บทที่ 6 ข้าจะหาเงินเอง

1649 คำ
            “พวกเขามิได้ลืมหรอก ข้าคิดว่าเจ้าของเรือนใหม่คงฐานะดีพอจะซื้อภาพจริงแล้วจึงได้ทิ้งของเลียนแบบพวกนี้เอาไว้ที่นี่”             เผยมู่ซีคลี่ม้วนภาพพวกนั้นออกกางบนโต๊ะใหญ่หลายภาพ พลันนางก็นึกถึงคำพูดของเถ้าแก่เนี่ยร้านเครื่องเขียน... ‘จริงสิ! หากภาพพวกนี้ขายได้ล่ะก็...ข้าเองก็มีหนทางหาเงินได้เช่นกัน’             เสี่ยวลิ่งได้แต่งุนงงที่คุณหนูไล่ให้นางออกจากห้องหนังสือแล้วปิดประตูเงียบอยู่คนเดียวเกือบสองชั่วยาม ทว่านางก็ไม่มีโอกาสได้เซ้าซี้เพราะต้องไปช่วยจังฮูหยินขึงผ้าเตรียมปัก งานของพวกนางสองคนนับว่าตึงมือยิ่งนัก เงินมัดจำที่รับมาแล้วล้วนเป็นภาระค้ำคอให้ต้องตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ตราบจนบ่ายคล้อยจังฮูหยินและเสี่ยวลิ่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าคุณหนูตรงเข้ามายังห้องปักเย็บ             “ข้าทำสำเร็จแล้ว!”             “เจ้าทำอันใดสำเร็จหรือ?” จังฮูหยินเงยหน้ามองบุตรสาวพร้อมรอยยิ้ม             “ท่านแม่กับเสี่ยวลิ่งมาดูผลงานของข้าสิเจ้าคะ” ดวงตากลมโตของชิงหลานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนสตรีทั้งสองต้องวางมือจากงานปักแล้วเดินตามไปยังห้องหนังสือ             เสี่ยวลิ่งมองภาพที่เหมือนกันสองภาพวางอยู่ข้างกันบนโต๊ะตัวเล็กด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูเจ้าคะ? ภาพนี้มีเหมือนกันสองภาพหรือเจ้าคะ?”             ชิงหลานส่ายศีรษะ ชี้ไปที่ภาพข้างขวามือของตนอย่างภาคภูมิใจ “มีภาพเดียว แต่ข้างนี้คือภาพที่ข้าวาดขึ้นต่างหาก เจ้าไม่เห็นหรือเสี่ยวลิ่งว่าหมึกยังไม่แห้งดีเลย” “คุณหนู ท่านวาดภาพได้สวยถึงเพียงนี้เทียวหรือ?” เสี่ยวลิ่งตะลึงมอง นางไม่เคยเห็นคุณหนูวาดภาพเช่นนี้สักครั้ง จังฮูหยินตกใจยิ่งกว่า ชั่วชีวิตของบุตรสาวมิเคยร่ำเรียนการวาดภาพแต่อย่างใด? ที่ผ่านมาแค่เพียงเขียนอักษรได้ครบพันอักษรตามตำราพื้นฐานหากแต่ก็มิได้สวยงามพอจะเอ่ยชื่นชม...บุตรสาวที่ฟื้นมาจากความตายผู้นี้ วาดภาพได้ราวกับ          จิตรกรมืออาชีพจะมิให้นางตกใจได้อย่างไร? “ท่านแม่ ท่านว่าภาพของข้าพอจะขายได้หรือไม่?” ประโยคนั้นของบุตรสาวดึงสติของจังฮูหยินให้กลับมา “ได้สิ...เจ้าวาดสวยถึงเพียงนี้ย่อมขายได้แน่” เผยมู่ซีหันไปชี้ให้สตรีทั้งสองดูว่านางวาดภาพเลียนแบบได้ถึงสองภาพ              เสี่ยวลิ่งเห็นแล้วก็รีบกระวีกระวาดชวนคุณหนูของนางนำภาพพวกนั้นไปที่ร้านขายภาพวาดในตลาด จังฮูหยินเอ่ยปากอนุญาต รอจนหมึกบนภาพแห้งเสี่ยวลิ่งจึงรีบม้วนภาพทั้งสามหนีบใส่รักแร้แล้วจูงมือคุณหนูของตนไปตลาด “พวกเจ้ารีบไปรีบกลับก่อนฟ้ามืดนะ” จังฮูหยินสั่งเสี่ยวลิ่ง “ฮูหยินเจ้าคะ ตลาดอยู่แค่นี้เอง ข้าจะรีบพาคุณหนูกลับเร็วแน่นอน” ชาวบ้านเห็นเสี่ยวลิ่งจูงมือเด็กสาวร่างผอมบางก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือคุณหนูชิงที่ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ในเรือนมานานหลายปี บัดนี้เห็นนางดูแข็งแรงเดินเหินได้คล่องต่างพากันยินดีส่งเสียงร้องทักทายอยู่เป็นระยะ “คุณหนูชิง แข็งแรงดีแล้วนี่...สวรรค์เมตตาเสียจริง!” หญิงชราที่เรือนปากทางเคยเห็นชิงหลานแต่เล็กแต่น้อย เดินออกมาเห็นเด็กหญิงสีหน้าสดใสก็ยิ้มกว้าง เผยมู่ซียืนนิ่งนางยังนึกไม่ออกว่าหญิงชราผู้นี้มีชื่อใด? เคราะห์ดีที่เสี่ยวลิ่งหันไปตอบหญิงชราผู้นั้นแทน “คุณหนูเพิ่งแข็งแรงขึ้นหลังจากไปรักษาที่เมืองหลวงกับท่านหมอเกานี่ล่ะเจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านยายที่เป็นห่วงนะเจ้าคะ” ชิงหลานทำความเคารพท่านยายผู้นั้นด้วยท่าทางนอบน้อม ท่านยายจึงยิ้มให้กับนางพลางกล่าวอวยพรยาวยืดตามหลัง เสี่ยวลิ่งยิ้มอย่างเปี่ยมสุขหลายปีที่นางเฝ้าดูแลคุณหนูด้วยความเอาใจใส่หวังเพียงสักวันคุณหนูจะได้เดินออกมาเที่ยว           ข้างนอกกับนางอย่างนี้ เสี่ยวลิ่งคอยตอบรับคำทักทายของผู้คนแทนคุณหนูของนางด้วยความรื่นเริง “เราแวะร้านเถ้าแก่เนี่ยกันก่อนเถิด ข้าต้องเอาภาพพวกนี้ไปให้เถ้าแก่เลือกดูก่อนผู้อื่นเพื่อตอบแทนพระคุณที่ให้หมึกและแท่นฝนหมึกแก่ข้า” เสี่ยวลิ่งพยักหน้ารับ จูงมือคุณหนูของตนเข้าไปในร้านเครื่องเขียนสกุลเนี่ย ภาพที่นางวาดทั้งสองภาพถูกกางบนโต๊ะให้เถ้าแก่เนี่ยดู “เหมือนของจริงมากเลยเทียว! พวกเจ้าไปได้มาจากที่ใด?” “เถ้าแก่เนี่ย ภาพพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของข้าเจ้าคะ ข้าเอามาให้ท่านเลือกก่อนแทนค่าหมึกและแท่นฝนหมึก” สาวน้อยผอมบางยิ้มน้อยอย่างภาคภูมิใจ “จริงหรือ? เจ้าช่างมีฝีมือเสียจริง...ภาพที่ข้าซื้อมาแขวนในร้านยังไม่วาดสวยอย่างเจ้าเลยด้วยซ้ำ ดูนั่น...ภาพพวกนั้นข้าล้วนหอบหิ้วมาจากเมืองหลวงเทียวนะ”     นิ้วมือเหี่ยวย่นชี้ไปยังผนังด้านข้าง “หากเจ้าให้ข้าเลือกหนึ่งภาพก็จะกลายเป็นการเอาเปรียบเจ้าไปเสียนี่ เพราะหากเจ้านำไปขายจริงๆ ล่ะก็น่าจะได้ราคามากกว่าหมึกและแท่นหมึกที่ข้าให้เจ้าไปนัก” เผยมู่ซีคุ้นตายิ่ง ภาพที่เถ้าแก่เนี่ยเอ่ยถึงล้วนเป็นภาพเลียนแบบชั้นนำที่นิยมซื้อขายกันอยู่ในเมืองหลวง เพียงแต่ฝีมือของผู้วาดที่เถ้าแก่เนี่ยเลือกซื้อมานั้นนับว่าเป็นระดับทั่วไป หากกล่าวกันอย่างไม่ลำเอียงแล้วฝีมือของนางยังนับว่าเหนือกว่า “มิได้ๆ น้ำใจของเถ้าแก่ที่มีให้ข้านั้นย่อมวัดด้วยราคาของภาพมิได้ โปรดรับไว้สักภาพเถิดเพื่อให้ข้าสบายใจ” เด็กหญิงเอ่ยตอบอย่างสุภาพ เถ้าแก่เนี่ยเห็นคุณหนูชิงทั้งสุภาพนุ่มนวลและรู้จักกตัญญูก็รู้สึกเมตตา “เอาเถิด ข้าจะเลือกไว้ภาพหนึ่ง” สายตาของชายสูงวัยมองภาพทั้งสองแล้วชี้ไปยังภาพขวา “เอาภาพนั้นก็แล้วกัน ข้ายังไม่เคยมีมาก่อน” “ภาพเยี่ยไป๋ของจิตรกรหานก้าน* ท่านช่างตาแหลมคมยิ่งนัก” ชิงหลาน      เอ่ยชมเมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เนี่ยเลือกเอาภาพม้าสีขาวปลอดที่ถูกมัดอยู่กับหลัก ม้ากำลังอ้าปากร้องด้วยแรงพยศถูกคล้ายพร้อมจะวิ่งออกไปได้ตลอดเวลา             เถ้าแก่เนี่ยเดินไปหยิบหมึกคุณภาพดีและพู่กันราคาแพงที่สุดในร้านออกมา “ในเมื่อข้าได้ภาพสวยถูกใจซ้ำยังฝีมือสูงส่งก็ขอมอบของพวกนี้ให้เจ้าเพื่อให้วาดภาพงามๆ ออกมาอีกมากๆ ก็แล้วกัน”             เผยมู่ซีเห็นสายตามีเมตตาของเถ้าแก่เนี่ยแล้วก็รีบคำนับด้วยความยินดี “ขอบพระคุณเถ้าแก่ ข้าจะตั้งใจวาดภาพเต็มที่”             “ขอให้คุณหนูชิงขายภาพได้สมกับที่ตั้งใจเถิด” คำอวยพรของเถ้าแก่เนี่ยทำให้หัวใจของเผยมู่ซีพองโต เห็นทีเถ้าแก่ผู้นี้จะรู้ตื้นลึกหนาบางในครอบครัวของชิงหลานจึงรู้ว่านางต้องการเงินเพื่อไปจุนเจือครอบครัว “ไอหยา! ข้าลืมไปเสียสนิท ข้ากับเถ้าแก่เหอร้านขายภาพเป็นสหายเก่าแก่กัน หากคุณหนูชิงได้จดหมายแนะนำไปจากข้าก็ย่อมจะขายภาพได้ราคากว่าไปเสนอเองเป็นแน่ เช่นนั้นรอข้าสักครู่เถิด”             เถ้าแก่เนี่ยเดินไปยังโต๊ะเสมียนแล้วเขียนจดหมายอยู่ครู่หนึ่ง จึงกลับมายื่นซองสีน้ำตาลจ่าหน้าซองถึงเถ้าแก่เหอให้กับชิงหลาน “คุณหนูชิง เอาจดหมายนี้ให้กับเถ้าแก่เหอเถิด”             “ขอบพระคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ”             เถ้าแก่เหออ่านจดหมายแนะนำจากเถ้าแก่เนี่ยแล้วก็เอ่ยขอดูภาพจาก          หญิงสาวที่ยืนตรงหน้า ชิงหลานเลือกสวมชุดใหม่ที่มารดาเพิ่งซื้อให้จากเมืองหลวงแต่เพราะรูปร่างของนางทั้งเล็กและบอบบางจากอาการเจ็บป่วยหลายปี ทำให้ดูเหมือนเด็กหญิงที่ยังไม่โต เถ้าแก่เหอไม่คาดคิดว่าสาวน้อยผอมบางผู้นี้จะสามารถวาดภาพสวยงามเลียนแบบจิตรกรชื่อดังได้งดงามยิ่ง เขาตกลงใจจ่ายเงินค่าภาพให้นางหนึ่งตำลึง             “ความจริงฝีมือของเจ้านับว่าดีมากเทียว ทว่ากระดาษที่ใช้กลับเป็นเพียงกระดาษธรรมดา หากว่าใช้กระดาษคุณภาพดีกว่านี้ข้าก็จะเพิ่มเงินให้อีก”             “เถ้าแก่เหอกรุณาให้ข้าถึงหนึ่งตำลึงก็ถือว่ามากแล้วเจ้าค่ะ” เผยมู่ซี ไม่คิดเลยว่าการหาเงินเองได้จะมีคุณค่าถึงเพียงนี้ ตอนเช้าที่นางมาตลาดกับจังฮูหยินเงินมัดจำสองตำลึงยังทำให้มารดาของชิงหลานกับเสี่ยวลิ่งยิ้มเบิกบาน ซื้อข้าวของมากมายกลับจวน เงินหนึ่งตำลึงสำหรับคนทั่วไปแล้วสามารถใช้ชีวิตอยู่นับเดือน             ....นี่เป็นครั้งแรกที่นางหาเงินได้ด้วยตนเอง ช่างมีความสุขนัก!....             เสี่ยวลิ่งตื่นเต้นยิ่งกว่าเผยมู่ซีเสียอีก “คุณหนูท่านวาดภาพแค่สองชั่วยามก็ได้เงินมาถึงหนึ่งตำลึงแล้ว เช่นนี้ชีวิตพวกเราก็ดีขึ้นแล้วสิ! ต่อไปฮูหยินคงไม่ต้องลำบากเร่งมือเย็บปักงานจนปวดหลังปวดเอวอีก”     ------------------------------------------------------------------------------ *ภาพเยี่ยไป๋ของจิตรกรหานก้าน เป็นภาพจิตรกรรมจีนโบราณที่มีชื่อเสียง เยี่ยไป๋หมายถึงส่องให้ราตรีสว่าง ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน (The Metropolitan Museum of Art) นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม