บทนำ คลุมถุงชน (2)

1896 คำ
หากรู้ถึงนิสัยใจคอของเขาแล้วแม่หญิงหลายคนก็คงไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่นักเพราะความเจ้าชู้มักมาก อีกทั้งยังโหดร้ายทารุณเฆี่ยนตีบ่าวไพร่จนปางตายเสียหลายคน ข่าวลือดังสะพัดไปทั่วจนมาถึงกรุงศรีแต่ทว่าทำไมบิดาถึงอยากให้ตนออกเรือนกับผู้ชายที่แสนโหดร้ายแบบนี้ บ่อยครั้งที่คุณหญิงผกาอ้างนักอ้างหนาว่าหวังดีกลับตนแต่จอมจันทร์กลับไม่คิดแบบนั้น คุณหญิงคงอยากจะใช้วิธีนี้ขับไล่เธอออกไปจากเรือนทางอ้อมเสียมากกว่า “ตบแต่งไปเถิด อีกหน่อยเจ้าจักได้สบาย เป็นถึงเมียกลางเมืองของท่านขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาเลยหนา” คุณหญิงผกาคะยั้นคะยอ “ถ้ามันสบายนักเหตุใดคุณป้าไม่แต่งเองเจ้าคะ” จอมจันทร์สวนกลับทันควันจนคุณหญิงผกาต้องยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจเป็นที่รู้มากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงไม่ถูกกันเสียแทบทุกบ้าน “หึ” ขุนศรีพันศรหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเมื่อเห็นถึงความดื้อรั้นและปากคอเราะร้ายของแม่หญิงจอมจันทร์ หากได้ตบแต่งเป็นเมียกลางเมืองขึ้นมาจริงๆเขาคงต้องกำราบนางเสียยกใหญ่จะได้ไม่มีปากเถียงฉอดๆแบบนี้ได้ “แม่จอมจันทร์! เหตุใดถึงได้พูดจาสามหาวเช่นนั้น” พระยารามดำรงภักดีปรามบุตรสาวเสียงแข็งด้วยความกลัวว่าขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาจะไม่ชอบใจเสียเท่าไหร่นัก “ก็มันจริงนี่เจ้าคะ ข้าไม่อยากแต่งกับชายที่ข้าไม่ได้รัก ไม่แม้กระทั่งได้เจอหน้ากันมาก่อน แบบนี้ข้าจักแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าท่านขุนศรีจะเลี้ยงดูข้าเป็นเมียกลางเมืองแค่คนเดียว” จอมจันทร์ยืนยันเสียงแข็ง สายตาคู่คมจ้องมองใบหน้าของบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความไม่ชอบใจ “หรือจะให้ข้าทำความรู้จักแม่หญิงให้มากกว่านี้เสียก่อน แม่หญิงถึงจะตกลงปลงใจออกเรือนไปกับข้า” ร่างสูงค่อยวางถ้วยชาในมือลงอย่างใจเย็นกระตุกยิ้มเพียงเล็กน้อยตรงมุมปาก นึกขอบใจตัวเองที่อยากจะมาดูหน้าหญิงสาวให้เห็นกับตา หลังจากที่ฟังพระยารามดำรงตัดพ้อให้ฟังอยู่แทบทุกวันว่าบุตรสาวคงต้องเป็นสาวเทื้อขายไม่ออก เพราะถึงแม้หญิงสาวจะมีวงหน้างดงามเรือนร่างขาวผ่องดูน่าทะนุถนอม หากจะมีก็แต่กริยาท่าทางที่ดูราวกับม้าดีดกะโหลกเท่านั้นที่ยังคงดูขัดตา “ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ต่อให้เรารู้จักกันนานแค่ไหน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ออกเรือนกับท่านขุนศรีเด็ดขาด” “แม่จอมจันทร์ ชักกำเริบใหญ่แล้วหนา! เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมืองไม่ใคร่จะสู้ดีนัก หากเจ้าได้ออกเรือนไปกับท่านขุน จักมีคนปกป้องดูแลเจ้าได้ ข้าศึกจะบุกเข้ามาถึงยามไหนก็หารู้ไม่” บิดาปรามอีกครั้งอย่างมีน้ำโห เมื่อนึกถึงสภาพเหตุการณ์บ้านเมืองที่ในยามนี้ถูกข้าศึกล้อมหน้าล้อมหลังต่อไปในภายภาคหน้าจะเกิดอันใดขึ้นก็มิอาจทราบได้ “ข้ายอมฟังคุณพ่อทุกอย่าง แต่เรื่องนี้ข้าขอเถิดหนาเจ้าคะ ขอให้ข้าได้เลือกคู่ชีวิตด้วยตัวของข้าเองเถิดหนา” จอมจันทร์ยืนกรานเสียงเข้ม “เป็นแม่หญิงที่มีกิริยาดังม้าดีดกะโหลกเช่นนี้ หากจะให้หาเองก็คงไม่มีชายใดมาหมายปองหรอกเจ้าค่ะคุณพี่” คุณหญิงผกาเสนอ “ถึงจะไม่มีชายใดหมายปอง แต่ข้าก็อยู่ดีมีสุขหาได้ทุกข์ใจอันใดไม่ ยามหน้าศึกเช่นนี้ข้าคงคิดเรื่องออกเรือนมิลงดอก” จอมจันทร์ยังคงยืนยันเสียงแข็งอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ก่อนจะกระทืบเท้าเดินเข้าหอนอนของตัวเองไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ที่วิ่งตามกันแทบไม่ทัน ทิ้งให้ผู้เป็นบิดาและคุณผกาต้องอยู่รับหน้าแขกกันแต่เพียงลำพัง “ข้าต้องขอโทษท่านด้วยหนา นางขาดมารดาไปตั้งแต่ยังเด็กจึงไม่มีใครได้อบรมนิสัยนางเท่าไหร่นัก หวังว่าท่านคงไม่ถือโทษ...” “มิเป็นไรเลยขอรับ ข้ามิได้ถือโทษโกรธเคืองนางแต่อย่างใด” ไม่ทันทีพระยารามดำรงภักดีจะกล่าวจบ ขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาจึงรีบแย้งขึ้นเสียก่อนเพราะเกรงว่าผู้สูงวัยจะเปลี่ยนคำไม่ยกบุตรสาวให้เขา “เดี๋ยวข้าจะลองพูดกับนางดูอีกครั้งนะเจ้าคะ” คุณหญิงผกายังไม่ลดความพยายามที่จะจับลูกเลี้ยงยกให้ท่านขุนศรีรูปงามตรงหน้า “เป็นพระคุณมากขอรับ ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าข้าใคร่อยากจะออกเรือนกับนาง แลจักยกนางเป็นเมียเอกของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นขอรับ” “ท่านขุนอย่าได้ห่วงไปเลย ถึงแม้นางจะดื้อรั้นแต่นางก็มิอาจขัดใจข้าได้หรอกหนา ข้าเองก็พลอยดีใจที่จักได้คนดีๆเช่นท่านขุนมาเป็นครอบครัวเดียวกัน” พระยารามดำรงภักดียกยิ้มอย่างปลื้มปีติ แต่ทว่าสายตากลับจ้องมองไปที่หอนอนของบุตรสาวอย่างคาดโทษที่บังอาจทำให้ตนขายหน้าต่อหน้าขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาเช่นนี้ “เช่นนั้นข้าจักต้องขอลาก่อนหนาขอรับ หวังว่าข้าจักได้รับข่าวดีจากท่านเร็ววัน” ขุนศรีพันศรฤทธิ์เดชาขอตัวลากลับเรือนไปแล้ว ท่านพระยารามดำรงภักดีจึงรีบย่ำเท้าไปหาบุตรสาวในหอนอนทันที ก่อนจะพบเพียงแต่นางผันนั่งเคาะประตูเรียกคุณหนูของนางอยู่หน้าห้องเท่านั้น เมื่อเห็นประมุขของบ้านยืนสีหน้าทะมึนอยู่เบื้องหลังพร้อมด้วยคุณหญิงผกา นางผันจึงได้แต่นั่งก้มหน้าตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเหตุเพราะเกรงว่าคุณหนูของนางจะถูกคาดโทษ “แม่จอมจันทร์อยู่ในห้องรึ!” “เจ้าค่ะคุณท่าน คุณหนูไม่ยอมเปิดประตูให้บ่าวเลยเจ้าค่ะ” นางผันก้มหน้าตอบตัวยังสั่นไม่หาย ขุนพระยารามดำรงภักดีจึงเป็นฝ่ายหันไปเรียกบุตรสาวแทนโดยมีคุณหญิงผกายืนดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆไม่ห่าง “แม่จอมจันทร์ ออกมาพูดกันให้รู้เรื่องบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงทรงอำนาจเอ่ยลั่นวาจาแต่ประตูห้องก็ยังถูกปิดไว้สนิทดังเดิม เป็นเหตุให้ประมุขของบ้านยิ่งเดือดดาลเมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยชาของบุตรสาวที่ไม่ยอมโผล่หน้าออกจากห้องแต่อย่างใด “หึ...ดี ถ้ามิอยากออกก็มิต้องออกมา...ข้าจักขังเจ้าไว้ให้อยู่แต่ในหอนอน คอยให้บ่าวหาข้าวหาปลามาให้ก็พอ จนกว่าเจ้าจักยอมแต่งงานกับท่านขุน!” “โธ่! คุณหนูของบ่าว” นางผันยิ่งร่ำไห้เมื่อได้ยินคำตัดสินโทษของพระยารามดำรงภักดี “มันไม่แรงไปหรอกหรือเจ้าคะ คุณพี่” คุณหญิงผกาแสร้งปลอบประโลมผู้เป็นสามี แม้ในใจลึกๆจะแอบสะใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ต้องปั้นหน้าราวกับว่าเป็นห่วงลูกเลี้ยงเสียเต็มประดา “รอให้นางสำนึกเสียบ้าง แล้วข้าจักมาพูดกับนางอีกครั้ง...นางผัน! เฝ้าคุณหนูของเอ็งไว้ให้ดี หากนางแอบหนีออกจากเรือนไปฟ้อนรำที่บ้านริมแพอีก หวายจักต้องลงหลังเอ็งเป็นแน่” ในขณะที่เสียงดังหน้าห้องค่อยๆเงียบหายไป ร่างบางกำลังสั่นเทิ้มด้วยว่าร้องไห้จนตัวโยน ใบหน้าขาวผ่องและดวงตากลมโตแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวได้ยินคำพูดของบิดาเมื่อครู่นี้ก็ย่อมรู้ดีแล้วว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตนจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจตัวเองอีกแล้ว นับตั้งแต่คุณหญิงผกาสามารถไต่เต้าจากเมียบ่าวขึ้นมาเป็นเมียเอกของบ้านแทนมารดาที่จากไป พร้อมกับเปลี่ยนนามใหม่จากอีจันเป็นคุณหญิงผกา ดูเหมือนอะไรอะไรบนเรือนก็ยิ่งเลวร้ายขึ้น บิดาเองก็พลอยอือออห่อหมกไปกับเมียเอกคนใหม่แทบทุกเรื่อง ไม่ว่าคุณหญิงผกาจะเสนอหรือต้องการอะไร บิดาก็ไม่เคยขัดเลยสักครา เสียงสะอื้นร่ำไห้ยังคงดังต่อเนื่อง เจ้าของดวงหน้างามพิสุทธิ์เงยหน้าแหงนมองดวงจันทร์ผ่านหน้าต่างห้อง กลิ่นดอกรักที่ใช้ร้อยตาข่ายหน้าช้างที่แขวนประดับไว้กับหน้าต่างทำให้หญิงสาวอดคิดถึงเมื่อครั้งที่มารดาเคยสอนให้ตนร้อยอยู่เป็นประจำเสียมิได้ “คุณแม่เจ้าขา ข้าคิดถึงคุณแม่เหลือเกินเจ้าค่ะ คุณแม่มารับข้าไปอยู่ด้วยฤาไม่เจ้าคะ” เสียงใสพรรณนาไปตามสายลมที่พัดเฉื่อยในยามค่ำด้วยสายตาเลื่อนลอยเพื่อหวังว่ามารดาผู้ล่วงลับจะรับรู้ กระทั่งบานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับบ่าวไพร่สามสี่คนช่วยกันขนสำรับขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยๆข้างกาย “คุณหนูของบ่าว รับทานข้าวเสียหน่อยหนาเจ้าคะ” นางผันจับชายสไบคุณหนูของนางแผ่วเบาเพื่อให้จอมจันทร์ใจอ่อนยอมหันมากินข้าวกินปลา “ข้ายังไม่หิว พี่ผันเอาไปเก็บเถิด” ร่างบางเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาด้วยว่ากำลังตรอมใจที่บิดากระทำเช่นนี้กับต้นจึงไม่อยากแม้แต่จะกินอะไรได้ลง ดวงหน้างามยังคงนอนทับแขนเรียวของตัวเองเงยหน้ามองดวงจันทร์อยู่ดังเดิม นางผันจึงขยับเข้าไปใกล้คุณหนูของนางเล็กน้อยเพื่อว่าจะกระซิบบอกบางอย่างที่น่าจะทำให้จอมจันทร์ยอมกินข้าวได้ “วันพรุ่งคุณหญิงจักกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองนคร ส่วนคุณท่านไปราชกาล กว่าจะกลับเรือนก็คงจะค่ำๆ คุณหนูรับทานข้าวเสียก่อนหนาเจ้าคะ วันพรุ่งบ่าวจักได้มีแรงไปฟ้อนรำที่บ้านริมแพ” เสียงกระซิบแผ่วเบาของนางผันได้ผลชะงักเมื่อจอมจันทร์รีบปาดน้ำตาออกลวกๆแล้วหันมายิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เมื่อครู่ เจ้าว่ากระไรนะ” “เบาๆสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวพวกบ่าวหน้าห้องจักได้ยิน” นางผันรีบปราม เพราะว่าเติบโตมาด้วยกันอีกทั้งวัยก็ไล่ห่างกันไม่มากนัก ตนจึงรู้นิสัยใจคอของคุณหนูของตัวเองดี จึงไม่ยากนักที่จะโน้มน้าวให้นางยอมทานข้าวปลา “พี่จักพาข้าไปอย่างนั้นฤา ข้ามิได้ฟังผิดไปแน่” น้ำเสียงตื่นเต้นแต่ยังสั่นเครือกระซิบตอบกลับมาเช่นกัน “เจ้าค่ะ บ่าวพอมีวิธีพาคุณหนูไปโดยมิให้ผู้ใดรู้แน่เจ้าค่ะ” รอยยิ้มเจือจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบ่าวรับใช้ผู้ภักดีเพราะเห็นแววตาเศร้าหมองของคุณหนูแปรเปลี่ยนเป็นประกายแห่งความหวัง ถึงแม้โทษทัณฑ์ที่ตนจะได้รับหากความล่วงรู้ไปถึงประมุขของบ้านจักหนักหนาเพียงได นางก็พร้อมยอมรับมันแต่โดยดีหากมันจะทำให้คุณหนูของนางมีความสุข
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม