ในที่สุดหญิงสาวก็เดินทางมาถึงที่อยู่ของ เบน คริสเตียนเซน หลังเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตและต้องเดินทางออกไปสู่เขตแดนของทะเลนอร์วีเจียนจนถึงหมู่เกาะโลโฟเตนซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือของนอร์เวย์ มันดูคล้ายโลกที่แปลกแยก เต็มไปด้วยโขดหินขรุขระเรียงต่อกันเป็นลูกโซ่ทำให้รู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในโลกแห่งเทพนิยาย
ทว่าเมื่อไปถึงเกาะสกรูวา พลอยพิชญาก็ได้เห็นภาพอันตระการตาของท้องทะเลและเกาะแก่งซึ่งรุ่มรวยด้วยความงามตามธรรมชาติ ที่ซึ่งท้องน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มจัดตัดกับผืนน้ำสีเทอร์ควอยซ์ซึ่งเต็มไปด้วยแก่งหินบนที่ราบรอบเกาะ
เบน พาเธอไปถึงที่อยู่ของเขาซึ่งเป็นบ้านสองชั้นสีขาวริมหาด มันไม่ใช่บ้านหรูหราแต่ได้รับการตกแต่งแบบเรียบ ๆ แต่ดูดี และมีสีสันเล็กน้อยด้วยสนามหญ้าหน้าบ้าน ชายสองคนที่ติดตามเขาและเธอมาจากเมืองไทยช่วยกันหอบหิ้วสัมภาระซึ่งมีเพียงกระเป๋าของพลอยพิชญาแค่สองใบเท่านั้นก่อนนั่งเรือเล็กแล่นห่างออกไปจากหาดทรายที่มีเพียงบ้านสองชั้นอันโดดเดี่ยว
“เบนคะ...เอ้อ..”
หญิงสาวหันไปทางชายหนุ่มที่เดินลิ่วไปหยุดตรงหน้าระเบียงบ้าน ที่นั่นหญิงร่างสูงผอม ผมสีบลอนด์เงินและหน้าตากร้านแดดทำให้คาดเดาอายุว่าน่าจะอยู่ที่ราว ๆ สามสิบห้าอยู่ในชุดกระโปรงสีมอ ๆ ยืนรอรับกระเป๋า ทว่าเบนกลับวางมันลงแล้วกล่าวว่า
“ขอบใจมากนะ ออรูร่า...แต่วันนี้เธอไม่ต้องอยู่เฝ้าที่นี่หรอก ฉันให้เธอกลับบ้านได้”
หญิงคนนั้นเหลือบมองข้ามไหล่ของร่างสูงไปยังหญิงสาวร่างเล็กผิวขาวในชุดกระโปรงสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“ค่ะ...เบน แล้วจะให้ฉันมาอีกเมื่อไหร่คะ?”
“ฉันจะบอกเธอเอง”
เบนตอบสั้น ๆ ก่อนหญิงคนนั้นจะปลีกตัวกลับไป ชายหนุ่มก้มลงหยิบกระเป๋าและหันกลับมาทางพลอยพิชญาอีกครั้ง
“ออรูร่าเป็นคนที่คอยดูแลบ้านหลังนี้ตอนผมไม่อยู่ เธออยู่ไกลจากที่นี่ไปอีกฝั่งของเกาะ สามีของเธอเป็นชาวประมง...เข้ามาข้างในเถอะ”
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก พลอยพิชญามองไปรอบ ๆ อย่างตื่นใจ เธอไม่เคยเห็นทัศนียภาพที่ไหนสวยเท่ากับที่นี่ ดูลี้ลับคล้ายดินแดนมหัศจรรย์ที่ถูกแอบซ่อนไว้ที่โพ้นทะเล
หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนเดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้านซึ่งการตกแต่งภายในก็ดูเรียบ ๆ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นสีขาวกลมกลืนกับพื้นไม้และผนังสีครีม
“ห้องของมาเรียส...อยู่ชั้นบน”
เขาวางกระเป๋าลงและหันมาบอก ร่างเล็กบอบบางก้าวขึ้นบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่ชั้นสอง
“นั่น...ห้องของเขา”
เสียงกังวานชัดถ้อยดังอยู่เบื้องหลังนำทางให้เธอผลักบานประตูของห้องที่อยู่สุดทางเดินเข้าไปด้านใน แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าหวานกลับจางหาย เรื่องที่เธอเตรียมไว้เพื่อบอกกับคนที่ตั้งใจมาพบก็สูญสลายไปด้วย เพราะภายในนั้นมีเพียงเตียงว่างเปล่าและเก้าอี้หนึ่งตัว
“เบน!”
หญิงสาวหันมาทางชายหนุ่มที่ปิดประตูลงกลอนพอดี ใบหน้าคร้ามคมจับจ้องมายังเธอ แต่ไม่หลงเหลือคราบของความอบอุ่นอีกต่อไป
“เบน...นี่มันหมายความว่ายังไง ไหนคุณบอกว่ามาเรียสอยู่ที่นี่”
พลอยพิชญาถามทว่ากลับเห็นแค่รอยยิ้มยกขึ้นบนมุมปากหยัก
“ใช่...มาเรียส เคย อยู่ที่ห้องนี้ ผมไม่ได้โกหกคุณสักหน่อย พลอยพิชญา”
“คุณกำลังเล่นตลกอะไรอยู่คะ เบน...คุณก็เห็นว่าห้องนี้ไม่มีใคร บอกฉันมาเถอะค่ะว่ามาเรียสอยู่ที่ไหนกันแน่”
“ผมไม่ได้เล่นตลก ที่ผมพาคุณมาที่นี่ก็เพื่อให้คุณได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับน้องชายของผม!”
น้ำเสียงลุ่มลึกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นหน่วงหนัก ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้จนพลอยพิชญาถอยหลังไปติดผนัง
“เบน...ความจริงเกี่ยวกับมาเรียส มันคืออะไรกันคะ”
หญิงสาวเสียงสั่น ความกลัววิ่งพล่านตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า เธอได้ยินเขาขบกรามดังกรอดก่อนกระชากแขนเรียวจนเซเข้าไปหาอกกว้าง
“คุณไม่ควรตั้งคำถามนี้กับผม พลอยพิชญา! คุณแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริง ๆ ว่ามาเรียสน้องชายของผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว!”
ทันทีที่เขาพูดจบพลอยพิชญาก็ถึงกับตาเบิกกว้าง เรียวปากอ้าค้างด้วยนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิด
“ไม่จริง! “ ร่างบางส่ายหน้าและน้ำตาเริ่มริน “มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเขาถูกส่งกลับมารักษาตัวที่นี่”
“นั่นเป็นสิ่งที่คุณคิด!”
เบนเหวี่ยงร่างเล็กลงบนเตียง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นขณะชี้หน้าหญิงสาวซึ่งขยับลุกขึ้นนั่ง
“มาเรียสจะไม่เป็นอะไร เขาจะไม่บาดเจ็บอาการสาหัสและต้องตายถ้าคนที่ขับรถพาเขาไปคืนนั้นไม่ใช่คุณ!”
คำคาดโทษนั้นยิ่งกว่าดาบฟันลงกลางแสกหน้า พลอยพิชญาชาไปหมดทั้งตัวและรู้สึกแน่นในอกจนแทบอยากจะสำลัก ความกลัวและความเสียใจปนเปในความสับสน ถึงเวลานี้เธอจะแก้ตัวอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากต้องรับฟังเสียงคำรามของเทพบุตรที่กลายเป็นซาตานกำลังพิพากษาเธออยู่ตรงหน้า
“พลอยพิชญา...คุณคือฆาตกรที่ฆ่าน้องชายของผม ผมไม่เคยลืมและจดจำได้ดีในวันที่รับโทรศัพท์จากเมืองไทยแจ้งว่ามาเรียสประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักชนต้นไม้”
“เบน...”