ภาพของสองคนแม่ลูกพูดคุยกันกะหนุงกะหนิงเป็นภาพน่ารักที่หาดูได้ยาก ในวังวนแห่งอำนาจ ผู้คนล้วนสวมหน้ากากเข้าหากัน ยากนักจะหาผู้ที่ยิ้มและหัวเราะด้วยความจริงใจ
ทว่าต่อให้เป็นภาพที่น่าเอ็นดูเพียงใด ก็ยังมีคนมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
มู่เฟยเหลียนเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่านอ๋องมู่ มีบิดาที่เก่งกาจให้ท้าย มีมารดาที่งดงามคอยตามใจ และอีกไม่ช้าก็เร็ว นางก็จะได้รับตำแหน่งฮองเฮาอีก
สิ่งที่ดีงามทุกอย่างในใต้หล้าล้วนถูกเทลงบนตัก โดยที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องกระดิกตัว ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าก็ได้ครอบครองของล้ำค่ามาอย่างง่ายดาย
มู่เฟยเหลียนยังไม่ถือว่าโตเป็นสาวเต็มตัวด้วยซ้ำ ความอ่อนเยาว์นั้นได้เปรียบ แต่เรื่องความงามก็ไม่ถือว่าโดดเด่นล่มเมือง เป็นเพียงความน่ารักที่ชวนให้น่าเอ็นดูเท่านั้น
สตรีเช่นนี้ครอบครองชะตานางหงส์ได้อย่างไร... แทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ตู้ผิงเฟยเองก็เป็นหนึ่งในหมู่สตรีที่ชิงชังว่าที่ฮองเฮาผู้นี้ นางพยายามอย่างหนักกว่าจะไต่เต้ามาถึงตำแหน่งผิงเฟย หากไม่มีมู่เฟยเหลียนสักคน... ตำแหน่งฮองเฮาที่เว้นว่างนี้ย่อมตกทอดถึงผู้อื่นได้
แน่นอนว่านางก็รวมเป็นหนึ่งในนั้น
ทว่าในวังหลัง ผู้ใดบ้างจะยอมเปื้อนเลือดอย่างเปิดเผย ในงานเลี้ยงมีผู้คนมากมาย นางกำนัลมีนับร้อย พระชายาของจวนอ๋องมู่ดูมีเหตุผลและใจเย็น หากทำทุกอย่างให้ดูเป็นอุบัติเหตุก็อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่
หากสามารถสร้างรอยแผลเป็นบนเรือนร่างของมู่เฟยเหลียนได้เพียงเล็กน้อย สตรีผู้นั้นก็จะกลายเป็นของมีตำหนิ ไม่คู่ควรกับองค์เหนือหัว
ผู้ที่วางแผนร้ายกาจอยู่ในใจเบนสายตาจากสองแม่ลูกไปยังนางกำนัลผู้หนึ่งซึ่งยืนถือกาน้ำชาอยู่ด้านหลัง ครั้นพยักหน้าคราหนึ่ง อีกฝ่ายก็หมุนตัวกลับไปเปลี่ยนกาใหม่ซึ่งเพิ่งเติมน้ำเดือดจัด
นางกำนัลลอบกลืนน้ำลายเพื่อลดความประหม่า หากนางไม่ลงมือทำ ครอบครัวของนางจะถูกคนของสกุลตู้ฆ่าทิ้ง เพื่อปกป้องคนที่รัก นางจึงต้องเสียสละตนเอง
นางเดินไปรินน้ำชาให้แขกเหรื่อทางด้านหลังสองคนแม่ลูก ครั้นได้จังหวะประจวบเหมาะ ก็หยัดกายยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ร่างปะทะเข้ากับนางกำนัลอีกคนหนึ่งซึ่งถือถาดผลไม้ผ่านมาพอดี
“ว้าย!”
ตู้ผิงเฟยซึ่งนั่งมองทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายยกมือขึ้นเพื่อปกปิดริมฝีปากที่แสยะยิ้ม
คนในงานเลี้ยงบางส่วนไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงที่เกิดขึ้น ทว่าผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน
มู่หลิ่งเหวินซึ่งนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แม้เขาจะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่ก็คงไม่ทันดึงตัวพวกนางออกมาได้
น้ำชาร้อนจัดหกกระเซ็นใส่ร่างของมู่เฟยเหลียนซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ขณะกาน้ำชาหล่นลงพื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
เพล้ง ท่ามกลางเหตุการณ์ดังกล่าว เหอซิงอยู่ใกล้ตัวบุตรสาวมากที่สุด แต่นางทำเพียงแค่เหล่ตามองคนข้างตัวเท่านั้น
“อา... เกือบไปแล้ว” มู่เฟยเหลียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก้มหน้ามองชุดที่มีรอยเปื้อนพลางขมวดคิ้ว “ชุดเปื้อนแบบนี้ ท่านลุงสามรู้เข้าคงเสียใจแย่”
“พี่สามมิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เขาย่อมเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ” เหอซิงเอ่ยปลอบพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
หลายปีก่อนเหอซิงเคยกินดอกบัวหิมะพันปีเข้าไป ทำให้มีพลังหยินอันแข็งแกร่ง พอมีบุตรสาว พลังสี่ส่วนจึงถูกถ่ายทอดไปยังมู่เฟยเหลียนโดยตรง
ผู้คนในงานเลี้ยงพากันอ้าปากค้างเมื่อเห็นหยดน้ำเดือดจัด กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็งเกาะตามใบหน้าและแขนของท่านหญิงอย่างน่าอัศจรรย์
“นะ...นี่มัน...!”
ในขณะที่ผู้คนกำลังมึนงงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างของคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในงานเลี้ยง
เป็นหลี่จวง ขันทีคนสนิทของหวงผู๋อี๋
“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว!”
สิ้นคำประกาศ สรรพสิ่งทุกอย่างก็ถูกกลืนหายเข้าสู่ความเงียบ ผู้คนทั้งหลายต่างยืนขึ้น เก็บงำอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเพราะไม่อยากให้องค์เหนือหัวบันดาลโทสะ
เสียงฝีเท้าหลังม่านดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหอซิงซึ่งยืนอยู่ข้างบุตรสาวลอบยิ้มเล็กน้อย นับว่าเป็นการปรากฏตัวที่ทันเวลาพอดี
‘...เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน’ เหอซิงคิดพลางย่อกายเพื่อถวายความเคารพเช่นเดียวกับผู้อื่น
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หวงผู๋อี๋ ปีนี้อายุสามสิบสอง แม้จะมีรูปร่างไม่สูงใหญ่แต่ก็จัดได้ว่าสง่างามตามสายเลือดอันสูงศักดิ์
ฉลองพระองค์ของพระองค์ทำจากทองงดงาม พระเกศายาวเกล้าขึ้นเป็นมวยสวมประดับกวาน หางตาชี้ขึ้น ใบหน้าราบเรียบ
“ตามสบาย”
แม้จะเป็นเสียงของฮ่องเต้ ทว่าน่าแปลกนักที่น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลไพเราะกว่าปกติ
ผู้คนทั้งหลายคาดเดาว่าฮ่องเต้น่าจะทรงอารมณ์ดี เนื่องจากวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองงานเทศกาล สีหน้าของทุกคนจึงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ขอบพระทัยเพคะ / ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องมู่กวาดตามององค์เหนือหัวเล็กน้อย ก่อนจะประคองมารดาให้นั่งลงตามเดิม
นึกไม่ถึงว่าสายตาของอีกฝ่ายจะเคลื่อนมาหยุดลงที่นาง
“มู่เฟยเหลียน”
มู่เฟยเหลียนเบิกตากว้าง เมื่อจู่ๆ หวงผู๋อี๋ถือวิสาสะเดินมาจับมือนางอย่างไร้มารยาท ครั้นเงยหน้าสบตา ก็พบว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายแย้มกว้างขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มอันคุ้นเคย
ฮ่องเต้ขยิบพระเนตรให้นางข้างหนึ่ง ท่วงท่าราวกับหมาหยอกไก่เช่นนี้ ส่งผลให้เหล่าแขกเหรื่อในงานต่างตกใจจนอ้าปากค้าง
หะ...เหตุใดฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ หรือก่อนหน้านี้ทรงดื่มสุรามาจนเมามาย
เหล่าสนมพากันร่างสั่นเทิ้ม พวกนางอยู่รับใช้ปรนนิบัติบุรุษผู้นี้มาสิบกว่าปี บุรุษผู้นี้ไร้หัวใจ สมัยที่ยังเป็นองค์ชายใช้รอยยิ้มฉาบใบหน้า แต่ครั้นเสวยราชสมบัติก็ไม่เคยแย้มสรวล เห็นผู้อื่นเป็นหมากเบี้ยล่างมาโดยตลอด
บุรุษอย่างหวงผู๋อี๋ไม่มีทางทำเช่นนี้กับสตรีที่เด็กรุ่นราวคราวลูก!
มีบางสิ่งผิดปกติ! ผิดปกติ!
“ฝะ...ฝ่าบาท” เด็กสาวพยายามดึงแขนตนเองออก ระมัดระวังไม่ให้ดูก้าวร้าวจนเกินไป “ฝ่าบาท ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ”
“หือ” เขายกยิ้ม นอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้วยังดึงตัวมู่เฟยเหลียนให้เดินตามเขาไปยังใจกลางห้องโถง
เหอซิงกับมู่หลิ่งเหวินยืนขึ้นพร้อมกัน จ้องเขม็งไปยังองค์เหนือหัว แผ่กลิ่นอายคุกคามกดดัน พาให้ผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง
ฮ่องเต้ทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลมู่มาโดยตลอด ไฉนวันนี้ถึง...!
หลี่กงกงซึ่งถูกจับมายืนอยู่กึ่งกลางระหว่างฮ่องเต้กับท่านอ๋องเหงื่อแตกพลั่ก คราวก่อนเขาได้รับราชโองการให้ไปเชื้อเชิญมู่หลิ่งเหวินกับท่านหญิงมาร่วมงานในวังหลวง เขาพยายามโน้มน้าวท่านอ๋องเต็มที่เพื่อให้อีกฝ่ายพาสตรีผู้มีชะตานางหงส์มาเปิดตัวที่นี่