำครวญ แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้น เอามือประคองใบหน้ามารดาด้วยน้ำตานองหน้า ขณะที่ลูกน้องคนสนิททั้งหมดได้แต่ก้มหน้าน้ำตาร่วง เพราะนายแม่ก็เหมือนแม่ของทุกคน ท่านรักและเอ็นดูเหมือนลูก
“ของที่แม่ตามหา ที่มันขโมยไปผมกำลังจะหาทางเอามา จะเอามาคืนแม่ แม่น่าจะรอก่อน ได้ฟังที่ผมพูด” เขาพูดเสียงสั่นเครือ พลางกัดฟันแน่นเพราะความโกรธเสียใจ มันปะเดปะดังเข้ามาอย่างหนักหน่วง เขาไม่ใช่คนที่ฟูมฟาย แต่กลับเป็นคนที่ทำใจรอมาเสมอ ว่าสักวันมารดาก็ต้องจากไปเพราะตรอมใจมาหลายปีแล้ว
“นายครับ ท่านไปสบายแล้ว ท่านปลดปล่อยแล้ว” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางเดินมาเอามือแตะที่ไหล่เจ้านายหนุ่มเบาๆ
“ปลดปล่อยแล้วอย่างนั้นเหรอ แต่ฉันจะไม่ปล่อยไม่มีวัน เพราะมัน! แม่ถึงเป็นแบบนี้” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันแข็งกระด้าง
“นายแม่มีคำสั่งเสียสุดท้าย บอกให้นายหยุด ท่านพอแล้ว” กมลแทรกขึ้นเสียงหม่น
“หยุดเหรอ ไม่! ฉันจะไม่หยุด ถ้าหยุด ที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า ในเมื่อเรากำลังจะทำสำเร็จแล้ว จะมาบอกให้ฉันปล่อย ไม่มีวัน”
พูดจบปราชญ์ก็มองหน้ามารดา ซึ่งบัดนี้ซีดเซียวลงไปมาก มือหนากอบกุมมือเหี่ยวๆ นั้นเอาไว้อย่างทะนุนถนอม
“แม่หลับให้สบาย ผมจะจัดการทุกอย่างเอง มันเป็นคนเริ่มแต่ผมจะเป็นคนจบ มันต้องได้รับกรรมที่มันก่อเอาไว้กับเรา” ปราชญ์พูดพลางกลืนน้ำตาเข้าไปไว้ในอก สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้ามารดาเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน
“ไปบอกหมอ” ปราชญ์บอกเสียงเรียบ
“ครับนาย” ลูกน้องรับคำแล้วรีบออกไปทันทีอย่างไม่รีรอ เพื่อไปแจ้งหมอจะได้ให้เจ้าหน้าที่มาจัดการเรื่องเคลื่อนย้ายศพ ปราชญ์ยืนมองร่างไร้วิญญาณของมารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ กมลก็เข้าไปแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ปราชญ์ได้สติก็เข้าไปช่วยแต่งตัวให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย เขาแทบจะกลืนความเศร้าเอาไว้ในอก และตั้งมั่นว่าจะทำตามปณิธานของตัวเอง แม่จากไปแล้วหากแต่เขายังอยู่ และถ้ายังทำสิ่งที่ค้างคาไม่สำเร็จ เขาก็นอนตายตาไม่หลับหรอก