หลังจากที่นั่งทำใจอยู่สักพัก นางก็ขยับตัวลุกออกไป
“แม่จะไปไหนครับ”
“ก็ไปจัดการปัญหาที่พี่ชายของแกก่อไว้น่ะสิ”
“แต่ผมว่าปัญหามันมาจากแม่มากกว่านะครับ แม่ก็รู้ว่าพี่กรินไม่ชอบให้ใครบีบบังคับ ยิ่งครั้งนี้เข้าขั้นหลอกมาด้วยแล้ว”
“แกไม่ต้องมาสอนฉัน ถ้าพี่ชายของแกทำเรื่องนี้พัง แกนั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบแต่งงานกับหนูศยามลแทน”
“ไม่เอาด้วยหรอก ผมมีปัญญาหาเมียเอง”
“ถ้าแกไม่อยากต้องแต่งงานแทนพี่ชายหัวแข็งของแก แกก็ต้องช่วยฉัน”
“แต่ผมไม่อยากยุ่ง”
“แกมีทางเลือกด้วยหรือ” คุณอิงดาวบอกทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกไป ถ้าไม่ได้กริชลูกชายคนเล็กให้ความร่วมมือ งานของนางก็ยากขึ้นไปอีก
บ้านกนกนาราย
ศยามลนั่งหน้าบอกบุญไม่รับให้ช่างแต่งหน้า แต่เหตุผลของมารดาก็ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้ ถ้าปล่อยให้บ้านกลวงโบ๋หลังนี้ต้องเข้าธนาคาร เธอคงไม่มีหน้าเดินในสังคม
“ทำหน้าให้มันดีๆ กว่านี้หน่อยได้ไหม” หม่อมหลวงสราลีเหน็บลูกสาว ไม่ใช่เพราะแกใช้เงินมือเติบไม่รู้จักคิดหรอกหรือ สภาพครอบครัวถึงได้เป็นอย่างนี้
“แม่จะให้หนูฝืนยิ้มอย่างไร ในเมื่อผู้ชายที่หนูต้องหมั้นด้วยเป็นไอ้บ้านนอกอยู่ในไร่ในสวน แถมมีลูกติดมาด้วยอีกคน สภาพหนังหน้าของไอ้หมอนั่นคงจะดูไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่ยอมหว่านเงินซื้อเมียให้ลูก”
หม่อมหลวงสราลีจิกตาดุปรามลูกสาวไม่ให้พูดมากไปกว่านั้น เพราะนางยังคงรักษาหน้าผู้ดีเก่า ปล่อยให้คนอื่นรับรู้เรื่องในบ้านไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นช่างแต่งตัวที่อยู่กันมาหลายปีตั้งแต่รุ่นนางก็ตาม
“เสร็จแล้วก็ออกไปก่อน” หม่อมหลวงสราลีบอกช่างแต่งหน้า หลังจากที่ได้อยู่กันสองคน นางก็หันมากำชับลูกสาวอีกครั้ง
“แกอย่าทำให้งานฉันพังเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแกได้อายกว่านี้แน่ ถ้าไม่มีบ้านอยู่”
“แต่แม่...หนูต้องไปอยู่ใต้นะคะ”
“แกก็คิดแค่ว่าแต่งงานแลกกับสินสอดสิบล้าน แต่งแล้วฉันก็ไม่ได้ห้ามให้แกเลิกนี่ คนอย่างแก...ฉันรู้ดีว่าผ่านผู้ชายมาไม่รู้เท่าไร ฉันเชื่อว่านายหัวกรินคงสภาพดีกว่าไอ้กุ๊ยคู่ขาของแกอีกหลายๆ คน”
ศยามลชักสีหน้าอย่างขัดใจ แต่เมื่อนึกถึงเงินก้อนโตเธอก็ปฏิเสธไม่ลง คำตอบที่เธอให้กับตัวเองคือหมั้นไปก่อน แล้วค่อยหาทางออกทีหลัง
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูหยุดหัวข้อสนทนาของคนในห้อง พร้อมกับพลอยขวัญก้าวเข้ามา
“แขกมาแล้วค่ะ”
“ทำไมมาเร็วจัง ยังไม่ถึงเวลานี่ ไม่ได้การแล้ว แกไปรับของว่างที่สั่งไว้มา จัดการให้เรียบร้อยก่อนสิบโมงนะ ฉันจะลงไปรับแขกก่อน”
“ค่ะ” พลอยขวัญรับคำแล้วเลี่ยงออกไป
หม่อมหลวงสราลีหันมาบอกกับลูกสาวอีกครั้ง
“แกรออยู่ข้างบน ถึงเวลาฉันจะให้คนมาตาม ทำหน้าให้มันดีๆ อย่าให้ฉันขายหน้าล่ะ”
ทันทีที่ก้าวลงมาถึงด้านล่าง หม่อมหลวงสราลียกมือทาบอกตกใจกับสิ่งที่เห็น ฝ่ายชายเหมือนไม่ให้เกียรติผู้ดีเก่าแก่อย่างนางสักนิด ทั้งที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะจัดเตรียมอะไรมาบ้าง แต่หากทางฝ่ายชายกลับไม่มีเถ้าแก่ ไม่มีขบวนพิธีใหญ่โตอย่างที่นางโทรนัดนักข่าวเอาไว้ มีเพียงนางอิงดาวมารดาเจ้าบ่าวเท่านั้น
อิงดาวยกมือไหว้ทำความเคารพหม่อมสราลีอย่างขอลุแก่โทษ ส่งยิ้มปูเลี่ยนอย่างยอมรับผิด ยังดีที่ยังไม่ถึงเวลานัดนักข่าว ไม่อย่างนั้นคงได้อับอายกันไปมากกว่านี้
“ดิฉันไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหมคุณอิงดาว” หม่อมหลวงสราลีถามพร้อมกับยืดคอออกไปมองด้านนอก เผื่อจะมีขบวนรออยู่ที่ต้นทางเข้าประตูบ้าน
คุณอิงดาวหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง ส่งยิ้มบางๆ “ฉันมีเรื่องที่จะขอความคิดเห็นจากหม่อม แต่เราต้องไปคุยเป็นการส่วนตัว”
“มีเรื่องอะไรกันแน่”
“เชื่อดิฉันเถอะค่ะ เราคุยกันอยู่ในห้องจะเหมาะสมกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางนี้ค่ะ” เจ้าของบ้านผายมือเชิญและเดินนำไป
“ดิฉันว่าเราแจ้งยกเลิกนักข่าวก่อนดีไหมคะ” อิงดาวเสนอ
“ทำไมคะ” เจ้าของบ้านทำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“เรื่องนั้นเราต้องคุยกันยาว ทำตามนี้ก่อนนะคะ ถือว่าดิฉันขอร้องหม่อม”
“แต่ดิฉันเสียหาย แล้วจะยกเลิกว่าอย่างไร ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงวิธีการตามกำหนดก็จะเริ่มแล้ว”
“ขอร้องนะคะ หากคุณไม่ยกเลิกเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้”
“ก็ได้ค่ะ” เจ้าของบ้านบอกอย่างจำยอม แม้ไม่ค่อยชอบใจแต่นางก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี เดินนำแขกไปส่งยังห้องทำงานแล้วออกมาต่อโทรศัพท์หานักข่าว ถ้าหากว่าพลอยขวัญอยู่นางคงไม่ต้องจัดการเองให้เหนื่อย
ภายในเวลาไม่นานสตรีสองนางก็เดินออกมาจากห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงอย่างเงียบกริบ ไม่มีใครล่วงรู้ข้อตกลงระหว่างหม่อมหลวงสราลีกับคุณอิงดาว แต่สิ่งเดียวที่ทำให้รับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องดี คงจะหนีไม่พ้นใบหน้าของหม่อมหลวงสราลีที่หุบยิ้มไม่ลง
หลังจากที่ส่งแขกเรียบร้อย เจ้าของบ้านก็เดินขึ้นไปบอกข่าวดีลูกสาวที่รออยู่บนห้อง
“ได้เวลาแล้วหรือคะ” ศยามลทอดเสียงเรียบถามมารดา หน้าตาไม่ได้แยแสต่อวันสำคัญของตัวเองสักนิด
“เลิกทำหน้าเหมือนหมาเซ็งปลากระป๋องได้ซะที ว่าที่คู่หมั้นของแกหนีกลับลงใต้ไปแล้ว”
สิ่งที่มารดาบอก แทนที่หญิงสาวจะดีใจ เธอกลับเปลี่ยนใบหน้าเรียบเฉยเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนกล้าปฏิเสธคุณหนูศยามล นางแบบสาวแสนสวยเบอร์ต้นๆของเมืองไทย
“นายบ้านนอกนั่นกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนี้กับหนูอย่างนี้” หญิงสาวบอกพร้อมกระแทกก้นลงนั่งบนเตียงอย่างหงุดหงิด รู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด
หม่อมหลวงสราลีมองลูกสาวอย่างแปลกใจ ผิดคาดกับสิ่งที่นางคิดเอาไว้มาก
“แต่แม่มีข่าวดีที่จะบอกแก แกต้องลงไปทำความรู้จักกับเขาที่สวนปาล์มเมืองตรัง” คนเป็นแม่บอกต่อตามแผนการที่เพิ่งตกลงกับคุณอิงดาวมา
“ไม่มีทางเด็ดขาด นายนั่นเป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน หนูถึงต้องไปทำความรู้จักถึงไร่ที่บ้านนอกนั่น แค่ไม่เอาเรื่องที่กล้าหักหน้าหนูก็ดีเท่าไรแล้ว”
“ถ้าแม่บอกว่ามีค่าใช่จ่ายในการเดินทางสองล้าน พอไหม...” หม่อมหลวงสราลีพูดกับลูกสาวอย่างใจเย็น เพราะรู้ว่าเงินสามารถชี้นกชี้ไม้กับศยามลได้ทุกอย่าง