หลินอวี้เจินยกมือใช้ปลายนิ้วชี้ที่ปากแล้วค่อยๆ ขยับออกเสียง
“ข้าอ่านปากได้ น้องชายค่อยๆ พูดเถิด”
“พะ...พี่...พี่...สาว”
“เก่งมาก” นางกล่าวชม “พี่สาวขอนั่งด้วยได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ หลินอวี้เจินจึงเดินอ้อมมานั่งที่เก้าอี้ว่าง
“เจ้าวาดเองหมดนี่หรือ เก่งจริง”
กัวอี้เซียวไม่มีใครเอ่ยชมหรือสนใจ รู้สึกดีใจจนใบหน้าแดง เขายื่นมือมาหยิบภาพวาดของตนให้นางดู หญิงสาวเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนน้ำหมึก จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดใบหน้าให้เขาอย่างใจเย็น
“เมื่อวานข้าชนเจ้าหกล้ม วันนี้ของสิ่งหนึ่งมามอบให้แทนคำขอโทษ” นางเอ่ยแล้วส่งกล่องของขวัญส่งให้กัวอี้เซียว เด็กหนุ่มเบิกตาโตแล้วรีบเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทีแรกเขาทำท่าจะหยิบของในกล่องออกมา แต่กลับชะงักแล้วถูกมือที่เลอะคราบหมึกกับเสื้อที่สวมอยู่ก่อนจะหยิบสมุดภาพในกล่องออกมา
“แอบบอกเจ้า นี่ฝีมือข้าเอง ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่อยากเอามาอวดเจ้า” นางชวนคุย น้ำเสียงของนางหวานใสทำให้คนฟังได้ยินราวกับนางกำลังขับร้องบทเพลง
“ข้า...ชอบ...”
กัวอี้เซียวพลิกดูอย่างตั้งใจ ราวกับจมดิ่งในสมุดภาพของนาง นางมักบันทึกเรื่องราวเป็นรูปวาดง่ายๆ บิดามักส่ายหน้ากับรูปวาดของนาง แต่เมื่อนางนำไปใช้สอนเด็กๆ พวกเขามักชอบและหัวเราะกับฝีมือวาดภาพเหล่านี้ เห็นหมึกที่เปื้อนเปรอะตามเนื้อตัวของเด็กหนุ่มแล้ว นางกลั้นเสียงหัวเราะ คงเพราะกัวอี้เซียวเป็นน้องชายใต้เท้ากัว จึงมีเงินละเลงหมึกเล่นเช่นนี้เป็นแน่
หญิงสาวอยู่สนทนากับเด็กหนุ่มเพลินจนลืมเวลา เสียงหัวเราะหวานใสดังเป็นระยะๆ จนกระทั้งหวังหมิ่นเดินเข้ามาตามนางเพื่อกลับบ้าน
“พี่สาวขอตัวกลับก่อนนะ”
กัวอี้เซียวมีสีหน้าหม่นลงเล็กน้อยแต่พยักหน้ารับรู้
“โอกาสหน้าพี่สาวจะมาเล่นด้วยใหม่” นางยังคงยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน เมื่อเดินออกมาพ้นแล้ว จึงเอ่ยถามหวังหมิ่น
“พี่หวังหมิ่นหายไปไหนมา”
“บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ คนของใต้เท้ากัวมิให้บ่าวติดตามมาจนกระทั่งเมื่อครู่มีคำสั่งให้บ่าวเชิญคุณหนูกลับเจ้าค่ะ”
“เชิญกลับ? ไล่กลับละไม่ว่า” หลินอวี้เจินบ่นพึมพำ นางเดินออกมานอกจวนใต้เท้ากัวแล้ว หวังหมิ่นไม่ต้องการให้คุณหนูต้องเดินไปถึงจุดจอดรถม้าจึงบอกให้นางยืนรอด้านนอกแล้วรีบเดินเร็วๆ ออกไป
แต่หลินอวี้เจินกลับเดินไปเงียบๆ นางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคุณหนู ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้อื่น แค่เดินไม่กี่ก้าวเหตุในนางจะเดินไปเองไม่ได้เล่า ขณะที่ก้าวเท้าตามแผ่นหลังของหวังหมิ่น นางรู้สึกเหมือนถูกผลักไปด้านข้างเข้า มือใหญ่มารัดเอวลากนางเข้าไปในตรอกเล็กๆ
“ว้าย!”
ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อร่างเล็กถูกผลักประชิดกำแพงตึก ก่อนที่นางจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็ตะปบเข้าที่ปากของนางเสียก่อน
“บอกมา! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!!!”
บุรุษในชุดดำทมิฬขู่ตะคอก แม้จะมีผ้าสีดำปิดครึ่งหน้าและโพกศีรษะของเขาอยู่ แต่แววตาชิงชังที่จ้องมองทำให้หลินอวี้เจินหวาดกลัว นางส่ายหน้าไปมาทำให้อีกฝ่ายลดมือคงแต่เลื่อนมาที่ลำคอพร้อมจะบีบให้แหลกค่ามือในทันที
“เจ้า...เจ้าพูดเรื่องอะไร...ข้า...ข้าไม่รู้”
“อย่ามาตีหน้าซื่อ! สารภาพมาก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน!” เขาออกแรงเพียงนิดเดียวหญิงสาวก็ปวดร้าวไปทั่วลำคอ
“ข้าไม่รู้! เจ้าจำคนผิดแล้ว!”
“ทำไมข้าจะจำหน้าคนสกุลหลินไม่ได้”
“!”
หลินอวี้เจินพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาของความหวาดกลัวไหลออกมา
“ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”
ชายในชุดดำหัวเราะในลำคอ “อย่าคิดว่าข้าจะเชื่อในสิ่งที่พูด”
“ปล่อยข้านะ!”
“คุณหนู! คุณหนูหลินเจ้าค่ะ!”
เสียงหวังหมิ่นตะโกนเรียกทำให้บุรุษในชุดดำชะงักไป เขาปล่อยมือจากลกคอของนางแล้วกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางหอบหายใจแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมอก
“คุณหนู!” หวังหมิ่นตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาเขาประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืน “คุณหนูมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”
“เมื่อครู่...” หลินอวี้เจินพูดตะกุกตะกักแต่พอเหลียวมองรอบข้างก็ไม่เห็นชายในชุดดำคนนั้นแล้ว
“คุณหนูหลงทางหรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นโอบหญิงสาวมากอดและปลอบโยน
หลินอวี้เจิงพยายามจะอธิบายแต่นางรู้สึกหวาดกลัวหนักขึ้น
“ตัวสั่นเชียว...คุณหนูคงเสียขวัญมากเลย รีบกลับบ้านเถิดเจ้าค่ะ”
หวังหมิ่นประคองหญิงสามออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น แต่หลินอวี้เจินอดเหลียวมองไปอีกครั้งไม่ได้ แววตาเมื่อครู่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญเป็นแน่ราวกับว่ามีความแค้นที่ยากจะให้อภัย
แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องอะไรกัน!
...................
ในที่สุดหลินเหิงอี้ก็ล้มป่วยจริงๆ
หลินเหิงอี้เป็นคนแข็งแรงแทบไม่เคยล้มป่วยเลย แต่คราวนี้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ โชคดีที่พ่อบ้านหานตงกลับมาจากไปฝั่งศพมารดาและยังมีหลินอวี้เจินที่คอยดูแลกิจการแทนหลินเหิงอี้ชั่วคราว
“ไม่ได้พบคุณหนูนานแล้ว สบายดีหรือขอรับ” พ่อบ้านหานตงทักทาย เขาเคยพบหญิงสาวหลายครั้ง ด้วยบางคราวหลินเหิงอี้ใช้ให้เขาไปทำธุระที่จู้หยาง
“ข้าสบายดี” นางส่งยิ้มเล็กน้อย
“โชคดีที่มีคุณหนูอยู่ดูแลงานต่างๆ แทนนายท่าน” แม้เคยพบกันไม่บ่อยครั้ง แต่เคยอธิบายเรื่องการค้าขายกับนาง หญิงสาวเป็นคนหัวไว อธิบายเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจ และแม้บิดาจะเป็นอาจารย์สั่งสอนศิษย์ในสำนักศึกษาของตนเอง แต่สำหรับหลินอวี้เจินนั้นมีชอบการค้าขาย นายเคยแต่งกายเป็นชายมายืนเคียงข้างหลินเหิงอี้เพื่อดูคนงานขนถ่ายสินค้า
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เหลือบตามองท่านลุงใหญ่ที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา แม้มีบ่าวไพร่คอยรับใช้แต่ก็เหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีภรรยาหรือบุตรอยู่เคียงข้าง ยามเจ็บป่วยอยู่ไกลบ้านเช่นนี้ช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถิด พี่หวังหมิ่น รบกวนดูท่านลุงใหญ่แทนข้าด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
พ่อบ้านหานตงเดินออกมาพร้อมกับหลินอวี้เจิน หญิงสาวเดินมาถึงห้องทำงานของท่านลุงใหญ่ พ่อบ้านรอจนเด็กรับใช้นำน้ำชาเข้ามาแล้วออกไปแล้วจึงเอ่ยกับหญิงสาว
“ดีจริงที่ครั้งนี้มีคุณหนูอยู่ที่นี่”
“ท่านลุงใหญ่เคยล้มป่วยมาเช่นนี้มาก่อนหรือไม่” นางถามเพราะปกติท่านลุงใหญ่ไม่ค่อยได้กลับไปจู้หยาง แต่ทุกครั้งที่พบหน้าก็ไม่เคยเห็นแววอ่อนล้าเช่นนี้ แม้ท่านหมอจะแจ้งว่าล้มป่วยครั้งนี้เพราะโหมงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว แต่หลินอวี้เจินอดกังวลไม่ได้ว่าจะมีโรคแทรกซ้อน คนไม่เคยล้มป่วย เมื่อเจ็บป่วยครั้งหนึ่งมันทรุดลงหนักและรักษาหลายวัน นางจึงสั่งให้คนเชิญหมอมาตรวจอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“ไม่มีขอรับ อาจมีอ่อนเพลียบ้างแต่ไม่เคยถึงกับล้มป่วยเช่นนี้” พ่อบ้านหานตงก็กังวลใจไม่แพ้กัน
“ดีแล้วที่พ่อบ้านกลับมาพอดี ข้าคนเดียวเกรงจะดูแลกิจการแทนท่านลุงใหญ่ไม่ไหว”
นางได้แต่โคลงศีรษะไปมา หากไม่ได้มานั่งดีดลูกคิดทำบัญชีซื้อขายด้วยตนเอง นางคงไม่รู้ว่าท่านลุงมีเงินมากเพียงใด มิน่าเล่าท่านลุงรองถึงพยายามให้ท่านลุงใหญ่แต่งงานใหม่กับญาติทางฝั่งภรรยาของท่านลุงรอง ซ้ำยังเพียรส่งหญิงสาวมาปรนนิบัติรับใช้ แต่ท่านลุงใหญ่ปฏิเสธไปเสียหมดสิ้น แท้จริงกิจการของลุงรองนั้นเป็นของท่านลุงใหญ่ทั้งหมด ท่านลุงรองเพียงแค่ดูแลคุมสาขาทางจู้หยางเท่านั้น