พยศนั่งรอเมฆาอีกไม่นาน อีกฝ่ายก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับบอกข่าวดีว่า
“หมอบอกว่าเมฆีปลอดภัยแล้ว แต่ไอ้เด็กคนนี้ต้องนอนเล่นในโรงพยาบาลอย่างต่ำๆ ก็สามคืน”
“ผมดีใจที่ได้ยินว่าคุณเมฆีปลอดภัยแล้ว”
ใช่! พยศรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แม้ไม่เคยรู้จักเมฆีมาก่อน แต่ก็ดีใจที่ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้รับอันตรายมากจากการถูกรุมทำร้าย
เมฆาพยักหน้ารับ พลางทรุดตัวลงนั่งใกล้กับพยศ แล้วเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งใคร? ที่เป็นคนกระทืบลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจนได้รับบาดเจ็บหนักปางตาย
“เล่านิทานให้ผมฟังหน่อยสิคุณพยศ ว่าคุณไปเจอเมฆีได้ยังไง และถ้าไม่รังเกียจ ก็ช่วยแนะนำให้ผมได้รู้จักตัวคุณ ครอบครัวของคุณ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะนำกระเช้าไปเยี่ยมภรรยาและลูกๆ ของคุณถึงบ้านครับ”
พยศหัวเราะกับประโยคท้ายของเมฆา แล้วเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย
“ผมยังเป็นโสดครับคุณเมฆา และถ้าหากคุณไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องราวชีวิตของผม...ผมก็ยินดีเล่าให้คุณฟัง รวมถึงเรื่องที่คุณเมฆีเดินทะเล่อทะล่าไปเจอดงตีนของการ์ดด้วยครับ”
“ผมชอบคุณจริงๆ นะคุณพยศ คุณพูดได้ตรงดีมาก”
เมฆาเอ่ยชมจากใจจริง ไม่ได้นึกโกรธอีกฝ่ายที่เอ่ยต่อว่าลูกชายของเขากลายๆ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ พยศ แล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายได้เล่านิทานสนุกๆ สักที
“เริ่มเลยคุณพยศ ผมอยากฟังนิทานระหว่างรอให้เมฆีฟื้นได้สติ”
“อืม...ได้ครับ”
พยศพยักหน้ารับ เริ่มเล่าประวัติของตัวเองพอสังเขป โดยไม่ลืมสังเกตปฏิกิริยาของเมฆาด้วยว่าจะเผยความรังเกียจให้เห็นหรือไม่ ในยามที่รู้ว่าคนที่เขากำลังนั่งคุยด้วยเพิ่งออกมาจากคุกได้ไม่ถึงสองวัน
“เหมือนที่ผมแนะนำตัวให้คุณรู้จัก ผมชื่อพยศ ผมเพิ่งออกมาจากคุกแบบสดๆ ร้อนๆ เลยครับ”
เมฆาไม่ได้เผยความรังเกียจให้เห็น นอกจากเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยกกาแฟที่รับมาจากลูกน้องมาดื่ม แล้วบอกพยศให้เล่าต่อ
“อืม...เล่าต่อสิคุณพยศ ประวัติของคุณน่าสนใจพอๆ กับเรื่องของการ์ดที่บังอาจมากระทืบลูกชายของผม”
เมื่อเมฆาไม่เผยความรังเกียจให้เห็น พยศก็ไม่มีลังเลที่จะเล่าประวัติและเส้นทางชีวิตของเขาให้เมฆาและลูกน้องอีกสองได้ฟัง
เกือบสองชั่วโมงที่พยศและเมฆาได้พูดคุยกันพร้อมกับกาแฟที่หมดไปคนละสองแก้ว ในที่สุด...เจ้าหน้าที่เปลก็ได้เข็นร่างของเมฆีที่ได้รับการรักษาดูแลจนปลอดภัยแล้วออกมาจากห้องฉุกเฉิน เพื่อพาเมฆีไปนอนรักษาตัวต่อในห้องพักพิเศษที่เมฆาได้ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว
พอเห็นเจ้าหน้าที่เปลเข็นเมฆีออกมาแล้ว พยศก็ลุกขึ้นยืนมองด้วยความโล่งอก หมดหน้าที่พลเมืองดีของเขาแล้ว เห็นทีว่าต้องกลับไปนอนพักผ่อนเพราะตอนนี้เวลาก็ล่วงมาเกือบเช้าพอดิบพอดี
“คุณเมฆีปลอดภัยแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“อย่าเพิ่งกลับสิคุณพยศ”
คำทักท้วงของเมฆาทำให้พยศต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ และก็ต้องแปลกใจเป็นรอบที่สองเมื่อเมฆาบอกว่า
“ผมคิดว่าเมฆีคงอยากขอบคุณคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ และผมเดาว่าคุณคงกลับไปทำงานเป็นการ์ดในผับนั้นไม่ได้แล้ว”
“อืม...ใช่ครับ เจ้าของผับคงไม่ให้ผมกลับไปทำงานแล้ว หลังจากผมเล่นงานการ์ดของเขาหมอบถึงสามคน”
“เปล่า! ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น” เมฆาส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยมเย็นยะเยือก “คุณกลับไปทำงานในผับนั้นไม่ได้ เพราะว่าผมจะปิดผับตามแบบฉบับที่ผมถนัด โทษฐานที่มันบังอาจทำร้ายลูกชายของผม”
คำพูดของเมฆา ทำให้พยศนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมฆีพูดว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น และก็อดเอ่ยถามเมฆาไม่ได้ว่า
“ผมได้ยินคุณเมฆีพูดว่าเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น จริงหรือครับ”
“ใช่! ผมเป็นเจ้าของที่ดินที่เขาเช่าเปิดผับ และผมจะสั่งปิดผับในทันที แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีละม่อมตามที่คุณคิด”
เมฆาเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาไหววาบกับการแก้แค้นที่กำลังจะเริ่มขึ้นเพื่อลูกชาย
“อืม...ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะปิดผับด้วยวิธีสุภาพ”
พยศเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ จากที่พูดคุยกับเมฆาหลายชั่วโมง ทำให้เขารับรู้ได้ในตัวว่าเมฆาเป็นเจ้าพ่อตัวจริง พร้อมลุย พร้อมปะทะโดยไม่สนใจว่าจะเจอตอใหญ่แค่ไหน
“ใช่! ผมมีวิธีปิดผับตามแบบฉบับของผม และถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ผมอยากให้คุณมาทำงานกับผม เป็นบอดี้การ์ดให้กับเมฆี เผื่อว่าไอ้หนุ่มคนนี้จะเดินทะเล่อทะล่าไปหาตีนชาวบ้านอีก”
ในตอนท้ายเมฆาเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะยกคำพูดของพยศมาต่อว่าลูกชายของตัวเองที่ยังอยู่ในวัยคะนองและซ่าไม่หยุด
“ถ้าคุณเมฆาไม่รังเกียจขี้คุกแบบผม...ผมก็พร้อมทำงาน ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้คุณเมฆีครับ”
“เรื่องรังเกียจไม่มีหรอกคุณพยศ เพราะลูกน้องของผมที่คุณเห็นๆ ไม่มีใครมีประวัติที่สวยหรูเหมือนนักเรียนดีเด่นหรอกครับ แต่ละคนผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนด้วยกันทั้งสิ้น ขอแค่เพียงกลับตัวกลับใจและจงรักภักดีกับผมและคนในครอบครัวของผมเท่านั้น ผมก็จะตอบแทนพวกคุณอย่างเต็มที่ที่มาทำงานกับผม แต่ถ้าหากทรยศเมื่อไร พวกคุณก็จะไม่มีโอกาสได้เดินเล่นในโลกใบนี้อีกต่อไป”
น้ำเสียงที่เอ่ยในตอนท้ายทำให้พยศรู้ว่าเมฆาเป็นคนจริงและโหดมากเพียงใด เจ้าพ่อคนนี้ไม่ได้แค่เพียงขู่ แต่พร้อมทำให้ลูกน้องที่ทรยศครอบครัวของเขาหายสาบสูบแบบไร้ร่องรอยได้ในทุกนาที
และคนจริงอย่างพยศก็ไม่เคยคิดทรยศ หากยอมพลีกายอยู่รับใช้ใครแล้วเขาก็พร้อมภักดีกับเจ้านายตลอดไปจนกว่าตัวตาย...
“คุณเมฆาไม่ต้องเป็นห่วงครับ หากคุณเมฆียอมรับให้ผมเป็นบอดี้การ์ดของเขา คนที่จะรองรับตีนหนักๆ และคนที่จะเป็นดั่งเกราะกำบังเป็นโล่ให้กับคุณเมฆีก็คือผมครับ”
“ขอบคุณมากคุณพยศ เชื่อผมเถอะว่า เมฆีพร้อมต้อนรับคุณให้เป็นบอดี้การ์ดของเขาแน่”
ระหว่างเจรจารับบอดี้การ์ดคนใหม่ให้กับลูกชาย เมฆา พยศ รวมทั้งลูกน้องอีกสองคนก็เดินตามเจ้าหน้าที่เปลที่ได้ย้ายเมฆีเข้ามาในห้องพิเศษสำหรับพักฟื้นคนไข้