“คงต้องเป็นแบบนั้นครับคุณพ่อ แต่ผมขอนอนตบยุงในห้องนี้อีก 3 คืนก็พอครับ หลัง
จากนั้นผมจะออกไปเล่นงานคนที่ฝากรอยตีนไว้บนตัวผม รวมทั้งพวกเพื่อนกินทั้ง 4 คนด้วย ที่หายหัวในทันทีที่ผทมีเรื่อง ไม่มีใครคิดช่วยผมแม้แต่คนเดียว”
“อืม...การรุมกินโต๊ะในครั้งนี้ทำให้นายแกร่งขึ้นและเห็นธาตุแท้ของบรรดาเพื่อนกินที่คอยตามประกบประจบประแจนายเพราะผลประโยชน์ทั้งสิ้น ถ้ารู้ว่าถูกกระทืบแล้วทำให้ตาสว่างขึ้นเยอะ พ่อคงจ้างไอ้พวกขี้ยามารุมกระทืบแกตั้งนานแล้ว”
แม้เป็นห่วงที่ลูกชายเพียงคนเดียวถูกทำร้าย แต่เมฆาก็อดดีใจไม่ได้ที่เมฆีได้เห็นกับตาว่าเพื่อนๆ ที่คบนั้นไม่มีใครเป็นเพื่อนตายแม้แต่คนเดียว
และบทเรียนในครั้งนี้ทำให้เมฆีรับรู้ได้ว่าใครคือเพื่อนแท้ ใครคือมิตรแท้ แม้จะเจ็บตัวอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้มิตรแท้และลูกน้องที่ซื่อสัตย์มาหนึ่งคนนั่นก็คือพยศ คนที่เคยเป็นอดีตขี้คุกจากเดนตายนั่นเอง
+++++++++++++++++++
“เจ้านายครับ รถพร้อมแล้วครับ”
พยศเอ่ยเรียกเมฆีผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งกำลังเอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่อยู่ในห้องทำงานหรูหราโอ่อ่าบนอาคารสูงทันสมัยในย่านทำเลทองของเมืองพัทยา ดินแดนที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียง มีนักท่องราตรีจากทั่วทุกมุมโลก ต่างก็ออกมาหาความสำราญ ดื่ม กิน ระเริงสุขในเมืองที่ไม่เคยหลับใหลทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน
เมฆีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดันกายนั่งตัวตรง เงยหน้ามองคนที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ และตอนนี้ได้กลายมาเป็นบอดี้การ์ดเป็นลูกน้องคู่ใจของเขาแล้วเอ่ยสั่งอีกฝ่าย
“เดี๋ยวค่อยกลับบ้านก็ได้ นั่งลงก่อนสิคุณพยศ”
แทนที่จะทำตามคำสั่งของเมฆี พยศกลับเอ่ยถามกลับคืนด้วยความเป็นห่วง “บรั่นดีหรือกาแฟสักแก้วไหมครับเจ้านาย”
“ไม่ต้อง ผมไม่อยากดื่มสักเท่าไร”
เมฆีโบกมือปฏิเสธ แต่ก็ใช่ว่าพยศจะยอมแพ้ ยังคงคะยั้นคะยอเอ่ยถามเจ้านายหนุ่มต่อ
“แน่ใจนะครับว่าเจ้านายไม่ต้องการเครื่องดื่ม วันนี้เจ้านายดูเหนื่อยมากเลยครับ”
พยศเอ่ยวิจารณ์ตามที่เขาเห็น ตอนนี้ใบหน้าคมเข้มของเมฆีเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอ่อนล้า แต่กระนั้นก็ยังคงความน่าเกรงขามไว้ไม่มีเปลี่ยน
ขณะยืนอยู่ตรงหน้าเมฆี พยศก็อดนึกชื่นชมและภูมิใจในตัวของเมฆีไม่ได้
‘เมฆี’ วัยรุ่นวัยคะนองที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้เมื่อหกปีก่อน ในตอนนี้ได้กลายเป็นเจ้าพ่อของวงการธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย เมฆีฉลาดเป็นกรด และก็มีความโหดเหี้ยมกับศัตรูพอๆ กับความชาญฉลาดของเขา แน่นอนว่าเมฆีได้เรียนรู้โลกในด้านมืดมาจากเขา ซึ่งเป็นอดีตขี้คุก ที่ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้จากคุกให้กับเมฆีทุกอย่าง
“อืม...ใช่เหนื่อยมาก เหมือนแบตฯ ในร่างกายจะหมดยังไงยังงั้น”
เมฆียอมรับตรงๆ เขาไม่เคยมีความลับกับพยศผู้เป็นบอดี้การ์ดคู่ใจ จากนั้นก็พยักพเยิดไปยังกล่องไม้สวยหรูที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน แล้วเอ่ยถามคนที่บอดี้การ์ดว่า
“คุณอยู่กับผมกี่ปีแล้ว คุณพยศ”
“หกปีแล้วครับ”
พยศเอ่ยตอบพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เหลือบสายตามองกล่องไม้สวยหรูอยู่ตรงหน้า ก่อนจะสัพยอกเจ้านายหนุ่ม
“กล่องแหวนเพชรหรือครับ ผมเพิ่งรู้นะครับว่าเจ้านายแอบซื้อแหวนเพชรไว้มอบให้กับสาวๆ”
เมฆีหัวเราะร่วนกับคำสัพยอกของพยศ รู้ว่าเอ่ยฝ่ายแกล้งแซวทั้งๆ ที่รู้ว่าเขายังไม่มีคนรัก แม้อายุจะล่วงเข้าวัย 35 ปีกว่าแล้ว
“ไม่มีสาวๆ ให้ผมมอบแหวนให้หรอกน่า...คุณพยศรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวผมไม่ต่างจากเป็นพ่อของผมอีกคน”
พยศหัวเราะกับคำพูดของเมฆี เพราะเห็นได้ว่าเป็นจริงดั่งที่เจ้านายคนนี้พูด ทุกอย่างที่
เกี่ยวกับเมฆาและเมฆี เขาล่วงรู้ในทุกเรื่อง เพราะการทำงานเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์เสมอจึงได้รับความไว้วางใจจากสองพ่อลูกเป็นอย่างมาก
“เสียดายที่คุณเมฆามีโอกาสอยู่ดูความสำเร็จของเจ้านายแค่ไม่กี่ปี ก็ด่วนจากไป...”
พยศเอ่ยเสียงเศร้า ทั้งเขาและเมฆีต่างก็ช็อกไม่แพ้กันในตอนที่ได้รับข่าวร้ายว่าเมฆาเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เมฆีเผยแววแห่งความเสียใจเมื่อลูกน้องคู่ใจได้พูดถึงบิดาที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ
“ใช่...คุณพ่อจากไปในขณะที่เรากำลังโลดแล่นอยู่บนเส้นทางธุรกิจในจุดที่สูงสุด คุณพ่อกำลังภูมิใจกับความสำเร็จของไอ้แสบคนนี้ แต่ความตายก็พรากท่านไปจากเราแบบกะทันหันจนเราตั้งตัวไม่ติด”
“เหมือนคุณไหมขวัญไงครับ เธอจากไปในขณะที่กำลังมีความสุขกับผม เพราะไอ้ชั่วคนนั้น มันพรากเธอไปจากผมตลอดกาล”
“และนายก็ไม่ลังเลที่จะจบชีวิตของมันด้วยมือของนายเอง”
เมฆีเอ่ยต่อท้าย ใช่ว่าจะมีแค่พยศที่รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขา...เขาเองก็รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพยศเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอดีตอันแสนโหดร้ายที่พยศได้เผชิญมาเกือบทั้งชีวิตก่อนจะเผอิญได้เข้ามาช่วยชีวิตของเขาในค่ำคืนวันนั้น
“ครับ ไอ้ชั่วคนนั้นมันสมควรตาย ผมไม่เสียใจที่ฆ่ามัน ไม่เสียใจที่ต้องติดคุกถึง 10 ปี เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป เพราะถ้าหากผมไม่ได้ติดคุก ไม่ได้ฆ่ามันให้ตาย ผมจะไม่มีความสุขแม้แต่นาทีเดียวที่เห็นมันยังลอยนวลอยู่”
พยศเอ่ยเสียงเหี้ยม ดวงตาลุกวาวด้วยไฟโกรธ ต่อให้ผ่านไป10 20 ปี เขาก็ไม่มีวันลืมเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาและไหมขวัญ หญิงสาวผู้มีพระคุณและเป็นภรรยาของเขา
“เป็นความโชคดีของมันที่เจอคุณพยศแค่เพียงคนเดียว เพราะถ้าหากมันมีโอกาสเจอกับผม สาบานได้ว่ามันจะหมดลมหายใจอย่างช้าๆ พร้อมกับความเจ็บปวดที่ถามหามันในทุกวินาทีจนกว่ามันจะตาย”
“เป็นความโชคดีของมันจริงๆ ที่ถูกผมฆ่าตายซะก่อน”
พยศกระตุกยิ้มตรงมุมปาก มั่นใจว่าหากไอ้คนชั่วมีโอกาสได้เจอเขาพร้อมกับเจ้านายที่นั่งอยู่ตรงหน้า มันคงได้เจ็บปวดทุกวินาทีจนกว่าจะหมดลมหายใจดั่งที่เมฆีพูด
“ว่าแต่เจ้านายยังไม่บอกผมเลยนะครับว่าจะเอาแหวนเพชรไปให้ผู้หญิงคนไหน”
พยศวกกลับมายังเรื่องแหวนเพชรตามที่ตนคิดว่าเป็นเช่นนั้นและยังไม่ได้รับคำตอบจากเจ้านายสักที
เมฆีไม่ตอบคำถามของบอดี้การ์ดคู่ใจ นอกจากพยักพเยิดให้อีกฝ่ายเปิดกล่องไม้หรูหราที่อยู่ตรงหน้า
“อยากรู้ว่าผมจะเอาแหวนไปให้ผู้หญิงคนไหน คุณพยศก็ลองเปิดกล่องดูสิครับ”