หลังจากที่ปารารินรู้ผลว่าตัวเองไม่ได้ทุนไปเรียน เธอก็เลือกที่จะไปหาเพื่อนสาวที่ร้านกาแฟอย่างต้องการระบายให้ใครสักคนฟัง พอถึงร้านเธอก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนสาวทั้งสองคนฟังอย่างไม่พอใจ และรู้สึกเสียใจที่เธอมองคนพลาดไป
“เห็นไหมยัยปราง ฉันบอกแกแล้วว่าอย่าไปหลงชอบเขาแค่ภายนอกอย่างนั้น แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ เขาก็เอาทุนของแกไปให้ผู้หญิงที่ยอมนอนกับเขา ทีนี้แกก็ตาสว่างได้แล้วนะว่าเขาน่ะไม่ใช่คนดีอะไรเลย” ชงโคพูดบอกไปอย่างตรงๆ หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เพื่อนสาวเล่ามา
“เออ ฉันรู้แล้วน่า แกคิดว่าฉันยังจะชอบคนอย่างเขาลงอีกเหรอ แล้วแกรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันก็รู้สึกเกลียดเขามาก เกลียดจนอยากจะให้บริษัทเขาเจ้งไปเลย พูดแล้วก็น่าโมโหจริงๆ” ปารารินพูดออกไปแล้วทำหน้าอย่างแค้นใจ เพราะเธอจะไม่เสียใจเลยถ้าเธอจะหลุดทุนเพราะสาเหตุอื่น แต่พอเจอแบบนี้แล้วมันก็เจ็บใจจนอดแค้นเคืองไม่ได้
“โมโหที่ไม่ได้ทุนหรือว่าโมโหที่ยัยพิมอะไรนั่นได้กินผู้ที่แกหมายปองล่ะยะ ฮ่าๆ” พิชญาพูดแซวออกไป แล้วก็มองเพื่อนสาวอย่างกรุ่มกริ่ม
“ยัยพีช แกเป็นเพื่อนฉันนะ แกก็ต้องปลอบใจฉันสิไม่ใช่มาซ้ำเติมฉันแบบนี้ แกคอยดูเถอะว่าต่อไปฉันไม่หลงชอบหรือชื่นชมอะไรผู้ชายคนนี้อีก ไม่มีวัน” ปารารินพูดไปแบบงอนๆเพื่อนสาวที่มาพูดจี้ใจดำของเธอ จนเธอประกาศกร้าวว่าเธอจะไม่สนใจเขาอีกต่อไป
“ถ้าแกทำได้อย่างที่พูดมันก็ดี เพราะฉันไม่อยากให้แกมานั่งเพ้อฝันถึงผู้ชายที่ไม่เคยเจอแบบนี้เลย แล้วนี่แกจะเอายังไงต่อไปล่ะ แกก็ไม่ได้ไปเรียนต่อตามแผนที่วางไว้แล้วนิ” พิชญาพูดบอกไป ก่อจะเอ่ยถามเพื่อนสาวว่าเธอจะเอายังไงต่อไป
“แผนล้มไม่เป็นท่าขนาดนี้แล้ว ฉันก็ต้องหางานทำสิแก ไม่งั้นฉันได้ถูกป้าฉันลากกลับไปอยู่ลำปางด้วยแน่ๆอ่ะ” ปารารินเอ่ยพูดบอกไปอย่างนั้น เพราะป้าของเธออยากให้เธอและเจนนี่กลับไปช่วยงานของที่บ้านมานานแล้ว ยิ่งเธอว่างงานแบบนี้ป้าของเธอก็ยิ่งชอบน่ะสิ
“งั้นแกไปทำงานกับพี่สาวฉันก่อนไหมล่ะ คราวก่อนพี่สาวฉันก็ให้ฉันมาชวนแกไปทำงานด้วย แต่แกบอกจะไปเรียนต่อฉันก็เลยบอกพี่สาวฉันไปแบบนั้น งั้นแกก็ลองไปทำกับพี่สาวของฉันดูละกัน อย่างน้อยแกก็มีงานทำแล้วก็ไม่ต้องโดนป้าแกพากลับลำปางด้วย” ชงโคพูดเสนอออกไป เพราะพี่สาวของเธอเป็นผู้จัดการให้กับบริษัทออกแบบอยู่
“อืม ก็ได้แก งั้นรบกวนแกบอกพี่แกด้วยนะ ฉันเริ่มงานเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ปารารินพูดบอกไป เพราะมันก็ยังดีกว่าอยู่ว่างๆไม่ทำอะไรเลย
จากนั้นเธอก็นั่งพูดคุยกับเพื่อนสาวสักพัก ก่อนจะออกไปหาผู้เป็นป้าที่นัดเธอให้ไปทานมื้อเที่ยงด้วยกัน และเธอก็เลือกบอกความจริงกับป้าของเธอเรื่องทุน และป้าของเธอก็ไมได้ว่าอะไร นอกจากให้กำลังใจและให้เธอตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเองใหม่ ว่าจะทำงานที่นี่หรือกลับบ้านก็ได้ แต่เธอก็เลือกที่จะอยู่ในกรุงเทพต่อ
พอเธอกลับมาถึงห้องของตัวเองก็ไล่ฉีกรูปและเก็บทุกอย่างเกี่ยวภารัณทิ้งจนหมดอย่างไม่ต้องการหลงใหลอะไรในตัวของผู้ชายคนนี้อีก เขามันก็แค่คนจอมปลอมที่สร้างภาพให้ดูดีก็เท่านั้น และต่อจากนี้เขาจะเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของเธอ
สามเดือนผ่านไป
หลังจากที่ปารารินไม่ได้ทุนไปเรียนต่อ เธอก็สมัครเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดิม และเธอก็ได้เข้ามาทำงานในบริษัทออกแบบที่ชเอมพี่สาวของชงโคทำงานอยู่ และเธอก็ทำมันได้อย่างดีเยี่ยม จนกระทั่งเธอได้รับมอบหมายงานให้เข้าร่วมฟังบรรยายของบริษัทอีแลนด์กรู๊ป ซึ่งมันจะทำให้เธอได้เจอตัวจริงของภารัณที่จะมาเป็นผู้บรรยายในงานนี้
“เอาล่ะครับทุกคน ตอนนี้ผมขอเชิญผู้บริหารของอีแลนด์กรุ๊ปขึ้นมาให้คำแนะแนวและให้คำปรึกษากับทุกคนหน่อยนะครับ ขอเชิญคุณภารัณ ธรรมรงสกุลครับ” พิธีกรพูดออกไปเสียงตบมือก็ดังลั่น
จากนั้นภารัณก็เดินขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางสุขมอย่างมั่นใจ ก่อนจะใช้สายตากวาดมองไปยังผู้คนที่เข้ามาร่วมฟังเขาภายในห้องสโปใหญ่แห่งนี้อย่างพอใจ ที่คนมากันอย่างเนืองแน่นอย่างนี้ เขาก็ไปนั่งที่เก้าอี้แล้วจากนั้นแสงไฟก็สาดส่องมาที่เขาและพิธีกรที่จะเป็นคนสอบถามเขา
ปารารินก็มองภารัณเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยใจที่เต้นรัวเพราะนี่เป็นการเจอเขาเป็นครั้งแรก และเธอก็ไม่คิดว่าตัวจริงของเขาจะดูดีมากขนาดนี้เลย แต่ด้วยความที่เธอยังโกรธแค้นเขาที่ทำให้เธอต้องเสียทุนไปเรียนต่อ มันจึงทำให้เธอสลัดความคิดชื่นชมหรือหลงใหลเขาทิ้งไป
“หูย หล่อแบบวัวตายควายล้มเลยอ่ะยัยปราง ” ชเอมพี่สาวของชงโคเอ่ยพูดออกไปอย่างชอบใจกับความหล่อของผู้บริหารหนุ่มคนนี้
“ค่ะ หล่อแต่อาจนิสัยแย่ก็ได้นะคะพี่เอมใครจะไปรู้ สมัยนี้คนที่ชอบสร้างภาพมันมีเยอะ” ปารารินพูดบอกไปก็มองไปที่ภารัญด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“นี่แกยังเจ้าคิดเจ้าแค้นเขาอยู่อีกเหรอปราง” ชเอมถามปารารินออกไป เพราะเธอก็พอจะรู้เรื่องของปารารินจากชงโคมาบ้าง และที่ปารารินไม่ได้ไปเรียนต่อก็เพราะถูกเปลี่ยนทุนให้กับผู้หญิงของภารัณ
“ก็มันน่าแค้นไหมล่ะคะพี่เอม ถ้านี่ไม่ใช่เพราะบริษัทบังคับมาล่ะก็ ปรางไม่มีวันนั่งอยู่ตรงนี้หรอกค่ะ” ปารารินพูดบอกไปตามตรง เพราะเธอไม่ได้อยากจะมางานนี้เลยสักนิด
“เอาน่า อดทนหน่อยละกัน เดี๋ยวก็เสร็จงานแล้วล่ะ” ชเอมพูดบอกไปก็มองหน้าสบตากับปารารินอย่างเข้าใจ
จากนั้นพวกเธอก็นั่งฟังภารัณตอบคำถามของพิธีกรในเรื่องต่างๆจนกระทั่งมาถึงเรื่องที่ทางอีแลนด์กรุ๊ปให้ทุกการศึกษาสำหรับนักศึกษาที่เรียนต่อในด้านวิศวะกรรมในสาขาต่างๆ พร้อมกับเปิดรับนักศึกษาที่จบใหม่ให้เข้าทำงานในบริษัทอีกด้วย ทำให้ปารารินฟังแล้วก็กำหมัดแน่นทันที
“บริษัทของผมจะลงทุนกับนักศึกษาที่ตรงตามมาตรฐานและมีความสามารถตามที่เรากำหนดเอาไว้เท่านั้น” ภารัณพูดบอกไปแล้วทำหน้าเรียบเฉยออกไป
“มาตรฐานที่คุณพูดถึง คือการที่ให้นักศึกษาบางคนยอมมีอะไรด้วยเพื่อแลกทุนงั้นเหรอคะ” ปารารินพูดออกไปเสียงดังอย่างอดไม่ไหว ในขณะที่ทุกคนกำลังเงียบแล้วรอพิธีกรถามหัวข้อต่อไป ทำให้เธอทุกคนมองหาใครเป้นคนถามคำถามนี้
“ยัยปราง” ชเอมพูดออกไปเบาๆอย่าๆงอึ้งๆ เมื่ออยู่ๆปารารินก็เอ่ยพูดออกไปเสียงดังจนทุกคนฮือฮากับคำพูดของเธอ
“หากเป็นอย่างที่คุณพูด กรุณาลุกขึ้นมาแนะนำตัวกับผมและอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน ไม่ใช่มากล่าวหากันแบบไม่มีหลักฐานแบบนี้ ” ภารัณพูดออกไปแบบชัดเจน ก่อนจะมองหาว่าใครเป็นคนพูดเนื่องจากแสงไฟสาดส่องทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นคนที่นั่งในห้องสโลปนี้ได้ เพราะเขามั่นใจว่าบริษัทของเขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเพราะทุนทุกทุนผ่านการคัดสรรมาอย่างดี
“อย่านะปราง ไม่นะ” ชเอมพูดออกไปพร้อมกับจับแขนของปารารินอย่างห้ามๆ เพราะตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นพูดออกไป
“มาถึงขนาดนี้แล้วปรางไม่กลัวหรอกค่ะพี่เอม ในเมื่อเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ ปรางก็จะพูดเอง” ปารารินพูดออกไปก็ลุกขึ้นทันที ก่อนจะที่จะเอ่ยออกไป
“ดิฉันปาราริน เป็นหนึ่งในนักศึกษาที่ได้ทุนของอีแลนด์กรุ๊ปด้วยเกรดเฉลี่ยสามจุดเก้าแปด และดิฉันก็หลุดจากทุนเรียต่อปริญญาโทให้กับคนที่เกรดเพียงแค่สามกว่าๆ บริษัทของคุณมาตรฐานสูงไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงได้เลือกคนที่เกรดต่ำกว่ามาตรฐานไปแทนล่ะคะ หรือเพียงเพราะว่าเธอยอมเอาตัวเข้าแลก คุณจะชี้แจงเรื่องนี้ว่ายังไงเหรอคะ คุณภารัณ” ปารารินพูดออกไปอย่างไม่กลัว
ภารัณก็มองตามเสียงที่พูดนั้นจนเขาได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาพูดอย่างมั่นใจแบบนั้นอย่างชัดเจน และเขาก็มองเธออย่างอึ้งๆกับความสวยของเธอที่ดูจะเปล่งประกายออกมาอย่างน่าหลงใหล ก่อนจะยกไมค์แล้วเอ่ยพูดออกไป
“ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีการเข้าใจผิด เพราะเรื่องผิดศิลธรรมแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับบริษัทของผม และผมจะรีบตรวจสอบเรื่องทุนในครั้งนี้เพื่อความโปร่งใสให้เร็วที่สุด หากตรวจพบว่ามีการกระทำผิดอย่างนั้นจริง ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พรุ่งนี้ผมขอเชิญคุณเข้าไปหาผมที่บริษัทก็แล้วกัน และผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณเอง” ภารัณพูดบอกไปอย่างจริงจัง เพราะการที่เธอมาพูดต่อหน้าผู้คนแบบนี้ย่อมส่งผลเสียไปถึงบริษัทของเขา ซึ่งเขาคงยอมไม่ได้และเขาจะต้องรีบจัดการทุกอย่างให้โปร่งใส
“ขอบคุณค่ะ หวังว่าฉันจะได้คำตอบที่ยุติธรรมนะคะ” ปารารินพูดบอกไปก็มองไปที่ภารัณอย่างจดจ้อง ก่อนจะนั่งลงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งใจที่เธอพูดทุกอย่างออกไปแล้ว
“อ่อ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลางั้นเรามาคำถามต่อไปกันเลยนะครับ” พิธีกรพูดบอกไป เพื่อให้สถานการณ์ตึงเครียดนี้คลี่คลายลง
“ยัยปราง ไปคุยกันข้างนอก พี่อยู่ที่นี่ต่อไม่ไหวแล้ว” ชเอมพูดออกไปก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที เพราะเธอจะทนกับสายตาของคนที่มองมาได้ยังไงกัน ปารารินก้ช่างใจกล้าซะจริงๆ ถามออกไปแบบนั้นได้ยังไงกัน ดีนะที่เป็นเธอมาร่วมงานในวันนี้ไม่ใช่คนอื่น ไม่อย่างนั้นพฤติกรรมในวันนี้ของปารารินอาจทำให้เธอถูกไล่ออกจากงานได้เลย
“ค่ะพี่เอม” ปารารินพูดออกไปแล้วก็ลุกเดินตามชเอมออกไปด้านนอก เพราะตอนนี้เธอเองก็ไม่อยากจะอยู่ตรงนี้แล้วเช่นกัน
“ยัยปราง แกพูดอย่างนั้นออกไปได้ยังไงห้ะ ลืมไปแล้วเหรอว่าเรามาในนามของตัวแทนบริษัทน่ะ แกอยากให้ทุกคนเดือดร้อนเพราะความใจร้อนไร้สติของแกหรือไงห้ะ ถ้าไม่ใช่พี่มาแล้วเป็นคนอื่น แกจะถูกไล่ออกเลยนะรู้ตัวไหม ” พอออกมาจากห้องสโลปแล้วชเอมก็พูดต่อว่าปารารินไปทันที
“ปรางขอโทษค่ะ ปรางทนไม่ไหวนิคะ แต่ต่อไปปรางจะไม่ทำอย่างนั้นอีก” ปารารินยอมขอโทษแต่โดยดีเพราะเธอก็ผิดจริงๆที่ทำอะไรไม่ยั้งคิด
“มันคงไม่มีต่อไปแล้วย่ะ เฮ้อ ฉันล่ะปวดหัวจริงๆตอนนี้ งั้นวันนี้แกไม่ต้องกลับไปทำงานแล้ว กลับไปคิดทบทวนตัวเองซะว่าสิ่งที่ทำไปมันดีต่อตัวแกหรือเปล่า ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางซะ” ชเอมพูดไปก็เดินออกไปทันที เพราเธอไม่อยากจะโมโหไปมากกว่านี้แล้ว และเธอหวังว่าเรื่องในวันนี้จะไม่ถึงหูของบอร์ดบริหารของบริษัท
“เพราะคุณคนเดียวเลย คุณภารัณ” ปารารินพูดออกไปอย่างเจ็บแค้น ก่อนจะแลสายตามองเข้าไปด้านในและเธอก็เดินไปเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ด้านภารัณพอถูกสาวคนนั้นฉีกหน้ากลางงานแล้วก็ขอพูดเพียงเท่านั้นแล้วเขาก็ลงจากเวทีทันที ก่อนจะเดินออกมาแล้วกลับมาที่รถสปอตของเขาที่จอดอยู่ด้านนอก แล้วเขาก็กดโทรไปหาวิชุดาเลขาของเขาทันที
“คุณวิ ผมต้องการเอกสารเรื่องทุนการศึกษาของปีนี้ทั้งหมด และหาชื่อนักศึกษาที่ชื่อปารารินมาให้ผมด้วย แล้ว เย็นๆเอาเข้าไปให้ผมที่บ้าน” ภารัณพูดบอกไป เพราะเขามีนัดกับลุกค้าต่อยังไม่สามารถเข้าไปบริษัทในตอนนี้ได้
“ได้ค่ะคุณภาม เดี๋ยววิจะจัดการให้ด่วนเลยค่ะ” วิชุดาพูดจบภารัณก็กดวางสายไปทันที เพราะเขามั่นใจว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่งั้นผู้หญิงคนนั้นคงไม่พูดออกมาอย่างมั่นใจอย่างนั้น หรือไม่เธอก็อาจะเป็นคนที่บริษัทคู่แข่งจ้างมาเพื่อดิสเคดิตของเขา แล้วนั่งคิดอยู่ในรถอย่างหัวเสียกับเรื่องในวันนี้ เพราะไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างนี้มาก่อน
ส่วนปารารินที่เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอกแล้วเจอรถสปอตสีเหลืองจออยู่แล้วป้ายเขียนว่าที่จอดรถของคุณภารัณ ธรรมรงสกุล ปารารินก็แอบมองซ้ายมองขวา แล้วหันไปเจอช่างทาสีกำลังทาสีกันอยู่แล้วมีกระป๋องสเปรย์วางเรียงรายอยู่ตรงนั้น ปารารินก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ทันที ก่อนแอบเดินเข้าไปหยิบสเปรย์มาหนึ่งกระป๋อง แล้วเธอก็เดินมุ่งตรงไปยังรถของนายภารัณอะไรนั่นทันที
“คนมักมากอย่างคุณก็ต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง หึๆ ไอ้แก่ตัณหากลับ ฉีด” ปารารินพูดไปด้วยรอยยิ้มร้ายๆ แล้วเธอก็ฉีดสีสเปร์ยเป็นทางยาวมาจนถึงกระจกรถด้านหน้างอย่างสะใจ
“อะไรวะเนี่ย” ภารัณที่นั่งอยู่ในรถก็มองที่กระจกด้านข้างอย่างตกใจที่อยู่ๆก็มีผู้หญิงมาเขียนรถของเขาแบบคาหูคาตาแบบนี้ นี่เธอกล้ามากเลยนะนั่น ภารัณคิดไปก็เอามือกดลดกระจกรถของเขาลงในจณะที่เธอกำลังใช้สีสเปร์ยมาพ่นที่กระจกรถของเขาพอดี