4.1 พลัดถิ่น

1519 คำ
สี่ พลัดถิ่น คำสั่งที่เอ่ยด้วยปาก ย่อมง่ายดายกว่าการลงมือปฏิบัติให้สัมฤทธิผลจริง ในสถานการณ์เช่นนี้ ทหารกว่ากึ่งหนึ่งอยู่ในสภาพราวกับเป็นอัมพาต ที่เหลือชักอาวุธออกจากฝักอย่างยากลำบาก แม้นายเหนือหัวมีรับสั่ง พวกเขามีหรือจะกล้าจู่โจมสุ่มสี่สุ่มห้า จึงรอคำตัดสินใจของเฉินหมิงซึ่งมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าอีกทอดหนึ่ง ด้านหัวหน้าหน่วยองครักษ์ ครั้นมั่นใจว่าฮ่องเต้ทรงปลอดภัยดีก็หันไปหามู่หลิ่งเหวิน “ท่านอ๋อง...” “ดาบ!” สิ้นสุรเสียงทรงอำนาจ สีหน้าของเฉินหมิงก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากมู่หลิ่งเหวินผู้เป็นนักรบในตำนาน กำชัยในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วนร่วมต่อสู้ด้วย ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจมีโอกาสเอาชนะปีศาจตนนี้ สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้ ทหารองครักษ์นายหนึ่งดึงดาบมาจากร่างของสหายที่ขยับตัวไม่ได้ยื่นส่งให้เฉินหมิง เขาไม่รอช้า โยนดาบส่งต่อให้มู่หลิ่งเหวินทันที “ท่านอ๋อง รับไป!” บุรุษร่างกำยำยื่นมือรับดาบโดยไม่ละสายตาไปจากบุตรสาว มือใหญ่กร้านควงดาบอย่างคล่องแคล่ว ส่งเสียงแหลมแหวกตัดอากาศ “พวกเจ้าคุ้มกันฮ่องเต้ ข้าจะชิงตัวเหลียนเอ๋อร์กลับมา” “ขอรับ!” เหล่าชายฉกรรจ์ผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน วิ่งกระจายกำลังออกเป็นสองทาง อย่างแรกคือคุ้มกันฮ่องเต้ ส่วนที่เหลือถูกส่งไปอารักขาเหอซิง มู่หลิ่งเหวินไม่รอช้า เงื้อดาบขึ้นเหนือศีรษะแล้วกระโดดถีบกายขึ้นจากพื้น พุ่งตัวเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างมั่นใจโดยปราศจากท่าทีหวาดกลัวใดๆ เคล้ง! เล็บของคู่ต่อสู้งอกยาวออกมาปะทะกับคมดาบที่ฟาดฟันใส่อย่างไม่ปรานี เหอซิงซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ไกลๆ เห็นท่าไม่ดีก็ร้องตะโกนบอกสามี “พี่หลิ่งเหวิน ระวังเหลียนเอ๋อร์โดนลูกหลง” “อือ” ท่านอ๋องมู่ขานรับ ทอดพระเนตรบุตรสาวซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างกังวลพระทัย เพราะอีกฝ่ายมีมู่เฟยเหลียนเป็นตัวประกัน เขาจึงต้องยั้งมือไว้หลายส่วน เกรงว่าหากใช้กำลังทั้งหมดอาจพลาดพลั้งทำให้บุตรสาวบาดเจ็บ ในขณะที่มู่หลิ่งเหวินพยายามครุ่นคิดหาวิธีที่จะช่วงชิงบุตรสาวออกมาอย่างปลอดภัย วายร้ายในที่นี้ก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง แม้การโจมตีนั้นจะรวดเร็วจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เขาก็ยกดาบขึ้นมาต้านรับไว้อย่างทันท่วงที “คิดว่าดาบกระจอกๆ เล่มนี้จะมีปัญญาทำร้ายข้าได้รึ!” ปีศาจจิ้งจอกคำรามในลำคอ กางกรงเล็บเข้าตะปบใส่คู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ส่วนมืออีกข้างอุ้มร่างมู่เฟยเหลียนได้อย่างง่ายดายประหนึ่งถือปุยนุ่น เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! ดาบที่อยู่ในมือใหญ่กร้านบังเกิดรอยร้าว แม้เป็นเหล็กกล้าแต่ก็มิอาจต้านทานสิ่งที่มีกำลังเหนือมนุษย์ได้ “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงลูก ท่านพ่อ! ฮึก!” มู่เฟยเหลียนน้ำตาไหลพราก มิวายหันไปถลึงตามองทหารองครักษ์ที่มิกล้าเข้ามาใกล้วงต่อสู้ “พวกเจ้ายืนนิ่งกันอยู่ไย รีบมาคุ้มกันท่านพ่อสิ!” คำตะโกนของเด็กสาวส่งผลให้ทหารที่ได้ยินพากันสะดุ้งโหยง นึกไม่ถึงว่าสตรีตัวเล็กๆ ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมจะมีจิตใจกตัญญู เป็นห่วงความปลอดภัยของบิดามากกว่าตนเอง น่าเสียดายนักที่ท่านหญิงน้อยผู้นี้อาภัพ... ดันมาตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจ โอกาสที่จะได้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินแทบเป็นศูนย์ เปลวเพลิงสีครามผุดขึ้นบนฝ่ามือของปีศาจจิ้งจอก มันสะบัดมือเพียงคราเดียวก็ส่งไฟสีประหลาดในมือไปทั่วทุกทิศทาง! มู่หลิ่งเหวินขบกรามแน่น ใช้วิชาตัวเบากระโดดกายไปหยุดยืนหน้าหวงผู๋อี๋ หมุนดาบเป็นวงกลมเพื่อสะท้อนเปลวเพลิงมิให้โดนองค์เหนือหัว บุรุษผมสีเงินแสยะยิ้ม ดวงตาสีเงินเหล่มองเหอซิงซึ่งยืนกำมือแน่นแล้วขยิบตาใส่ จากนั้นก็หันไปใช้พลังอันมหาศาลทำลายผนังของตำหนักแล้วพุ่งตัวออกไป “ท่านพ่อ! ท่านแม่!” มู่เฟยเหลียนซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษร่างสูงโปร่งดิ้นขลุกขลัก สายตาทอดมองบิดามารดาจนกระทั่งกลืนหายไปกับความมืดยามราตรี ครั้นปีศาจหายตัวไป เหล่าองครักษ์ที่ยืนแข็งค้างราวกับต้องมนตร์สะกดก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง ครั้นเห็นเปลวเพลิงสีฟ้าเริ่มลุกลาม พวกเขาก็รีบวิ่งออกไปเพื่อหาน้ำมาดับไฟ ทว่าเปลวเพลงนี้ประหลาดนัก มันไม่ได้ร้อน... แต่กลับหนาวจับขั้วกระดูกดำ “ฝ่าบาท ปีศาจตนนั้นพาท่านหญิงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เฉินหมิงคุกเข่ารายงาน “ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว กระหม่อมจะอารักขาพระองค์ออกไปจากที่นี่” “เหลวไหล! ไฟไหม้แค่นี้มีหรือจะทำร้ายเราได้” หวงผู๋อี๋โกรธจนหน้ามืดตัวสั่น ชาวบ้านต่างรู้กันทั่วว่ามู่เฟยเหลียนคือว่าที่ฮองเฮา เขายอมตายดีกว่าถูกทำลายศักดิ์ศรี “พวกเจ้าไยจึงยังไม่รีบตามมู่เฟยเหลียนไปอีก!” “พะ...พ่ะย่ะค่ะ!” เหอซิงซึ่งยืนอยู่อีกมุมหนึ่งเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ ใบหน้างดงามซีดเผือด ร่างกายซวนเซคล้ายจะเป็นลม ทหารองครักษ์เห็นท่าไม่ดีก็หวังจะช่วยเหลือด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะล้มศีรษะฟาดพื้น นึกไม่ถึงว่าภายในพริบตาเดียว ร่างของท่านอ๋องจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า วงแขนกว้างโอบประคองร่างบางไว้อย่างหวงแหน พร้อมกับตวัดสายตาเย็นเยียบไปมองผู้ที่หวังดี นายทหารผู้นั้นถึงกับหน้าเสีย เปลวเพลิงจากฝีมือปีศาจจิ้งจอกหิมะเริ่มลามไปทั่ว อีกทั้งยังมิอาจดับได้ด้วยน้ำเปล่า ทหารองครักษ์รีบอารักขาคนด้านในออกมาอย่างระมัดระวัง พอออกมาด้านนอกก็เห็นแขกเหรื่อมากมายอยู่ในอาการหวาดผวา หวงผู๋อี๋สีหน้าดำคล้ำกว่าเดิม สั่งให้ทหารพาพวกเขาไปที่อื่นเพื่อความปลอดภัย ข่าวงานเลี้ยงถูกทำลายจนพังพินาศลงในครานี้มิอาจปิดบังไว้ได้ คงถึงคราวที่ความเชื่อมั่นต่อราชวงศ์จะต้องสั่นคลอนครั้งใหญ่ “ท่านอ๋อง ควรทำเช่นไรดี” เฉินหมิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง มู่หลิ่งเหวินกุมมือภรรยา “ข้าจะไปตามเหลียนเอ๋อร์ ระหว่างนี้ข้าต้องการคนอารักขาพระชายากลับจวน” หลี่จวงเพิ่งได้สติพอดีจึงรีบอาสา “เรียนท่านอ๋อง บ่าวจะรีบจัดการให้ตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” หวงผู๋อี๋เหลือบมองท่านอ๋องมู่ แต่ไหนแต่ไรมู่หลิ่งเหวินทำตัวเหมือนบุรุษที่ไร้จุดอ่อน ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ยังรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ หรือเขามั่นใจว่าจะสามารถพาบุตรสาวของตนเองกลับมาได้อย่างปลอดภัย “มู่หลิ่งเหวิน” บุรุษผู้อายุมากกว่าหันไปตามเสียงเรียก “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ามีวิธีต่อกรกับปีศาจตนนั้นหรือไม่” มู่หลิ่งเหวินชะงักไปเล็กน้อย แต่พริบตาเดียว สีหน้าก็กลับมาเรียบเฉยไร้อารมณ์ “ตอนนี้ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” “ปีศาจตนนั้นแข็งแกร่งนัก ข้าไม่อยากสูญเสียขุนพลคนสำคัญของแคว้นไป” หวงผู๋อี๋ต้องการจะสื่อให้มู่หลิ่งเหวินปล่อยให้ทหารจัดการเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง “มู่เฟยเหลียนเป็นบุตรสาวของกระหม่อม ไม่มีเหตุผลที่กระหม่อมจะต้องไม่ไป” ใบหน้าของผู้ตอบแข็งกระด้าง “อีกทั้งปีศาจตนนั้นอาจเป็นภัยต่อแคว้นเยว่ในภายภาคหน้า จึงสมควรกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด” “การกำจัดปีศาจควรเป็นหน้าที่ของนักพรต เจ้าเพียงช่วยเหลือมู่เฟยเหลียนกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ” มู่หลิ่งเหวินขมวดคิ้วด้วยเจตนารมณ์ที่ไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขาจึงก้มหน้ารับคำแล้วถอดเสื้อตัวนอกคลุมลงบนไหล่ภรรยา ย่างเข้าปลายยามห้าย[1] นาฬิกาน้ำไหลหยด อุณหภูมิลดต่ำลงจนรู้สึกหนาวกาย ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหนา คาดว่าอีกไม่นานคงฝนตก ในวันเฉลิมฉลองขอบคุณเทพเจ้าแห่งสายฝนกลับมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ฮ่องเต้ทรงบันดาลโทสะ สั่งให้คนกระจายกำลังค้นหาโดยไม่สวมเครื่องแบบ เนื่องจากชาวเมืองด้านนอกยังคงสนุกสนานกับเทศกาล พระองค์จึงไม่ต้องการทำให้ราษฎรเสียขวัญ หลี่จวงรับหน้าที่จัดหาคนอารักขาส่งตัวเหอซิงกลับจวนอ๋อง ตลอดเวลาพระชายาผู้งดงามเอาแต่เงียบไม่ยอมตรัสสิ่งใด สีพระพักตร์ขาวซีดส่งผลให้ผู้คนมองอย่างสงสาร คาดว่านางคงสะเทือนพระทัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพระธิดาอยู่มากทีเดียว [1] ยามห้าย คือเวลา 21.00 น. – 22.59 น.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม