จังฮูหยินให้เสี่ยวลิ่งนำทางรถม้าของร้านเครื่องนอนขนของที่ซื้อกลับไปยังจวนก่อน ส่วนนางและหลานเอ๋อร์เดินต่อไปยังวัดพระโพธิสัตว์
“วัดลู่เซี่ยน...มีชื่อวัดด้วยหรือเจ้าคะ?”
“นับตั้งแต่องค์ชายสิบห้าเสด็จมาควบคุมการบูรณะที่นี่ตามพระดำรัสของฮ่องเต้ ก็ได้นำป้ายมงคลนามนี้มาด้วย เจ้าดูสินี่เป็นลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้เทียวนะ นับว่าชาวอำเภอเฉินมีวาสนานัก”
เผยมู่ซีหน้าเผือดสีเมื่อได้ยินคำว่าองค์ชายสิบห้า
‘ชาติที่แล้วข้าก็ต้องเกี่ยวพันกับคนผู้นั้น...ชาตินี้ยังจะมารบกวนข้าอีกหรือ?’
ใจของนางลอยไปถึงเมื่อครั้งที่ท่านพ่อเอ่ยถึงคำมั่นสัญญาระหว่างสกุลเผยกับสกุลจูที่ต้องการจะให้ทายาทแต่งงานกัน เดิมที่สกุลเผยเองก็มิได้สนใจคำสัญญาปากเปล่านี้แล้ว เพียงแต่เผยอวี่หนิงเจ้าเล่ห์นักเมื่อได้ยินจากผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลเอ่ยขึ้นเมื่อวันไหว้สองปีก่อนก็คิดแผนร้ายออกมาได้
บุตรีของสกุลจูที่ตบแต่งเข้าไปในวังหลวงรัชกาลก่อนได้เป็นถึงสนมเอกมีพระโอรสคือองค์ชายสิบห้า หากนับแล้วในสกุลจูยามนี้คนชั้นหลานที่ยังโสดก็อยู่ในลำดับขององค์ชายผู้นี้ ใต้เท้าเผยอวี่หนิงยามนั้นหวังจะดองญาติกับราชวงศ์จึงได้หยิบยกเอาคำสัญญาของคนรุ่นก่อนมาบีบสนมจูทำให้นางต้องตกปากรับคำว่าจะให้องค์ชายสิบห้าอภิเษกสตรีตระกูลเผยเป็นพระชายา
...เพราะความโลภของบิดาทำให้เผยมู่ซีต้องตกที่นั่งลำบาก...
ตั้งแต่ยังไม่หมั้นหมาย องค์ชายสิบห้าที่รู้ว่าถูกบีบคั้นจากใต้เท้าเผยขุนนางระดับสามของกรมกลาโหมก็รู้สึกเกลียดชังเผยมู่ซีตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า ทรงประกาศให้สหายที่ร่วมดื่มในภัตตาคารได้รู้ทั่วกันว่าพระองค์รังเกียจสตรีตระกูลเผยยิ่งนัก
“ต่อให้นางอภิเษกสมรสในฐานะพระชายาเอก ข้าก็จะทำให้นางได้รู้ว่าการเข้ามาอยู่ในวังโดยที่เจ้าของวังมิได้ต้อนรับนั้น...ต้องอยู่ในสภาพเช่นใด?”
ถ้อยคำขององค์ชายสิบห้าที่เอ่ยในคืนนั้นเป็นที่ซุบซิบกันไปทั่วเมือง เย่วหยวนจุนสาวใช้ตระกูลเผยได้ยินเข้าในตอนที่นางไปแวะโรงน้ำชานกระจิบเพื่อซื้อขนม ดอกกุ้ยฮวาจึงนำความมาถ่ายทอดให้คุณหนูได้ฟัง เผยมู่ซีนึกโมโหจึงลอบออกจากจวนปลอมเป็นหนุ่มน้อยไปนั่งที่โรงน้ำชาอยู่สองวัน เรื่องนินทาหลายเรื่องจึงผ่านเข้าหูนาง รวมถึงเรื่องน่ารังเกียจของใต้เท้าเผยผู้เป็นบิดาด้วย
ในหมู่ขุนนางล้วนรู้กันดีกว่าใต้เท้าเผยทะเยอทะยานอยากจะเลื่อนขั้นเพียงใด พยายามสืบเสาะหาตระกูลขุนนางที่กำลังรุ่งเรืองแล้วเสนอบุตรสาวของตนให้เป็นลูกสะใภ้ ทว่าขุนนางใหญ่พวกนั้นกลับไม่ยอมตกปากรับคำโดยง่าย ครั้นรู้ว่าตระกูลเผยมีคำมั่นสัญญากับตระกูลจูจนทำให้องค์ชายสิบห้าต้องรับเอาบุตรสาวคนโตของเผยอวี่หนิงไว้เป็นพระชายาเอกต่างโจษจันกันทั่วไม่ว่าจะในภัตตาคารบึงหงส์ โรงน้ำชา เหลาสุรา ไปจนถึงหอคณิกาล้วนพูดคุยกันเรื่องนี้อย่างออกรส
“เผยอวี่หนิงผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ใช้คำสัญญาปากเปล่าของคนรุ่นก่อนมาทำให้คนรุ่นนี้ต้องอึดอัดใจแล้ว”
“องค์ชายสิบห้าทรงยอมง่ายๆ งั้นหรือ?”
“ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้จึงออกราชโองการพระราชทานสมรสแล้วนี่?”
“ไอหยา! เคราะห์ร้ายเป็นขององค์ชายสิบห้าแล้ว!”
เผยมู่ซีจึงได้รู้ว่าที่แท้บิดาของตนในสายตาของผู้อื่นเป็นคนเช่นใด? สมควรแล้วที่องค์ชายสิบห้าจะนึกรังเกียจนางโดยที่ยังมิได้ทำความรู้จัก แต่...นางก็ยังโกรธอยู่ดีที่องค์ชายสิบห้าปรามาสนางไว้เช่นนั้น ในเมื่อเป็นสมรสพระราชทานที่นางไม่อาจปฏิเสธได้จึงจำใจเตรียมตัวตามที่มามาหลี่จากวังหลวงให้คำแนะนำ
…ป่านนี้การตายของคุณหนูใหญ่ตระกูลเผยคงทำให้คนผู้นั้นโล่งใจไปแล้ว....
“หลานเอ๋อร์เจ้าอย่ามัวใจลอย ยกเท้าข้ามธรณีประตูด้วย ประเดี๋ยวจะหน้าคะมำเอานะ” เสียงเตือนของจังฮูหยินอยู่ใกล้ๆ ทำให้เผยมู่ซีเพิ่งระลึกขึ้นได้ว่านางกำลังจะเดินเข้าไปในศาลาใหญ่ของวัดพระโพธิสัตว์แล้ว
เผยมู่ซีคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นสีขาวขนาดใหญ่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม จุดธูปอธิษฐานของให้ท่านย่าของนางสุขภาพร่างกายแข็งแรง
‘ท่านย่าข้าวาสนาน้อยนักไม่อาจจะอยู่แสดงความกตัญญูต่อท่านได้ บัดนี้มาอยู่ในร่างของผู้อื่น คงทำได้แต่เพียงขอพรจากพระโพธิสัตว์ให้ท่านสุขภาพแข็งแรง’
น้ำตาของเผยมู่ซีรื้นออกทางหางตา นางเกรงว่าจังฮูหยินจะสังเกตเห็นจึงรีบปาดน้ำตาโดยเร็วก่อนจะก้มลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นนางจึงเห็นว่าจังฮูหยินยังคงหลับตาพนมมืออธิษฐานอยู่ เมื่อจังฮูหยินลืมตาขึ้นก็เห็นชิงหลานจ้องตนตาแป๋วก็อดหัวเราะออกมามิได้
“เจ้าจ้องแม่เช่นนี้ สงสัยสิ่งใดหรือ?”
“ในมือของท่านแม่มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินคนงามแบมือให้บุตรสาวดูผ้ายันต์ที่ถูกพับจนเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ ในมือ “ยันต์จากวัดหยกสวรรค์อย่างไรเล่า? ยันต์ผืนนี้ทำให้เจ้ารอดพ้นจากความตายมาหลายครั้งหลายหน ในยามที่เจ้ายังเด็กเคยป่วยหนักครั้งหนึ่ง แม่ดั้นด้นไปไหว้เจดีย์ขาวที่วัดนั้น จึงได้พบไต้ซือท่านหนึ่งกรุณามอบสิ่งนี้ให้ ท่านบอกว่าชะตาของเจ้าต้องผ่านวิบากกรรมไปสามครั้งให้แม่พกยันต์นี้ไว้กับตัว หากเจ้ามีภัยก็ให้กำยันต์นี้ไว้”
แสงอร่ามจากผ้ายันต์ทำเอาเผยมู่ซีแสบตา
‘อา....สิ่งนี้เองที่ดูดเอาวิญญาณของข้าให้มาอยู่ในร่างของชิงหลาน’
จังฮูหยินเห็นบุตรสาวหยีตาก็รีบเก็บผ้ายันต์ใส่ไว้คืนในอกเสื้อก่อนจะถามด้วยความห่วงใย “เจ้าเป็นอย่างไร? ปวดตาเช่นนั้นหรือ?”
“มิได้เจ้าคะ ควันเข้าตาข้า”
จังฮูหยินหัวเราะเบาๆ พลางจูงมือบุตรสาวออกมาด้านนอก “แม่ลืมไปว่าเจ้ามิค่อยชอบควันธูปเท่าใดนัก พวกเราไปชมภาพวาดฝาผนังที่ช่างกำลังวาดกันดีกว่า”
กล่าวกันว่าหมิงฮ่องเต้ทรงโปรดจิตรกรฝีมือดีจนรวบรวมไว้ในวังหลวงส่วนหนึ่งเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้พระราชวงศ์ได้ชื่นชม ในงานแสดงภาพวาดประจำปีก็จะนำภาพบางส่วนออกมาให้ชาวเมืองได้ร่วมประมูลเพื่อนำเงินไปช่วย ราษฏรที่ตกทุกข์ได้ยาก
“ท่านแม่ดูจะชื่นชมฮ่องเต้ยิ่งนัก” เผยมู่ซีเคยได้ยินทั้งคำนินทาและสรรเสริญว่าหมิงฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงเจ้าเล่ห์ร้ายกาจแต่ก็มีพระเมตตาเปี่ยมล้นต่อราษฏร ทรงนำทองที่ได้จากการค้นพบขุมทรัพย์อดีตฮ่องเต้มาใช้สร้างเขื่อนถึงสามแห่งเพื่อป้องกันอุทกภัยในภายหน้า ทั้งยังสามารถกักเก็บน้ำบางส่วนไว้ใช้เพื่อการเกษตรกรรมได้ อีกด้วย
“เจ้าว่าการไม่มีสงครามนั้นสุขเพียงใดเล่า? ฮ่องเต้ทรงทำให้ศึกเหนือใต้ สงบลง ซ้ำกับแคว้นเหลียนที่อยู่ฝั่งตะวันออกก็เน้นทำการค้า ราษฏรต่างอยู่ดีกินดี แค่นี้ก็เพียงพอที่จะยกย่องพระองค์แล้วมิใช่หรือ?”
เผยมู่ซีได้ยินก็พลันนึกขึ้นได้ว่าในมุมของราษฏรอย่างเช่นจังฮูหยินก็คงต้องการเพียงเท่านี้ การแก่งแย่งของขุนนางในราชสำนักหรือแย่งอำนาจของราชวงศ์ล้วนแต่ไม่อยู่ในความใส่ใจของไพร่ฟ้า
“จริงอย่างที่ท่านแม่ว่า...ได้ใช้ชีวิตสงบสุข ไร้ศึกสงครามก็นับว่าดียิ่งแล้ว”
“ภาพวาดฝาผนังที่ท่านว่าอยู่ที่ใดเจ้าคะ?”
จังฮูหยินยิ้มกว้าง บุตรสาวของนางช่างสนใจการวาดภาพเสียจริง ความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของหลานเอ๋อร์อาจจะเป็นพรที่สวรรค์ประทานให้หลังจากรอดพ้นความตาย
“ตามแม่มาทางนี้”
เมื่อทั้งสองเลี้ยวหัวมุมศาลาใหญ่ไปที่หอสูงด้านข้าง นั่งร้านที่สร้างด้วยไม้ไผ่ล้อมรอบหอแปดเหลี่ยมไว้ทุกด้านเต็มไปด้วยจิตรกรที่กำลังทาสีตกแต่งภายนอก ส่วนข้างในตามระเบียงมีผู้คนกำลังนั่งวาดภาพอยู่แต่ละมุม
“โอว....ท่านแม่! หอนี้ต่อไปต้องสวยงามมากแน่ๆ”
*******************************