“เอาเถิด” นางถอนหายใจ ก่อนจะเอาศอกกระทุ้งแขนจอมยุทธ์หนุ่มเบาๆ “หากเจ้ายอมเรียกว่าข้า ‘พี่สาวมู่’ ข้าอาจใจกว้าง ยอมช่วยเหลือเจ้าสักคราหนึ่ง”
เดิมทีใบหน้าของหลวนเจี้ยนเสียนซีดเซียว ทว่าพอได้ยินน้ำเสียงยียวนของสตรีตัวเล็กกว่าเขาสองช่วงศีรษะก็ส่งผลให้ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมา
“ดี! วิเศษนัก!” ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะยามนี้กำลังป่วยอยู่จึงต้องพึ่งพาเด็กสาวที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
“หือ” นางเอียงคอใส่ “ข้ายังไม่ได้ยินเลย”
หลวนเจี้ยนเสียนแยกเขี้ยวใส่ “ฝันไปเถิด!”
“อ้อ” มู่เฟยเหลียนพยักหน้าทีหนึ่ง นัยน์ตาหม่นหมองราวกับคนกำลังเศร้าโศกเสียใจ “น่าเสียดายนัก คนเรามิอาจคาดเดาอนาคต แต่การได้รู้จักเจ้าก็ทำให้การเดินทางข้ามมายังดินแดนโพ้นทะเลไม่น่าเบื่อ หากชาติหน้ามีจริง...”
“นายท่าน!”
เด็กสาวยกมือกอดอกส่ายหน้า “ข้าว่าฟังแล้วมันดุดันเกินไปหน่อย ข้ายังเป็นสาวน้อยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา...”
“นายหญิง!” หลวนเจี้ยนเสียนรีบแก้ไขเสียใหม่ ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันยอมเรียกเด็กผู้นี้ว่า ‘พี่สาว’
ในที่สุดนางก็ฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ตกลงตามนั้น”
มู่เฟยเหลียนกล่าวจบก็เดินไปช่วยชายหนุ่มเก็บของยัดใส่ห่อผ้าอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้เจ้าของห้องมองตามแผ่นหลังบางพลางกัดฟันกรอด
เด็กสาวอายุเพียงแค่นี้ก็เข้าขั้นรับมือยากแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าคงมิแคล้วเติบโตเป็นหญิงสาวที่ร้ายกาจเป็นแน่
“ข้าขอยืมชุดเจ้าหน่อย”
“ไยต้องยืมชุดข้าด้วย”
“ท่านแม่เคยบอกข้าว่า บางครั้งสตรีที่ถูกจับไปเป็นเชลยศึกจะถูกนำไปกระทำเรื่องต่ำทราม”
“นั่นมันก็จริง แต่...” หลวนเจี้ยนเสียนมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า นอกจากใบหน้าอ่อนหวานน่ารักแล้ว ทรวดทรงสรีระของนางมิอาจพูดได้ว่าเข้าข่าย “เจ้าวางใจเถิด อย่างเจ้าน่ะไม่มีทางเป็นอันตรายแน่”
มู่เฟยเหลียนกะพริบตาสองครั้ง พอเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ผู้ที่ถูกปรามาศเรื่องรูปลักษณ์ก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่
“บังอาจ!”
ทายาทสกุลมู่โกรธจนตัวสั่น นางเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น การมีรูปร่างเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา หลังจากนี้ยังมีเวลาที่จะเติบโตอีกมาก!
“หลวนเจี้ยนเสียน แล้วข้าจะรอดูว่าสตรีแบบไหนที่เจ้าจะตกลงปลงใจด้วย!” นางกล่าวเสร็จก็โยนห่อผ้าใส่ตัวชายหนุ่ม ไม่เสียเวลารอเขาเปลี่ยนชุดก็คว้าคอเสื้อเขาด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายถือกระบี่ของอีกฝ่ายมุ่งหน้าออกจากห้อง
เนื่องจากโถงทางเดินค่อนข้างแคบ การเดินเหินของทั้งสองซึ่งหอบสิ่งของจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล
มู่เฟยเหลียนชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายจากด้านนอก
ปึง!
เรือสำเภาทั้งลำสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับปะทะเข้ากับโขดหินขนาดใหญ่
ดวงตากวางของเด็กสาวเบิกกว้าง เดิมทีตั้งใจจะวิ่งออกไปดาดฟ้าเรือเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก ทว่าสัญชาตญาณก็ร้องเตือนว่าอย่าทำเช่นนั้น
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนเบาหวิวจนแทบถูกทับด้วยเสียงคลื่น ร่างกายของมู่เฟยเหลียนเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ
‘ตายแล้ว... ใช่หรือไม่’
แม้นางจะเคยติดตามบิดาไปค่ายทหาร แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปสมรภูมิรบ ดังนั้นนอกจากผู้ป่วยที่สิ้นใจจากโรงหมอของมารดา มู่เฟยเหลียนก็ไม่เคยเห็นคนตาย... โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน
ตุบ!
ตุบ!
ต่อให้ไม่เห็นภาพ มู่เฟยเหลียนก็สามารถจินตนาการเห็นภาพของสิ่งที่ล้มตึงลงบนพื้นเหนือศีรษะ
เป็นร่างของผู้ที่ถูกฟัน... หรือว่าเป็นศีรษะที่ตัดขาดออกจากคอ
ชีพจรของนางเต้นแรงขึ้นจนแทบกระเด็นหลุดออกจากอก
“เรือลำนี้คงถูกทหารยึดแล้ว...” เสียงกระซิบของหลวนเจี้ยนเสียนดังขึ้นจากด้านหลัง “หากออกไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย”
เวลานั้นเองที่เด็กสาวได้สติกลับคืนมา “แล้วจะทำอย่างไร”
เรือพายที่ไว้สำหรับหลบหนีผูกติดอยู่กับเรือด้านนอก หากไม่ออกไปที่ดาดฟ้าเรือก็คงไปไม่ถึงแน่
“ไม่รู้เหมือนกัน”
ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ การที่หลวนเจี้ยนเสียนรักษาน้ำเสียงไว้ได้ทำให้นางหงุดหงิด แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าหากไม่มีเขาอยู่ด้วย ป่านนี้นางคงเสียสติไปแล้ว
“ค้นเรือลำนี้ให้หมดทุกซอกทุกมุม! อย่าให้เหลือรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
เสียงทุ้มห้าวตะโกนมาจากทางด้านบน ฝีเท้าผู้คนไม่ทราบจำนวนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มู่เฟยเหลียนไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ความหวังที่คนด้านนอกจะมีชีวิตอยู่แทบไม่มีเหลือ หากเผชิญหน้ากับทหารที่บุกมายามนี้ นางก็คงถูกปลิดลมหายใจตามพวกเขาไปด้วยอีกคน
“ทางนี้!” เด็กสาวกระซิบบอกบุรุษข้างตัว จากนั้นก็ออกแรงดึง พาอีกฝ่ายวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับบันไดทางออกซึ่งจะพาไปยังดาดฟ้าเรือ
หลวนเจี้ยนเสียนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะเดิน ทว่าแรงจูงจากสตรีร่างเล็กเบื้องหน้าก็ทำให้เขาสามารถก้าวเท้าเดินต่อ
น่าแปลกเหลือเกินที่เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะสามารถมอบพลังและกำลังใจให้เขาได้อย่างมากมายมหาศาล ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแต่ได้มีโอกาสมาร่วมเป็นร่วมตาย นี่คงเป็นสิ่งที่สวรรค์เบื้องบนกำหนดมากระมัง
ปัง!
มู่เฟยเหลียนปิดประตูเรียบร้อยก็หันกลับมามองบุรุษที่นางลากมาด้วยกัน ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเหงื่อแตกและหอบหายใจแรง นางก็หยิบเม็ดยาจากตลัดเดิมส่งให้เขา
“อดทนอีกหน่อยเถิด” น้ำเสียงของผู้กล่าวนุ่มนวลขึ้นอีกหลายส่วน
จอมยุทธ์หนุ่มพยักหน้าพลางกลืนเม็ดยาลงไปอย่างไม่อิดออด
นางพยุงร่างอีกฝ่ายให้นั่งลงข้างประตู จากนั้นก็กวาดตาสำรวจห้องเก็บของซึ่งมีแสงจากด้านนอกเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเพียงสลัวๆ
ในห้องแห่งนี้มีลังไม้วางเรียงรายไว้เป็นแถว ดูก็รู้ว่าเป็นการจัดเรียงที่เกิดขึ้นอย่างพิถีพิถัน ต่างจากห้องเก็บสุราและน้ำในห้องอื่นๆ
ก่อนหน้านี้มู่เฟยเหลียนไม่เคยมีโอกาสได้สำรวจสิ่งที่อยู่ภายใน นางไม่รอช้ากวาดตามองไปรอบๆ ครั้นเจอเหล็กท่อนหนึ่งถูกทิ้งไว้บนพื้นก็เอามางัดถังไม้จนเปิดออก
สิ่งที่อยู่ในถังไม้... คือประทัดที่เอาไว้จุดเฉลิมฉลองเทศกาลวันปีใหม่
เด็กสาวซึ่งกำลังหาทางหนีทีไล่ชะงักเมื่อความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาในหัว
หากนางสามารถจุดไฟที่นี่ได้ ประทัดก็จะระเบิด ในระหว่างที่เปลวเพลิงลุกลามคงสร้างความแตกตื่นตกใจให้แก่ทหารที่บุกรุกมาได้ชั่วเวลาหนึ่ง
เนื่องจากก่อนหน้านี้มู่เฟยเหลียนมักจะเดินสำรวจเรือสำเภาลำนี้ทุกซอกทุกมุม นางจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตำแหน่งห้องเก็บของแห่งนี้ใกล้กับจุดที่มีเรือพายผูกติดอยู่มากที่สุด
‘หากอาศัยช่วงชุลมุน... เปิดหน้าต่างหลบหนีออกไปละก็...’
มู่เฟยเหลียนเดินไปเปิดบานหน้าต่างแล้วยื่นหน้าออกไปสำรวจเพื่อความแน่ใจ ครั้นเห็นเรือพายลำน้อยมีเชือกผูกติดอยู่ไม่ไกล ดวงตากวางก็ทอประกายแห่งความหวังขึ้นมา
แต่ถ้าใช้วิธีนี้ พวกนางอาจถูกแรงระเบิดอัดจนสลบ หรือแย่กว่านั้นอวัยวะบางส่วนอาจกระเด็นหลุดออกจากตัว แล้วสิ้นใจทันที
หากยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็คงต้องตายอยู่ดี
‘มันต้องมีสิ... ทางออกที่ดีกว่า’
ผู้คิดกำตลับยาแน่น ใบหน้าของบิดามารดาและคนในครอบครัววาดผ่านห้วงคำนึง ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“หลวนเจี้ยนเสียน”
ชายหนุ่มหรี่ตามองผู้เรียก สังหรณ์ใจว่ามู่เฟยเหลียนคงกำลังคิดเรื่องแปลกพิสดารอยู่เป็นแน่ “อะไร”
“เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”
“เชื่อใจที่ว่า หมายถึงระดับใดน่ะหรือ”
“ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ” นางหันมามองเขา แหงนหน้าสบตาด้วยแววตาเคร่งเครียด “หากผิดพลาดเพียงนิดเดียว พวกเราอาจตายเลยก็ได้”
“เจ้าหาวิธีหนีได้แล้วหรือ”
“อือ” มู่เฟยเหลียนพยักหน้า “แต่ข้าไม่ค่อยมั่นใจ”
“ต่อให้ล้มเหลว ถึงอย่างไรเราก็ตายเหมือนเดิมอยู่ดี”
สิ่งที่ชายหนุ่มตอบนั้นตรงกับสิ่งที่นางคิด แต่ก็น่าน้อยใจนิดๆ ที่เขาไม่มีคำพูดปลอบประโลมที่น่าฟังกว่านี้
“ข้าต้องการไฟ” นางกล่าว
ชีพจรของหลวนเจี้ยนเสียนเริ่มคืนกลับสู่ปกติเมื่อได้กินยา เขากวาดตามองไปรอบๆ ส่วนมู่เฟยเหลียนเริ่มเดินคุ้ยหาสิ่งที่พอจะมาจุดไฟได้
ในขณะที่พวกนางกำลังทำงานแข่งกับเวลา เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ประตูห้องต่างๆ ถูกพังทำลายเพื่อหาตัวคน เสียงกรีดร้องและกลิ่นคาวโลหิตเริ่มเข้มข้น จนมือของมู่เฟยเหลียนเริ่มสั่น
ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มห้าวของหลวนเจี้ยนเสียนก็ดังขึ้นมา
“เจอแล้ว!”
เสียงของชายหนุ่มราวกับพระโพธิสัตว์เมตตา เทพเซียนจากสวรรค์ลงมาโปรด ครั้นได้เห็นสิ่งที่อีกฝ่ายชี้ สีหน้าเคร่งเครียดของเด็กสาวก็แปรเปลี่ยนไปทันที
ตลับไม้สีดำซึ่งมารดามอบไว้ให้ก่อนออกเดินทางบรรจุยาสลบ เม็ดยาด้านในมีลักษณะเป็นทรงกรวยคล้ายกำยาน ครั้นเด็กสาวโยนมันเข้าไปในตะเกียงเจ้าพายุ เขม่าควันสีขาวก็ลอยคลุ้งออกมาทันที
เหอซิงเคยพูดไว้ว่าหากนำมาลนไฟ ยาชนิดนี้จะทำให้ผู้ที่สูดดมหมดสติไปประมาณสองถึงสามชั่วยาม
มู่เฟยเหลียนไม่เคยสงสัยในความสามารถทางการปรุงยาของมารดา เพียงแต่ในระหว่างที่รอให้ยาออกฤทธิ์ นางอาจต้องปะทะกับทหารซึ่งมีอาวุธครบมือเสียก่อน
ปกป้องตัวเองยังพอว่า แต่ครานี้นางต้องปกป้องหลวนเจี้ยนเสียนด้วย
เด็กสาวสบตาจอมยุทธ์หนุ่มซึ่งนางให้ซ่อนตัวอยู่ตรงถังไม้แล้วเอาผ้าคลุมปิดมิดชิด ส่วนตนเองนั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้องซึ่งเป็นจุดอับสายตาจากตรงประตู กระชับดาบใหญ่แน่นอย่างเตรียมพร้อม
ทั้งนางและเขาต่างผูกผ้าปิดปากและจมูกไว้เพื่อระวังไม่ให้ตนเองสูดดมควันยาสลบเข้าไป
และแล้วการรอคอยอันแสนสั้นก็สิ้นสุดลง...
ผัวะ!
บานประตูห้องเก็บของที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ถูกถีบออกอย่างแรง เงาร่างของทหารกว่าสิบนายซึ่งยืนอออยู่ด้านนอกส่งผลให้มู่เฟยเหลียนกลืนน้ำลายเฮือก
คำพูดของหลวนเจี้ยนเสียนที่กล่าวกับนางก่อนหน้านี้ยังคงชัดเจนในความทรงจำ
“หากถึงคราวคับขัน เจ้าจะสามารถหวดดาบเล่มนี้เพื่อฆ่าคนได้จริงๆ หรือมู่เฟยเหลียน”