บทที่ 3 ขบวนแห่ศพ

1721 คำ
            เพียงสามวันชิงหลานก็สามารถลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปมาได้ ท่านหมอเกายินดียิ่งนักไม่เพียงแต่รับเงินค่ารักษาเล็กน้อยหากแต่ยังห่อสมุนไพรบำรุงกำลังให้         จังฮูหยินเพื่อนำไปต้มให้สาวน้อยได้ดื่มอีกหลายเดือน             “เห็นหลานเอ๋อร์แข็งแรงเช่นนี้ ข้าที่เป็นหมอก็พลอยมีความสุขไปด้วย ฮูหยินท่านนำสมุนไพรเหล่านี้กลับไปต้มให้นางกินเถอะ”             จังฮูหยินน้ำตารื้น “พระคุณครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม”             “อย่าได้คิดมาก เห็นบุตรสาวของท่านฟื้นจากความตายมาได้อย่างอัศจรรย์เช่นนี้ บอกตามตรงล้วนเป็นเพราะวาสนาของนาง ข้าเองก็มิได้ทำอันใดมาก”             “หากไม่มีท่าน หลานเอ๋อร์ของข้าก็คง.....”             “ไอหยา....ฮูหยิน สิ่งใดที่ผ่านมาแล้ว เอ่ยขึ้นมาก็ไร้สุขท่านอย่าได้กล่าว       อีกเลย”             จังฮูหยินเห็นว่าบุตรสาวสีหน้าแจ่มใสร่างกายแข็งแรงก็ยินดียิ่งนัก หลานเอ๋อร์ขอให้มารดาพาตนเดินเล่นที่ตลาดในเมืองหลวงก่อนกลับอำเภอเฉิน ฮูหยินก็ยินยอม เงินที่นางเตรียมมาไว้รักษาบุตรสาวยังเหลือพอจะซื้อชุดใหม่ให้หลานเอ๋อร์ได้สองชุด ผ่านมาหลายปีชุดที่หลานเอ๋อร์ใส่ล้วนแต่ได้ปะชุนมาแล้ว เผยมู่ซีที่แม้จะอยู่ในฐานะถูกกดขี่ในจวนแต่เสื้อผ้าที่นางใส่มิได้ซอมซ่อจนน่าสงสารอย่างหลานเอ๋อร์ เมื่อเห็น             จังฮูหยินซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ก็ยิ้มน้อยๆ             ‘สองแม่ลูกสกุลชิงช่างน่าเวทนานัก กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังต้องปะชุนเพื่อสวมใส่ ในขณะที่ข้า ผู้คิดว่าตนเองลำบากอย่างน้อยท่านย่าก็ยังให้เสื้อผ้าใหม่ข้าปีละหลายชุด ต่อไปข้าต้องรู้จักคุณค่าของเสื้อผ้าให้มากขึ้น’             “หลานเอ๋อร์ แม่ขอโทษที่ปีก่อนมิได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้าเพราะพวกเราต้องซื้อผ้าปะชุนเครื่องนอน คราวนี้มาเมืองหลวงก็ถือโอกาสซื้อชุดให้เจ้าสักสองชุดก็แล้วกัน”             “ขอบคุณท่านแม่” เผยมู่ซีในร่างของหลานเอ๋อร์ก็พอจะเห็นว่าจังฮูหยินเองก็มิได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่เช่นนั้น แม้ชุดของนางจะสะอาดสะอ้านแต่ก็ดูรู้ว่าสวมใส่มาแล้วหลายปี การพาบุตรสาวมารักษาตัวในเมืองหลวงครั้งนี้นางคงจะเลือกชุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีได้มาแล้วกระมัง? เผยมู่ซีมองดูจังฮูหยินด้วยความเห็นใจ อนุภรรยาในเรือนที่       ฮูหยินเอกโหดร้ายก็มักจะเจอชะตากรรมเช่นนี้                     “หลบด้วย! หลบด้วย!” ขบวนมือปราบจำนวนมากที่ขี่ม้านำทางรถม้าคันใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าขาวและดำร้องตะโกนสั่งผู้คนสองข้างทาง             ผู้คนสองข้างทางต่างชี้ชวนกันซุบซิบดูรถม้าสองคันที่วิ่งตามกัน             “นี่มันเกิดอันใดขึ้นหรือ?”             “ว่าที่พระชายาขององค์ชายสิบห้าน่ะสิ! รถม้าตกหน้าผาสิ้นชีพไปพร้อมสาวใช้คนสนิทน่าอนาถนัก เห็นว่ากำลังเตรียมตัวจะเข้าพิธีอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”             หลานเอ๋อร์ยืนตะลึงอยู่ข้างมารดา แม้จะรู้ตัวตนเองเสียชีวิตไปแล้วทั้งยังได้เห็นสภาพอันสยดสยองของศพตนเองกับตาแต่นางก็อดจะน้ำตาไหลในชะตากรรมของตนเองมิได้ คนที่ยืนรายรอบล้วนยืนยันว่านั่นคือศพของคุณหนูเผยที่กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายสิบห้าผู้เป็นพระอนุชาของหมิงฮ่องเต้             ‘ในเมื่อข้าตายไปแล้ว พันธะสัญญาแต่งงานก็คงถูกยกเลิกหรือไม่สกุลเผยก็อาจจะคัดเลือกคุณหนูคนที่เหลือในสกุลไปเสนอต่อราชสำนัก ช่างเถอะ...ถึงอย่างไรแต่นี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า’             จังฮูหยินได้ยินชาวบ้านวิจารณ์เรื่องสตรีที่เคราะห์ร้ายทั้งสองก็นึกเวทนา ครั้นก้มหน้าลงกลับได้เห็นบุตรสาวของตนน้ำตาไหลพราก ยืนโงนเงนคล้ายจะเป็นลม             “หลานเอ๋อร์! เจ้าเป็นอันใดไป?” จังฮูหยินปล่อยมือทิ้งข้าวของลงพื้นก่อนจะหันไปประคองบุตรสาวที่บอบบางอย่างยิ่ง ชิงหลานร่างทรุดลง เสี่ยวลิ่งเองก็ตกใจรีบตะโกนบอกคนรอบข้างให้ถอยออกไปให้หมด             บุรุษรูปร่างสูงโปร่งงามสง่าที่ขี่ม้าย่างเหยาะตามหลังขบวนรับศพว่าที่       พระชายาหันมามองราษฏรที่ยืนล้อมกันอยู่ เขาดึงบังเ**ยนม้าให้หยุดต่อหน้า             “เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงมุงกันขวางขบวนม้าของมือปราบเช่นนี้”             จังฮูหยินเงยหน้าขึ้นมองบุรุษรูปงามผู้นั้น ดูจากเครื่องแต่งกายและม้าตัวงามที่เขาขี่แล้วนางก็พอประเมินได้ว่าฐานะของเขาย่อมไม่ธรรมดา             “ขออภัยด้วยเถิดคุณชาย บุตรสาวของข้าร่างกายอ่อนแอเพิ่งหายป่วยจึงเป็นลมไป มิได้ตั้งใจจะขัดขวางขบวนของพวกท่านเลยจริงๆ”             บุรุษในชุดมือปราบข้างหลังรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง             “องค์ชายโปรดอภัย พวกข้าน้อยมิได้ดูแลกันผู้คนให้ดีจึงได้เกิดเหตุนี้ขึ้น”             “ไม่เป็นไร...พวกเจ้ารีบช่วยนางเร็วเข้า บุตรสาวของนางเป็นลมไปแล้ว”             “พะยะค่ะ”             จังฮูหยินได้ยินมือปราบเรียกบุรุษบนหลังม้าเช่นนั้นก็รีบโขกศีรษะขออภัย             “หม่อมฉันขออภัยองค์ชาย หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินองค์ชายเสียแล้วเพคะ”             “ช่างเถิดเรื่องเล็กน้อย รีบพาบุตรสาวเจ้าไปหาหมอจะดีกว่า” องค์ชายสิบห้าปรายตามองเด็กสาวในอ้อมกอดของสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ แวบหนึ่งก่อนจะชักบังเ**ยนม้าจากไป             มือปราบที่ยืนตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ รีบเรียกรถม้าคันข้างหลังให้รับชิงหลานขึ้นพร้อมด้วยมารดาและเสี่ยวลิ่งไปยังโรงหมอท่านหมอเกา ครั้นไปถึงท่านหมอเกาก็บอกเพียงให้ชิงหลานนอนพักผ่อนสักครู่ไม่นานก็จะดีขึ้น จังฮูหยินกับเสี่ยวลิ่งจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก             “เฮ้อ! ค่อยยังชั่วข้านึกว่าคุณหนูจะเป็นเหมือนเมื่อวานเสียอีก”             “สบายใจได้ นางเพียงแค่เสียใจจนหมดแรงไปเท่านั้น ว่าแต่เกิดเหตุอันใด?  ทำให้นางเสียใจเช่นนี้”             “พวกเรายืนดูขบวนมือปราบที่นำศพว่าที่พระชายาองค์ชายสิบห้ากลับเข้าเมือง จู่ๆ หลานเอ๋อร์ก็น้ำตาไหลแล้วก็เป็นลมไป”             หมอเกาทำหน้าฉงน “พวกท่านรู้จักผู้ตายหรือ?”             จังฮูหยินกับเสี่ยวลิ่งส่ายศีรษะพร้อมกัน “ไม่เจ้าค่ะ”             “อืม...ช่างเป็นเรื่องแปลกเสียจริง!”             ครั้นบุตรสาวได้สติกลับมา จังฮูหยินจึงว่าจ้างรถม้าให้กลับไปส่งพวกตนที่อำเภอเฉิน อำเภอแห่งนี้เผยมู่ซีเคยเห็นในแผนที่ อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก เล่าลือกันว่าวัดพระโพธิสัตว์ที่อำเภอนี้คือสถานที่ที่ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงค้นพบขุมทรัพย์ทองคำของอดีตฮ่องเต้และได้นำทองเหล่านั้นมาใช้ในการสร้างเขื่อนป้องกันภัยน้ำท่วมและแห้งแล้ง             เรือนเดิมของสกุลชิงใช้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ เมื่อทายาทรุ่นที่สามเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักและสร้างจวนใหญ่โตในเมืองหลวงจึงทิ้งที่นี่ไว้กับคนดูแลสามคน แม้จะไม่ใหญ่โตอย่างจวนสกุลเผยแต่เผยมู่ซีก็ดูว่าเป็นเรือนที่มีขนาดใหญ่โอ่อ่าเพียงแต่ใหญ่โตเกินกว่าที่คนสามคนจะช่วยกันดูแลไหว อีกอย่างเรือนหลังเล็กล้วนโยกโย้จะพังแหล่มิพังแหล่จนเกินจะอยู่อาศัยได้แล้วเพราะปีก่อนมีพายุเข้าทำให้เรือนพังบางส่วนไปหลายหลัง แม้จังฮูหยินจะให้คนดูแลเรือนแจ้งไปยังจวนสกุลชิงที่เมืองหลวงแล้วแต่กลับมิมีผู้ใดออกมาซ่อมแซม ยังดีที่มีเรือนอีกสามหลังใช้การได้จึงพอได้อาศัย             จังฮูหยินเดินนำหน้าบุตรสาวไปยังเรือนนอนที่ขนาดเล็กกว่าเรือนนอนของเผยมู่ซีในชาติที่แล้ว เรือนนี้มีห้องนอนสามห้องมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังเรือนหลังกลางที่เป็นห้องโถงใหญ่             ความทรงจำเดิมของชิงหลานบอกให้เผยมู่ซีได้รู้ว่าในตอนที่มาอยู่ปีแรกอากาศหนาวเย็น จังฮูหยินกับเสี่ยวลิ่งจึงได้ย้ายเอาครัวมาไว้เรือนเล็กที่อยู่ติดกับเรือนใหญ่รับแขกหลังนี้เพราะพวกนางมีคนเพียงสามคน ส่วนเรือนของบ่าวรับใช้เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ยังอยู่ที่เดิมที่ด้านท้ายจวน คล้อยหลังอีกสองปีต่อมาจังฮูหยินจึงให้เขาย้ายมานอนที่เรือนที่ใกล้เข้ามาอีก             “ที่นี่คงไม่มีผู้ใดมาสนใจพวกเราอีกแล้ว เรือนใหญ่โตมีเพียงพวกเราสี่คนก็มาอยู่ให้ใกล้กันสักหน่อยเถิด หากเกิดปัญหาจะได้เรียกกันได้ทัน”             เหล่าลู่ที่อายุสามสิบห้าแล้วแต่ยังมิได้แต่งงานจึงกลายเป็นกำลังหลักของเรือนสกุลชิงที่อำเภอเฉินแห่งนี้ ยังดีที่เขาแข็งแรงจึงช่วยตัดฟืนเผาถ่านและตักน้ำ ทำให้เสี่ยวลิ่งไม่ต้องลำบากมากนัก เผยมู่ซีรู้สึกได้ถึงความสำนึกในความเมตตาที่หลานเอ๋อร์รู้สึกต่อบ่าวรับใช้ผู้นี้ ในยามที่คนของบ้านใหญ่มาตรวจเรือนเดิม เหล่าลู่จะทำทีเหมือนไร้น้ำใจไม่คอยช่วยเหลืองานเพื่อมิให้คนของฮูหยินใหญ่เพ่งเล็งจนให้เขาออกจากหน้าที่เช่นเดียวกับสองคนก่อนที่ช่วยจังฮูหยินจนถูกโยกย้ายให้ไปดูแลที่อื่น             “คุณหนูขอรับ สีหน้าดียิ่งนักเห็นทีท่านหมอเกาผู้นี้คงจะเป็นหมอเทวดาสมกับร่ำลือเป็นแน่”   *************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม