บทที่5. แปลกใจ

1459 คำ
หลินอวี้เจินเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีคนช่วยเหลือแล้ว นางจึงถอยออกห่าง  แต่ไม่คิดว่าเพียงนางก้าวออกมาได้สองก้าว  ชายร่างสูงโปร่งผู้นั้นกลับตวัดตามองมาทางนาง  ทำเอานางต้องหยุดชะงักไป             “เจ้า?”             หญิงสาวออกจะแปลกใจกับสายตาของชายเบื้องที่จ้องมองราวกับเคยพบกันมาก่อน ทว่าเพียงกะพริบตา ดวงตาคมคู่นั้นกลับมองนางอย่างเย็นชา  เช่นเดียวกับประโยคที่เขาเอ่ย             “ชนคนล้มไม่คิดจะขอโทษหรือไร”             หญิงสาวอ้าปากจะโต้เถียง แต่นึกได้ว่าเมื่อครู่นางยังไม่ได้กล่าวคำขอโทษจริงๆ จึงหุบปากแล้วสบตากับเด็กหนุ่มที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว  นางคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเสียงกังวานใส             “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”             “อืม”  เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ             “เจ้าเจ็บที่ใดบ้าง ต้องการไปหาหมอหรือไม่”  นางถามไม่ได้สนใจสายตาดุดันที่จ้องมองนาง  สาวเท้าเข้าไปสำรวจร่างกายของเด็กหนุ่ม ส่งยิ้มเอ็นดูประหนึ่งมองเด็กน้อยคนหนึ่ง   เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา นอกจากมารดาที่ตายจากไปนานแล้วก็ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน   หลินอวี้เจินสำรวจตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่า  อีกฝ่ายไม่มีบาดแผลใดจึงโล่งอก นางเงยหน้าขึ้นพลันปะทะกับสายตาคมกริบที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว   รอยยิ้มบนใบหน้าของของหญิงสาวจางไป นางปั้นสีหน้าสงบนิ่งขึ้นมาแทนที่แล้วย่อตัวคารวะลงอย่างอ่อนช้อย  นางไม่อยากช้อนตามองอีกฝ่าย แต่เพราะบุรุษที่ยืนตรงหน้ารูปร่างสูงมากกว่านางนัก  เสื้อผ้าอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำยิ่งขับเน้นให้เขาดูงามสง่ามากยิ่งขึ้น นางคาดเดาว่าเขาคงเป็นบุรุษจากตระกูลขุนนางใหญ่               “ข้าน้อยขออภัย ไม่ทันระวังจึงทำให้คุณชายท่านนี้หกล้ม”             แม้น้ำเสียงและการแสดงออกอ่อนน้อมแต่แววตาของนางนั้นกลับตรงข้ามเด่นชัด แต่เขาซึ่งเป็นบุรุษจะหาเรื่องโกรธเคืองรังแกผู้อื่นด้วยเรื่องแค่นี้คงกระไรอยู่  ขยับปากยังไม่ทันเอ่ยสำครึ่งคำ มือผอมแกร็นของน้องชายต่างมารดาก็ยื่นมาจับปลายนิ้วแล้วกระตุกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มต้องละวางความขุ่นข้องในใจลง             “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัว”   นางถอยหลังก้าวออกมาช้าๆ ทว่าจังหวะที่เดินผ่านเด็กหนุ่มนั้น นิ้วมือของนางถูกคว้าไว้ก่อนทำให้นางหันกลับมามองอย่างงุนงง  แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้นชวนให้หัวใจอ่อนยวบเสียเหลือเกิน             เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงกลาง มือข้างหนึ่งจับปลายนิ้วของพี่ชายใหญ่ อีกข้างจับปลายนิ้วของหญิงสาวแปลกหน้าด้วยรู้สึกเชื่อใจและไว้ใจ             “อี้เซียว อย่าเสียมารยาท”             เด็กหนุ่มทำตาละห้อยแล้วยอมปล่อยมือหญิงสาวอย่างอาลัย  นางสงสารเด็กหนุ่มเหลือเกินแต่กระนั้นนางก็ก้าวเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง  เมื่อเท้าที่สวมรองเท้าปักลายดอกไม้ก้าวพ้นธรณีประตูก็พบหวังหมิ่นที่ยืนกระสับกระส่ายรออยู่ก่อนแล้ว             “คุณหนู”  นางยื่นมือไปคว้าข้อมือเรียวงามกึ่งลากกึ่งจูงให้รีบเดินออกมาโดยเร็ว             “เป็นอะไรไปพี่หวังหมิ่น”  นางยื้อข้อมือตัวเองกลับมา แต่เกรงว่าเรี่ยวแรงตัวจะทำให้แม่บ้านของลุงใหญ่ล้มกลิ้งอยู่ข้างทาง จึงยอมเดินตามไปจนถึงจุดที่จอดรถม้าอยู่             “บุรุษผู้นั้นคือคนที่พวกเราจะลวงเกินไม่ได้เจ้าค่ะ”  หวังหมิ่นประคองหญิงสาวขึ้นรถม้า เมื่อตนตามขึ้นไปแล้วก็สั่งสารถีออกรถทันที  “เมื่อครู่ข้ากลัวมากจนขยับเท้าไปช่วยคุณหนูไม่ได้เลย”             “เขาเป็นใครรึ”   นางไม่ได้สนใจบุรุษหน้าตาดุดันคนนั้นนัก คนที่นางใส่ใจคือเด็กหนุ่มแววตาชวนสงสารต่างหาก             “ใต้เท้ากัวจื่อหราน เจ้าเมืองตันหยางเจ้าค่ะ”             หลินอวี้เจินไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก นางเพียงร้องอ้อในคอเบาๆ เป็นเชิงรับรู้แล้ว เอ่ยถาม “เด็กหนุ่มที่ข้าชนล้มเล่า”             “น้องชายต่างมารดาของใต้เท้ากัว ชื่อกัวอี้เซียว ตอนเจ็ดขวบถูกโจรลักพาตัว ท่านเจ้าเมืองนำทหารออกปราบโจรชั่วช่วยคุณชายกัวอี้เซียวกลับมาได้  ทว่าเขากลับไม่ปกติ  ได้ยินว่าตอนนั้นท่านเจ้าเมืองประกาศเชิญหมอมารักษา แต่ไม่มีผู้ใดรักษาได้เจ้าค่ะ”             “ดูจากรูปร่างผอมบางของเขาแล้ว อายุน่าจะราวๆ สิบสามหรือสิบสี่ใช่หรือไม่”             “อายุสิบสี่แล้วเจ้าค่ะ”             “เช่นนั้นคงประสบเรื่องราวสะเทือนใจจนทำให้จิตใจปิดกั้นทุกสิ่ง เมื่อร่างกายและจิตใจไม่สัมพันธ์กันจึงส่งผลให้ร่างกายกับสติปัญญาไม่ประสานกัน”             “คุณหนูรู้เรื่องการแพทย์หรือเจ้าคะ”  หวังหมิ่นทำตาโต             “เปล่า”  นางส่ายหน้าไปมาแล้วหัวเราะเบาๆ “ข้าแค่ชอบอ่านหนังสือ เลยคาดเดาจากสิ่งที่คุณชายน้อยเป็นอยู่”             “แล้วอาการเช่นนี้จะรักษาหายหรือไม่เจ้าค่ะ”             “โรคทางใจต้องใช้ใจรักษา”  นางยิ้มเศร้าออกมา เช่นเดียวกับนางที่ต้องใช้เวลารักษาบาดแผลในใจ “หากดูแลดีๆ ก็อาจจะกลับมาเป็นปกติได้”             เพราะเจอเรื่องราวไม่คาดฝัน หวังหมิ่นแนะนำกึ่งขอร้องให้หลินอวี้เจินกลับมาที่บ้านพักก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยออกไปเยี่ยมชมใหม่  หญิงสาวไม่ต้องการทำให้หวังหมิ่นลำบากใจจึงยอมทำตาม             “จริงซิ เมื่อครู่ข้ายืนดูรูปวาดอยู่ภาพหนึ่ง ภูเขาสูงตระหง่าน ธารน้ำตาใสเป็นทิวทัศน์ที่งดงามงามมาก ไม่ทราบว่ามีสถานที่นั้นในตันหยางหรือไม่”             “รูปที่คุณหนูยืนมองนานๆ รูปนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ได้ยินว่านอกเมืองมีทัศนียภาพที่งดงามนัก เศรษฐีหรือขุนนางที่ร่ำรวยมักปลูกบ้านพักที่นั้นไว้พักผ่อนหย่อนใจเจ้าค่ะ”             หลินอวี้เจินพยักหน้ารับ ไม่นานรถม้ากลับมาถึงบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเหิงอี้กลับจากเจรจาซื้อขายหนังกวาง เขาไม่ได้ว่ากล่าวอะไร  หากหลานสาวจะออกไปนอกบ้านบ้างเพราะหวังหมิ่นติดตามไปด้วย  อาจเพราะเติบโตในตระกูลชาวนามาก่อน  แม้เป็นผู้หญิงแต่หากไม่ทำอะไรวันๆ เอาแต่เก็บตัวในห้องก็พาลจะอดตายเอาเสียก่อน  เขาจึงไม่แปลกใจที่ครั้งนั้นเขาให้หลานสาวดูแลกิจการร้านขายผ้าของเขา โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของน้องชายคนรอง  ซึ่งหลินอวี้เจินก็ทำได้ดีแม้นางจะอายุยังน้อย อาจเพราะเป็นร้านขายผ้าเล็กๆ ก็เป็นได้ การดูแลจึงไม่ยุ่งยากอันใดนัก             “ท่านลุงใหญ่” นางเอ่ยทักพลางมองเกวียนที่บรรทุกหนังกวางทยอยลำเลียงเข้ามาเก็บในโรงเก็บสินค้า “มีอะไรให้หลานช่วยหรือไม่เจ้าคะ”             “ถ้าอยากช่วยค่อยมาช่วยลุงตรวจบัญชีตอนเย็นก็แล้วกัน”  หลินเหิงอี้ยิ้มให้หลานสาว กลับมาบ้านแล้วมีคนรอที่บ้านนี่มันรู้สึกดีจริงๆ             “ท่านลุงใหญ่ พรุ่งนี้วันเกิดท่านเจ้าเมือง ท่านเตรียมของขวัญเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ”  ความจริงนางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้นัก แต่เห็นท่านลุงใหญ่ทำงานยุ่งทั้งวันเกรงจะลืมจึงเอ่ยเตือน             “เตรียมแล้ว แต่ฐานะอย่างเราไม่มีของมีค่าใดนักหรอก”  หลินเหิงอี้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย             “ถ้าข้าจะรบกวนท่านลุงใหญ่นำของฝากของข้าไปด้วยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”             “หืม? อะไรหรือ?”   แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็นับเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาเองก็เห็นบรรดาหญิงสาวในตันหยางหลงใหลได้ปลื้มกับท่านเจ้าเมืองที่ยังไม่แต่งภรรยากันแทบทั้งสิ้น แต่ไม่คิดว่าหลานสาวตัวเองก็จะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย             “ของเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”  หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน หวังหมิ่นรอจนหญิงสาวเดินหายไปลับตาแล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หลินเหิงอี้ฟังอย่างละเอียด             หลินเหิงอี้ได้แต่ขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด หรือหลานสาวของเขาจะเป็นเช่นเดียวกับสตรีในเมืองตันหยางเสียแล้ว      
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม