พระชนนีทรงเสด็จลงในสวนดอกไม้ จัดพิธีน้ำชาแสนยิ่งใหญ่ในวังหลวงขึ้นมา ในเช้านี้อย่างกระทันหัน มู่เหมียนตัวปลอม จึงต้องล่าถอยออกจากตำหนักอย่างเร่งด่วน
มู่เหมียนในตำหนักดำ ถูกเร่งรัดแต่งกาย แล้วพาเร้นกายออกมาจากตำหนักดำ เข้าสู่ตำหนักเจาอี๋
องครักษ์หญิง ขององค์ชายเหวินเต๋อ คุกเข่าขอร้องให้มู่เหมียน เก็บงำความลับให้องค์ชายเหวินเต๋อ และเล่าความ อย่างรวบรัดตัดความ มิเอ่ยถึงการกบฎชิงบัลลังค์ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
"ขอท่านเจาอี๋ โปรดอย่าแพร่งพราย ความสัมพันธ์ของท่านกับองค์ชายเหวินเต๋อ ออกไปให้ผู้ใดทราบนะเจ้าคะ "
"มิเช่นนั้นผู้คนมากมาย ล้วนจะต้องตกตายตามท่านไป
"บิดาของท่าน องค์ชายเหวินเต๋อและผู้คนในตำหนักนี้ ล้วนจะต้องมีภัยใหญ่หลวงนัก ขอได้โปรดจงปิดปังทุกสิ่ง "
มู่เหมียนนั่งนิ่งเงียบ เป็นตุ๊กตาไร้ใจ ปล่อยให้นางแต่งตัวให้และมิปริปากใดๆอีก ชีวิตของนางและบิดานาง และผู้คนของสกุลเหลียน ล้วนเป็นขององค์จักรพรรดิ
ใจของนางมีบุรุษได้เพียงผู้เดียว มิอาจเป็นอื่น หากอยากพ้นภัยก็ต้องยอมจากตาย เสียสละตนมิให้ผู้อื่นครหา แต่หากถูกจับเป็นแล้วไซร้ ผู้คนล้วนย่อมตกตายไปตามกัน
นางคล้ายรู้แล้วว่า บางสิ่งในตำหนักใน แปรเปลี่ยนไป ขันทีข้าหลวงและทหารยาม ล้วนมิใช่ดุจเดิมมา แต่เก่าก่อน
แต่นางนั้น ก็คร้านจะใส่ใจนัก นางต้องเร่งดึงตน เข้าสู่เบื้องหน้าของพระชนนี
"นางจะมีทีท่าเป็นพิรุธมิได้ พระชนนีล้วนทอดพระเนตรนาง ในสายพระเนตรมายาวนานตั้งแต่ครั้งที่ยังเยาว์วัย "
"พลาดแม้เพียงนิด ก็จะเกิดสิ่งใหญ่หลวงขึ้นได้ ในครานี้ นางคงจะได้พบกับองค์จักรพรรดิ อย่างชิดใกล้เสียเป็นแน่
สิ่งใดเล่า จะเกิดนับจากนี้ ป้ายถวายตัวจะถูกหยิบขึ้นมาหรือไม่ นางก็สุดรู้"
"คืนที่ถวายตัวของนาง คงเป็นความตายของตระกูลเหลียนทั้งสกุล "
ร่างงดงาม นำขบวนของคนในตำหนักตน เดินทางไปอย่างเจียมตน องครักษ์ตำหนักดำ มิคิดติดตามนางไปในสายพระเนตรพระชนนีให้เปล่าประโยชน์ มีเพียงขันทีและนางข้าหลวง ที่ถูกจัดไว้เพียงน้อยนิด รอคอยเวลานั้น ก็เพียงพอแล้ว
" เหตุที่ตำหนักของนาง มิมีผู้คนใช้สอย คงเพียงเพราะจะกลั้นแกล้งเย้าแหย่เจาอี๋ ตามประสาของพระชนนีกระมัง"
หากเจาอี๋นั้น รู้จักประจบประแจง พระชนนีก็คงส่งผู้คน เข้ามาให้ใช้สอย แต่นางคงยังมิรู้ความ พระชนนีจึงยังคงฝึกหัด ขัดเกลานางให้เป็นยอดคน
"หรืออาจเพียงแค่ใช้เป็นตัวประกันจริงๆก็เป็นได้ ผู้อื่นย่อมมิอาจรู้"
ร่างบางของเจาอี๋ นำขบวนเล็กๆเข้าไปในสวนดอกไม้ แม้ใจเป็นทุกข์ กลับมองดอกไม้แล้วฉีกยิ้มเบิกบาน นางมอง เพียงตัวตนนางในอดีต ชีวิตก็พลันชุ่มชื่นนัก
องค์จักรพรรดินั้น คราแรกมิใส่ใจนาง เพราะสตรีในวังหลวงมีมากมายดั่งดอกไม้บาน
แต่มิคาด ยามนางยิ้มเจิดจ้ามาแต่ไกล องค์จักรพรรดิคล้ายดวงตาพร่าเลือนไปเพียงครู่
จดจ้องนางอีกครา ใบหน้านั่นก็คือเหลียนมู่เหมียนเป็นแน่ ใบหน้าหวานมิเป็นรองผู้ใด ความสดใสของนางอยู่เหนือสตรีใดอื่น
ในคราที่ตั้งนางเป็นเจาอี๋ เพราะนางนั้นเหนือกว่าสตรีใดในวังหลัง มีพระชนนีเป็นผู้เกื้อหนุนนางอยู่
หากอยากควบคุมบิดานาง ย่อมต้องควบคุมนางเอาไว้เสียก่อน องค์จักรพรรดิมองนางอย่างมิวางตา บุบผางาม ล้วนมองเจาอี๋ ผู้มิเคยถวายตัวด้วยแววตาริษยาขึ้นมาแล้ว
"ถวายพระพรพระชนนี ขอทรงอายุยืนหมื่นๆปีเพคะ "
"ลุกขึ้นเถิดมู่เหมียน เจ้าเป็นเจาอี๋แล้วนะ ผ่านคืนถวายตัวไปแล้วหรือยัง"
มู่เหมียน แสร้งทำท่าเอียงอายและตอบบางเบา ใส่จริตลงไปน้อยๆ
"ยังมิผ่านคืนถวายตัวเพคะ"
"เช่นนั้นองค์จักรพรรดิ ท่านต้องสนใจนางบ้างแล้ว รู้หรือไม่ "
"พะยะค่ะเสด็จแม่ ลูกจะสนใจนางบ้างในคืนนี้ "
องค์จักรพรรดิส่งแววตากรุ้มกริ่ม มองเจาอี๋อย่างมีเลสนัย มู่เหมียนขนลุกซู่ เร่งหลุบตาต่ำลงทันใด
"นางหวาดกลัวสุดชีวิตในครานี้ จะทำเช่นไรเล่า ชีวิตของนางจึงจะรอดพ้นไปได้จากยามนี้"
งานเลี้ยง ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า บุบผางาม ร่ายรำงดงาม แสร้งผ่านหน้าพระพักตร์ไปอย่างมีจริต เจาอี๋ต้องร่วมร่ายรำกับสตรีทั้งหลายด้วย ยามต้องหมุนวนกันผ่านหน้าพระพักตร์ไป มิคาด เมื่อยามจะถึง นางถูกขัดขาจนล้มลง
องค์จักรพรรดิ ที่มองนางอย่างมิวางตา เร่งถลาลงพื้นไป นำเอาวรกายตนเองไปรับนางอย่างว่องไว ยามนางล้มลง ยอดอกนาง จึงเพียงแค่ตกลงที่แผงอุระหนาแน่น อกนางตกลงบนอกของบุรุษเพศ ใบหน้างดงามแนบชิดกับพระพักตร์หวานล้ำ ใจนางนั้น พลันเต้นเหมือนกลองศึก
ผู้คนหยุดนิ่งลืมหายใจ มิกล้าขยับกาย หรือก้าวเข้ามาพยุงร่างของคนทั้งสอง สุ่มสี่สุ่มห้า นางรำหยุดนิ่ง ขยับนั่งลง ก้มใบหน้านิ่ง พระชนนีจิบสุธารสชา ปรายตายิ้มน้อยๆ มองชมบุตรชายตน เกี้ยวพาราสีสตรีในบังคับของตน อย่างรื่นรมย์
"มู่เหมียนเจ้าบาดเจ็บหรือไมเล่า "
เสียงทุ่มนุ่มกระซิบที่ข้างหูนาง ร่างหนาขยับกายมาจับใบหน้านางเบาๆ แนบชิดใบหน้าที่ตรงหน้านาง มู่เหมียนตัวแข็งค้าง มิอาจขยับเขยื้อน องค์จักรพรรดิมองนาง ที่กำลังตื่นตกใจแล้วสรวลเบาๆ กดหน้าผากลงแนบกับหน้าผากนาง
"เงียบเช่นนี้ มิใช่หลงเสน่เจิ้นไปแล้วหรือเจาอี๋ "
มู่เหมียนหน้าแดงก่ำ ขยับกายเบาๆและก้มลงแนบพื้น องค์จักรพรรดิลุกขึ้นแล้วประคองนางมานั่งลงข้างๆตน แทนที่สตรีอื่น ที่ลุกออกมาร่ายรำ องค์จักรพรรดิจับมือนางน้อยๆ เจาอี๋ตกใจเร่งชักมือออกในทันใด
จ้าวเทียนฉินสรวลเบาๆ มองนางมิวางตา ยามนางชิดใกล้ กลิ่นกายนางหอมกรุ่น จ้าวเทียนฉินมือไม้รุ่มร่าม ดึงเส้นผมยาวสยาย เกือบระพื้นของนางมาจรดที่นาสิกตนเบาๆ ผู้คนนั่งนิ่งแข็งค้าง พระชนนีแสร้งทำเป็นมิทันทอดพระเนตรพบ แต่แอบสรวลในใจ
มู่เหมียน ยังมิทันรู้สึกตน กว่าจะทันพบว่าองค์จักรพรรดิดึงเส้นผมของนางไป ก็ยามที่นางขยับตัวอีกคราแล้ว คล้ายว่า มีผู้ดึงเส้นผมของนางไว้
นางจึงหันไปทันใด นาสิกโด่งคมจึงจรดที่แก้มของนางพอดิบพอดี มู่เหมียนตกตะลึง เสียงทุ้มนุ่ม กระซิบที่ข้างหูของนาง
"ราตรีนี้รอเจิ้นนะ"
เจาอี๋ตื่นตะลึง!!!!
การแสดงชุดต่อไปดำเนินไปเรื่อยๆ องค์จักรพรรดิสั่งคนนำสุรา มาแทนที่พระสุธารสชา นางจึงมีหน้าที่รินสุรา
ยามที่องค์จักรพรรดิ ทรงร่ำสุราไปเสียแล้ว พระชนนีจึงขยับลุก เสด็จกลับไปที่ตำหนักตน
สตรีในวังหลัง ล้วนถูกโบกมือให้ออกไปที่นอกสวนดอกไม้ องครักษ์ถอยออกไปถึงหกฉื่อเป็นอย่างน้อย มิพอเท่านั้น ทรงสั่งให้ขันทีนำผ้ามากางกั้น รอบสวนดอกไม้
ขันทีวิ่งอลหม่าน มู่เหมียน เหงื่อแตกออกมาเต็มฝ่ามือของนาง คล้ายนางนั้นรอคอยวันแห่งความตาย มาเยือนแล้วในยามนี้