5.2 มุ่งหน้าสู่สมรภูมิ

1322 คำ
ในระหว่างที่เปลวเพลิงแห่งสงครามกำลังตั้งเค้า มู่เฟยเหลียนกับผู้โดยสารที่อยู่บนเรือสำเภาใจกลางมหาสมุทร ห่างจากท่าเรือเมืองต้าไห่มาสองร้อยลี้กลับไม่ทราบเรื่องนี้แม้แต่น้อย ความจริงทางกรมท่าเรือได้มีคำสั่งให้สำนักคุ้มภัยและผู้เดินเรือทั้งหลายทราบเรียบร้อยแล้ว ทว่านกพิราบสื่อสารบางตัวซึ่งถูกส่งออกจากชายฝั่งโดนลมพายุสังหารก่อนจะไปถึงปลายทาง แสงจากดวงตะวันที่คล้อยต่ำอาบผืนฟ้าเป็นสีแสด สะท้อนลงบนผิวน้ำจนเกิดเงาระยิบระยับจับตา “มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำ ไม่เห็นฝั่งเสียที” มู่เฟยเหลียนเท้าแขนลงบนกราบเรือ บ่นพึมพำด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย หลังจากหรงเสี่ยพานางส่งขึ้นเรือเสร็จก็หนีกลับไปแคว้นเยว่ ปล่อยให้นางเริ่มต้นการผจญภัยด้วยตนเอง ช่วงแรกเด็กสาวก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่หรอก แต่นางอยู่บนเรือสำเภาลำนี้มาตั้งสิบห้าวัน สำรวจก็แล้ว ทักทายและทำความรู้จักคนบนเรือก็ครบหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่หลงเหลือสิ่งที่น่าสนใจให้ค้นหา ดวงตากวางมองผืนน้ำกว้างใหญ่ที่กลืนกินดวงอาทิตย์กลมโตตรงเส้นขอบฟ้า ป่านนี้ครอบครัวนางคงกำลังกินมื้อเย็นร่วมกันอยู่กระมัง “ใจลอยเช่นนี้ เจ้าตัวเล็ก ประเดี๋ยวก็ร่วงลงไปหรอก” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง เด็กสาวไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็เดาได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด บนเรือสำเภาลำนี้ ผู้ที่ใช้สรรพนามเช่นนี้เรียกนางมีอยู่คนเดียว “หุบปากไปเลย เจ้าคนหยาบช้า!” หากเด็กสาวยังอยู่แคว้นเยว่ในฐานะ ‘ท่านหญิง’ นางก็ต้องสำรวม ระมัดระวังเรื่องกิริยาและท่าทาง การใช้คำพูดนี้ในที่สาธารณะแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับที่ดินแดนห่างไกลแห่งนี้ นางเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก อยากจะทำสิ่งใดก็สามารถทำได้ตามอำเภอใจ ไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงนกเสียงกา ฝ่ายหลวนเจี้ยนเสียนฟังแล้วก็หาได้ถือสา เป็นเพราะมู่เฟยเหลียนไม่ได้เป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วนี่แหละ จึงทำให้เขาสนิทสนมกับนางได้ไม่ยาก หลังจากเดินผ่านกันไปมาบนเรืออยู่หลายวัน สุดท้ายหลวนเจี้ยนเสียนก็เป็นฝ่ายเข้ามาทักทายพร้อมกับปลาตากแห้ง เพราะรสชาติที่อร่อยของมัน ทำให้มิตรภาพของพวกนางแบ่งบาน มู่เฟยเหลียนเป็นคนง่ายๆ ที่สามารถซื้อใจได้ด้วยอาหาร ไม่ต่างจากปีศาจจิ้งจอกหรงเสี่ยที่เลี้ยงดูนางมา “ที่ข้าเคยเสนอไป เจ้าเอาไปคิดดูแล้วหรือยัง” หลวนเจี้ยนเสียนเลิกคิ้วพลางทำท่านึก “อ๋อ เรื่องที่เจ้าอยากให้ข้ามาเป็นคนคุ้มกันน่ะหรือ” มู่เฟยเหลียนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ไม่ละ” “อ้าว ทำไมล่ะ!” “ข้าไม่ชอบเป็นลูกน้องผู้อื่น” เด็กสาวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว” เนื่องจากอีกฝ่ายถอดใจเอาง่ายๆ โดยไม่คิดอ้อนวอนหรือเกลี้ยกล่อม หลวนเจี้ยนเสียนจึงอดรู้สึกหงุดหงิดใจไม่ได้ เขาเป็นจอมยุทธ์พเนจรซึ่งเติบโตบนเกาะเทียนซิง เดินทางท่องยุทธภพโดยไร้หลักแหล่ง ในเมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย และเด็กสาวผู้นี้อยู่ด้วยแล้วสนุกดี คิดว่าหากเดินทางด้วยกันคงไม่น่าเบื่อ ทว่าพอเขาเล่นตัวเข้าหน่อย อีกฝ่ายกลับบื้อไม่รู้เรื่องเสียได้ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน! สีหน้าของจอมยุทธ์หนุ่มวัยสิบแปดปีย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมู่เฟยเหลียนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครา “เช่นนั้นเจ้าก็จ้างข้าแทนแล้วกัน” หลวนเจี้ยนเสียนอึ้งไปพักใหญ่ เนิ่นนานนักกว่าจะหาเสียงของตนเองเจอ “หา!” ด้านมู่เฟยเหลียนฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี “พี่ชาย ตกลงจะเอาอย่างไร ข้าจ้างเจ้า หรือเจ้าจ้างข้า” ยามนี้นางอยู่ท่ามกลางท้องทะเล สี่ด้านล้วนเป็นน้ำ มองไปทางใดก็เห็นเส้นขอบฟ้า ทำให้รู้สึกว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ชวนให้น่าค้นหา หลวนเจี้ยนเสียนท่องเที่ยวยุทธภพมาก่อนนางหลายปี ถือเป็นผู้มีประสบการณ์มาก่อน อีกทั้งบุรุษผู้นี้ดูตรงไปตรงมา จริงใจโปร่งใส[1] ไม่มากเล่ห์ร้อยมารยา ท่าทางน่าจะพอไว้ใจได้ อายุของพวกนางก็ห่างกันไม่มาก และที่สำคัญที่สุดคือ มู่เฟยเหลียนสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของบุรุษผู้นี้มีกำลังภายในเข้มข้น ฝีมือของอีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดา แม้จะไม่เคยเห็นเขาแสดงฝีมือกับตาสักครั้งเลยก็ตามที ขณะที่ชายหนุ่มกำลังอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้ว่าจะตอบโต้คำถามของเด็กสาวอย่างไร นึกไม่ถึงว่าจะมีเสียงแหลมบาดหูแทรกผ่านบทสนทนาของคนทั้งสอง “ท่านจอมยุทธ์หลวน!” มู่เฟยเหลียนหันขวับไปมองที่มาของเสียง อีกฝ่ายเป็นสตรีร่างอวบอั๋น อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด แม้อากาศเย็นแต่กลับแต่งกายบางเบา มองแล้วรู้สึกหนาวแทน แสงสว่างสุดท้ายของวันจางหายไปเมื่อผืนน้ำกลืนกินดวงตะวันไปโดยสมบูรณ์ บนเรือสำเภามีตะเกียงห้อยอยู่สองสามอันเพื่อให้ความสว่าง ผู้โดยสารหลายคนต่างกลับเข้าห้องเพื่อไปพักผ่อน บางคนนอนเอนกายมองทะเลดวงดาวที่ครอบคลุมไปทั่วท้องนภากว้าง เด็กสาวสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ บุรุษที่ตัวสูงกว่านางดันพุ่งตัวเข้ามาหลบอยู่ด้านหลัง “ท่านจอมยุทธ์หลวน! อยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ!” ฝ่ายคนเรียกก็ช่างตาถั่วจึงได้มองไม่เห็น ชายหนุ่มชักสีหน้ารำคาญรีบคว้าข้อมือเรียวของมู่เฟยเหลียน “ตรงนี้เสียงดังน่ารำคาญ ไปหาที่คุยเงียบๆ กันดีกว่า” นางเอานิ้วจิ้มไหล่หลวนเจี้ยนเสียน “ดูเหมือนคุณหนูจางกำลังตามหาเจ้าอยู่นะ” เขากลอกตาใส่อย่างไม่คิดเก็บอาการ “ก็ช่างนางสิ ข้าไม่ได้อยากพบนางสักหน่อย” เด็กสาวหัวเราะรั้งท้าย ปล่อยให้เขาจูงมือนางไปตามใจชอบ “เป็นบุรุษเนื้อหอมนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ” ชายหนุ่มเค้นเสียงหัวเราะอย่างไม่ยินดียินร้าย พานางเดินเรื่อยๆ จนไปถึงห้องแห่งหนึ่ง พอเปิดประตูเข้าไป มู่เฟยเหลียนก็ส่งเสียงฟึดฟัดในจมูก นางได้กลิ่นสุรา “จะมาขโมยดื่มสุราหรือ” นางเอ่ยถาม จอมยุทธ์หนุ่มปล่อยมือเรียวแล้วโบกมือไปมา “สุราที่นี่รสชาติห่วยแตก ดื่มเข้าไปก็ฝืดคอ” “แล้วที่ใดมีสุรารสเลิศขายหรือ” หลวนเจี้ยนเสียนทำท่าจะตอบ แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ทัน “ไม่ใช่เรื่องที่เด็กต้องรู้” มู่เฟยเหลียนไม่ถือสาหาความ เพราะนางก็ถือว่าเด็กจริงดังที่เขาว่า “เจ้าพาข้ามาที่นี่ อยากจะพูดอะไรกับข้าหรือ” คำถามซื่อๆ จากเด็กสาว ส่งผลให้จอมยุทธ์หนุ่มถอนหายใจแล้วยกมือขยุ้มผม “ข้ากับเจ้าเพิ่งพบหน้ากันเพียงไม่นาน รู้จักก็แค่ผิวเผิน เจ้าคิดจะจ้างวานคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาร่วมเดินทางด้วยกัน ไม่คิดว่ามันอันตรายไปหน่อยหรือ หากข้าสังหารเจ้าหรือพาเจ้าไปขายในตลาดค้าทาสจะทำอย่างไร” “แล้วเจ้าคิดว่าเด็กสาววัยสิบสี่ที่ออกเดินทางไกลตามลำพังเช่นข้ามีทางเลือกมากนักหรือ” นางตอบกลับเสียงเรียบ ประหนึ่งว่าเรื่องที่พูดถึงไม่ใช่เรื่องของตนเอง [1] *****สำนวนนี้ปรากฏใน จดหมายเหตุสามก๊ก ภาคจ๊กก๊ก บรรพวิจารณ์ชีวประวัติขงเบ้ง หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ไม่เห็นแก่ตัว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม