หรือจะฆ่าไม่ตาย

1463 คำ
หลังจากที่เสร็จกิจในตอนเย็น ช่วงค่ำ ‘คุณวิลเลียม’ เลขาของคุณทิโมธีก็เข้ามานั่งคุยงานที่ห้องนั่งเล่น มีนาที่แต่งตัวใหม่เป็นชุดเดรสไหมพรมถักสีฟ้าอ่อนแขนยาวเสร็จแล้วได้ออกไปทักทายเขาตามมารยาท ก่อนจะกลับเข้ามารอในห้องนอนเพราะเหมือนพวกเขาจะคุยกันเรื่องสำคัญ เธอไม่ได้รู้เรื่องงานของเขานัก รู้เพียงว่าคุณทิโมธีทำธุรกิจที่ค่อนข้างจะเรียกได้ว่าสีเทา แถมเป็นเทาเข้มเสียด้วย ที่ไทยก็มีธุรกิจประเภทนั้นหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพวกสถานบันเทิง ทำทั้งในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา หัวหิน และภูเก็ต ระหว่างที่รอมีนาก็เอาชิ้นงานที่อาจารย์สั่งมาทำไปด้วยจนเสร็จไปสามงาน กระทั่งคุณวิลเลียมกลับไปเขาจึงได้ส่งข้อความมาบอกว่าคุณวิลเลียมกลับไปแล้ว ‘พี่ว่าจะสั่งอาหาร คุณมีนอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม มาดูเมนูด้วยตัวเองเลยครับ’ เห็นอย่างนั้นมีนาจึงเก็บงานที่เสร็จแล้วเข้ากระเป๋า ก่อนจะลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องนอนไป “หิวไหมครับ” พอเดินไปถึงหน้าโซฟาที่คุณทิโมธีนั่งอยู่ หญิงสาวก็หย่อนตัวนั่งลงบนพื้นที่ข้างกันกับเขา โดยมีแขนแกร่งโอบกอดช่วงไหล่แล้วดึงรั้งให้เอนเข้าไปพิงแผงอกหนา เธอโอนอ่อนเต็มที่ สายตาจ้องมองเมนูรูมเซอร์วิสของโรงแรม ก่อนจะจิ้มเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากกินมาสองสามอย่าง เป็นสเต๊กเนื้อปลา เครื่องเคียงเป็นหน่อไม้ฝรั่งผัดกับบัตเตอร์และผักอื่นๆ ช่วงเย็นแบบนี้เธอไม่อยากกินอะไรที่มันหนักท้องเพราะเดี๋ยวก็จะนอนแล้ว กินแบบนี้นอกจากจะนอนสบายแล้วยังได้รักษาหุ่นไปในตัว พอสั่งเสร็จเธอก็ยื่นเมนูไปให้คุณเขาสั่งต่อ ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายที่หน้าต่างกระจกบานกว้าง เหม่อมองไปยังทิวทัศน์ช่วงเย็นย่ำของกรุงเทพมหานคร และภาพรถรามากมายที่แน่นขนัดอยู่บนถนน มีนามายืนมองภาพจากมุมสูงแบบนี้ทุกวัน ไม่รู้ว่าทำไปทำไมแต่มันทำให้เธอรู้สึกไม่ว้าเหว่มากนัก ทำให้รู้สึกว่ายังมีผู้คนมากมายเบื้องล่างที่ต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง เพื่อชีวิตในเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวาย ไม่ได้มีแค่เธอที่สู้อยู่ตามลำพังอยู่ตรงนี้ “คุณมีน” ทว่าขณะที่กำลังยืนปล่อยใจอยู่แบบนั้นก็พลันได้ยินเสียงเรียกจากเขา มีนาหันกลับมาหาเจ้าของเสียงพลางเลิกคิ้วอย่างตั้งคำถาม “คะ?” “คุณมีนเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองไหมครับ ไกลจากโรงแรมนี้มากไหม” อันที่จริงเขาคงอยากถามว่าเธอเรียนมหาวิทยาลัยแถวไหน แต่เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่จึงถามเอาแค่พอตัวเองเข้าใจ “ไม่ไกลมากค่ะ” เพราะแบบนั้นเธอจึงตอบเขาไปว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนระดับกลางๆ ในกรุงเทพ เนื่องจากช่วงที่แอดมิชชั่นตัวเธอและพี่สาวไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าสอบต่างๆ ได้ทัน แถมเธอกับพี่ก็ทำงานไปเรียนไป เกรดที่ได้ก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก กิจกรรมก็ไม่ได้ทำขนาดที่จะยื่นรอบพอร์ตได้ รอบสอบตรงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ครั้นจะเข้าเรียนสถาบันรัฐที่ไม่ต้องสอบก็กลัวว่าจบออกมาแล้วจะมีปัญหา ครั้นจะเรียนมหาวิทยาลัยเปิดมีนาก็รู้ดีว่าตนไม่ได้เก่งขนาดนั้น เธออาจไม่จบในสี่ปี ไม่มีวุฒิปริญญาตรีมาหางานเงินเดือนสูงๆ แม้ว่าจะทำให้การทำงานมันสะดวกมากก็ตาม เธอและพี่คิดกับตามประสาเด็กที่สมบัติของพ่อแม่ร่อยหรอจนแทบไม่เหลือแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ และถลำลึกมาจนถึงปีสอง พอเรียนมาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ไม่อยากทิ้งเงินที่เสียไป สุดท้ายจึงต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว หากวันนั้นพี่สาวไม่ป่วยเธอก็คงยังทำงานพาร์ทไทม์เหมือนกันกับสุดที่รัก แต่พอพี่ป่วยจึงได้มารู้จักการหาเงินในทางนี้ และถลำลึกกับมันมาเกือบสองปีถึงอย่างนั้นก็ยอมรับ ว่ามันทำให้ชีวิตเธอลำบากน้อยลงมากจริงๆ “โอเคครับ” เมื่อเธออธิบายให้เขาฟังจนเข้าใจแล้ว คุณทิโมธีก็พยักหน้าตอบรับ เขาไม่ได้ว่าอะไรต่อแต่กลับกดโทรศัพท์แล้วยกขึ้นมาแนบหู โทรหาใครสักคนที่มีนาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ไร้ซึ่งคำอธิบาย เขาปล่อยเธอยืนค้างอยู่ที่เดิมกับความไม่เข้าใจ ครั้นจะเอ่ยปากถามตอนนี้เขาก็เริ่มคุยกับอีกฝ่ายเป็นเรื่องเป็นราวเสียแล้ว สุดท้ายมีนาก็ต้องพับเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ก่อน แล้วหันกลับมามองวิวเบื้องล่างเช่นเดิม แต่ถึงหันมาแล้วเธอก็ยังเงี่ยหูฟังอยู่บ้าง ทว่าคุณทิมกลับพูดเสียงเบาเกินกว่าที่เธอะแอบฟังได้ มีนาได้ยินแค่เป็นคำๆ ว่าเขากำลังพูดถึงคอนโดหรืออะไรสักอย่าง ถึงจะสามารถเอามาปะติดปะต่อกันได้อยู่บ้างแต่ก็ยังไม่แน่ใจ “คุณมีนครับ” “ขาแด๊ดดี๊” สุดท้ายจึงรอจนเขาคุยโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อย พอคุณทิโมธีเรียกหาจึงได้หันกลับมาขานรับ ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามให้มันไม่ดูโอเว่อร์เหมือนรู้ หรือกำลังตั้งความหวังกับอะไรมากเกินไป เพราะหากจะให้ถามไปตามตรงเธอก็ไม่กล้าถามเขาหรอก ใครจะไปกล้าถามว่าเขาจะมาจริงจังด้วยหรือไม่ ในขณะที่เราสองคนเจอกันในช่วงเวลาแบบนี้ “มาหาพี่หน่อยครับ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ได้ยินอย่างนั้นมีนาก็เดินกลับไปหย่อนตัวนั่งลงในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งอย่างเชื่อฟัง กายสาวหอมละมุนอิงแอบออดอ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสวยเองก็ช้อนมองเขาอย่างตั้งใจเต็มที่ “มีอะไรเหรอคะ” ใช่ มันคือวิธีการโปรยเสน่ห์ เพราะลุ้นๆ อยู่ในใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราหรือไม่ เนื่องจากเขาก็พูดเป็นนัยๆ มาหลายครั้ง เพราะแบบนั้นเธอจึงตั้งใจใช้ทั้งคำพูด ภาษากาย และสายตาดึงรั้งขาของเขาให้ตกลงมาในเหวลึก เวลาเกือบสองปีที่อยู่ที่นั่น สามครั้งที่มีผู้ชายรวยมารับเลี้ยง ประสบการณ์พวกนี้ทำให้เธอได้รู้ว่ามารยาหญิงมันได้ผลกับผู้ชายทุกคน เพียงแค่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและไม่หลงระเริงเกินไป “อีกสามวันหลังจากนี้คุณมีนมีเรียนไหมครับ” “มีตัวเดียวค่ะ ช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้แล้วอีกสองวันก็ว่างเลย” แน่นอนว่าเธอโกหก พรุ่งนี้มีเรียนตัวเดียวก็จริงแต่อีกวันไม่ได้ว่าง เธอมีเรียนแต่มันยังพอจะขาดได้อยู่ ฝากเพื่อนคนอื่นช่วยติดตามงานแล้วค่อยไปส่งย้อนหลังเอาก็ยังไม่สาย การเรียนสำคัญแต่หากขาดแหล่งเงินไป จะเรียนให้ตลอดรอดฝั่งคงยาก “งั้นก็ดีครับ พี่เสร็จงานแล้วว่าจะพักผ่อนปาร์ตี้ก่อนกลับสักหน่อย อยากให้คุณมีนไปด้วย ถ้าหนูมีเรียนแค่ช่วงเช้าวันพรุ่งนี้เราก็ค่อยไปช่วงเย็น กลับมาจะได้พักสักหน่อย” “ไปไหนเหรอคะ” “ในกรุงเทพนี่แหละครับ ไปเจอเพื่อนคนไทยที่พี่เคยเล่าให้ฟังด้วย” จะไม่พาเธอไปขายต่อหรอกใช่ไหม นี่คือสิ่งที่มีนาคิด เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ทว่าคิดไปคิดมาก็พลันคิดได้ว่าผู้ชายอย่างเขาคงอยากเอาเด็กไปโชว์ บางทีเขาอาจจะชวนไปเพื่อดูว่าเธอจะเข้ากับไลฟ์สไตล์แค่ไหน เทียบกับเด็กๆ ของเพื่อนได้หรือไม่ เดินเคียงข้างกันที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่บาร์ของโรงแรมแล้วภาพลักษณ์จะเป็นอย่างไร ถ้าไปแล้วเป็นที่พึงพอใจเราก็คงจะได้สานต่อกันง่ายขึ้น และถ้าสานต่อกันได้ มันก็หมายความว่าการเดินทางของเธอมันก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง ฝันที่จะได้ออกไปจากวงการนี้ จะได้เรียนจบและหลุดพ้นจากการเป็นคนจนปากกัดตีนถีบเสียที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม