มองจากหน้าต่างชั้น 2 ของตึก เหตุการณ์ตรงซอยเปลี่ยวที่มีไฟส่องสว่างแค่ดวงเดียวกำลังเป็นที่สนใจของฉัน รถมอเตอร์ไซค์หกคันจอดล้อมรถเก๋งคันหนึ่ง มอเตอร์ไซค์ทั้งหกคันมีคนซ้อนมาด้วยทุกคัน เท่ากับหนึ่งคันมีสองคน มอเตอร์ไซค์หกคันก็มีสิบสองคน
คนนั่งมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งลงจากรถพร้อมไม้เบสบอลในมือ เขาเดินมาหยุดที่ข้างคนขับ ใช้ไม้เบสบอลเคาะที่กระจกรถ แล้วพูดอะไรสักอย่าง คงจะบอกให้เปิดประตูลงมามั้งนะ ฉันเดาเอาล้วน ๆ
ดูท่าแล้วเหมือนคนในรถเก๋งจะไม่เปิดออกมา ผู้ชายที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อีกคันจึงเดินมาแล้วกระโดดขึ้นไปเหยียบหน้ากระโปรงรถ และใช้เหล็กยาวเท่าแขน อืม ฉันมองว่ามันเป็นเหล็กนะ เขาใช้เหล็กที่ถือมาด้วยฟาดไปที่กระจกหน้ารถสามครั้ง จนกระทั่งกระจกแตกละเอียดยิบ พวกที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์เริ่มลุกมายืนล้อมรถเก๋ง
ผู้ชายคนที่ฟาดเหล็กนั่งยอง ๆ บนฝากระโปรงมองเข้าไปด้านในแล้วหัวเราะใส่คนในรถ พิจารณาจากตัวเขาที่สั่นโยก จากนั้นคนถือไม้เบสบอลก็ตั้งท่าวอร์มก่อนจะฟาดไม้เบสบอลไปที่กระจกของประตูรถสี่ที กระจกรถก็แตกละเอียด คนด้านในคงจะโดนเศษกระจกกระเด็นใส่ไม่น้อย
และคราวนี้ประตูรถก็ถูกเปิดออกด้วยมือของผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้น ผู้ชายที่ยังอยู่บนฝากระโปรงใช้เหล็กยื่นเข้าไปด้านในตรงคนขับ อีกทั้งคนที่ยืนล้อมอยู่ด้านนอกก็พากันกระโดดถีบใส่รถเก๋งอย่างบ้าระห่ำ ทำให้คนขับรถต้องลงมาจากรถอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นคนขับเคราะห์ร้ายก็โดนถีบให้ล้มลงกับพื้น คนถือไม้เบสบอลฟาดลงที่กลางหลังของคนเคราะห์ร้ายสองทีทำให้เขานอนราบกับพื้นถนน ต่อจากนั้นพวกคนที่เหลือก็พากันรุมกระทืบกันอย่างสนุก
หมาหมู่ชัด ๆ ทำคนไม่มีทางสู้
ผ่านไปห้านาทีเหมือนผู้ชายเคราะห์ร้ายจะมีโอกาสรอดนะเพราะมีไฟรถสาดส่องเข้ามาในซอยมืดตรงนั้น น่าจะไม่ตายแหละ มีคนเห็นเหตุการณ์ไง วัยรุ่นกลุ่มนั้นคงจะกลัวบ้าง ทว่าถ้าไม่อยากยุ่งก็คงขับผ่านโดยไม่สนใจเหมือนฉันที่ยืนดูโดยไม่คิดจะแจ้งความ แต่รถคนนั้นจะผ่านทางไปได้ยังไงในเมื่อรถมอเตอร์ไซค์และรถเก๋งจอดขวางเอาไว้หมด
รถเก๋งที่มาใหม่คันนั้นจอด ประตูรถเปิดชายร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีกรมหรือไม่ก็น่าจะสีดำ กางเกงสามส่วนที่อยู่ประมาณหัวเข่า ตรงแข้งข้างขวามีรอยสักรูปอะไรสักอย่าง เขาสวมชุดกันฝนด้วยเหรอ น่าจะคล้ายชุดกันฝนอ่าแหละ มันเป็นพลาสติกสีใสคลุมทั้งตัวเขา เขาออกมาจากรถยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าประมาณสองนาที แล้วเดินมายังที่เกิดเหตุ ในมือของเขาถือดาบซามูไรเงาวับสะท้อนเข้ากับดวงตาของฉัน อ่า ชายเคราะห์ร้ายคงจะเคราะห์ร้ายจริง ๆ อะนะ เพราะหมาหมู่ตรงนั้นหลีกทางให้ชายใส่ชุดกันฝน ใส่ทั้งที่ฝนไม่ได้ตกลงมาสักหยด ท่าจะบ้า
สองคนในกลุ่มหมาหมู่หิ้วปีกชายเคราะห์ร้ายขึ้นมาคุกเข่าตรงหน้าชายถือดาบซามูไร ชายถือดาบซามูไรยืนมองก่อนจะใช้ดาบลากไปทั่วร่างกายของชายเคราะห์คนนั้นพร้อมพูดอะไรสักอย่างที่ดูใจเย็น ฉันคาดเดาจากท่าทางของเขานะ ชายเคราะห์ร้ายตอบบางอย่างกลับมา ชายถือดาบมองเข้าไปในรถเก๋งที่สภาพเละจากนั้นชายถือดาบจึงยกดาบซามูไรของเขาไปที่ต้นคอของชายเคราะห์ร้ายแล้วพูดบางอย่างออกมา จากนั้นก็…
ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกหายใจติดขัด เมื่อเห็นเลือดสด ๆ พุ่งออกจากลำคอของชายเคราะห์ร้ายคนนั้น ดาบซามูไรเล่มนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ไม่ต่างจากชายถือดาบที่ตอนนี้เนื้อตัวมีแต่เลือดที่พุ่งออกจากต้นคอของชายเคราะห์ร้าย ร่างของชายเคราะห์ร้ายถูกยัดกลับเข้าไปในรถ แต่เป็นเบาะด้านหลัง
คราวนี้คนถือเหล็กลงจากฝากระโปรงรถพร้อมกับควักผ้าออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วเช็ดเลือดที่เปื้อนดาบออกให้ชายถือดาบ ชุดพลาสติกในตัวชายถือดาบถูกถอดออกแล้วโยนเข้าไปในรถเก๋งของชายเคราะห์ร้ายด้วยฝีมือของคนถือไม้เบสบอล พวกเขาคุยอะไรกันสักอย่างแล้วชายถือดาบก็เงยหน้าขึ้นฟ้าประมาณหนึ่งนาที ทำหน้าเหมือนสำนึกผิดซะงั้น แล้วเขาก็ถือเอาดาบของเขาก่อนจะหันมาสบตากับฉันที่ยืนมองในมุมมืดซึ่งเขาไม่น่าจะเห็นฉันหรอก ฉันแค่คิดไปเอง ชายถือดาบเดินกลับไปที่รถของเขาและถอยรถขับออกไป
จากนั้นหนึ่งในกลุ่มหมาหมู่เปิดประตูฝั่งตรงข้ามกับคนขับ ไม่นานนักก็มี…
“เนลได้เวลาขึ้นเล่นแล้ว” ฉันละสายตาจากเหตุการณ์ตรงนั้นเมื่อรุ่นพี่ในวงเรียก
“ค่ะ ๆ” ฉันรีบเดินออกจากห้องพักของนักดนตรีเพื่อขึ้นร้องเพลงตามคิวที่ทางร้านได้จัดวางเอาไว้ ร้องอีกแค่หนึ่งชั่วโมงฉันก็กลับหอได้ และคงไม่ได้มาเล่นให้พวกพี่ ๆ เขาอีกสักพักใหญ่หรือบางทีก็อาจจะไม่ได้มาเลย
หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ฉันเล่นจบ พวกรุ่นพี่ในวงกำลังจะเตรียมตัวไปดื่มกันต่อเหมือนปกติทุกวัน
“ไม่ให้พวกพี่เลี้ยงจริงอะ” พี่ปั้นจั่นนักร้องชายของวงถามฉันพร้อมสีหน้าออดอ้อน
“พรุ่งนี้เนลมีเรียนเช้าค่ะ ต้องรีบกลับไปนอน” มีธุระกับย่าต่อด้วยไง ไม่งั้นก็อาจจะไปกับพี่ ๆ เขา
“เสียดายจัง”
“เดี๋ยวเนลเคลียร์เรื่องที่บ้านเสร็จอาจจะกลับมาเล่นนะคะ แต่ถ้าพวกพี่ ๆ หานักร้องคนใหม่ได้ก็ให้เขามาร้องแทนเนลเลยนะ”
“รู้เรื่อง รอนะ” พี่โฟร์มือกีต้าร์ที่แสนอารมณ์ดียักคิ้วให้ฉัน
“เดี๋ยวกูกลับเลยนะ” พี่บิวมือกลองที่เงียบขรึมเอ่ยขึ้นมา พี่บิวไม่ใช่สายดื่ม ไม่แตะแอลกอฮอล์และสิ่งมึนเมาทุกชนิด
“ฝากส่งเนลด้วย” พี่โตมือเบสบอกกับพี่บิว
พี่บิวพยักหน้าและหันมาชวนฉัน “ปะ”
“ค่ะ” หอฉันกับคอนโดพี่บิวไปทางเดียวกัน ทุกวันที่มีเล่นตามร้านประจำพี่บิวกับฉันจะกลับด้วยกัน
“ไม่กลัวเหรอ” ระหว่างทางที่เงียบมาตลอดพี่บิวถามขึ้น
“อะไรคะ”
“เหตุการณ์ในซอยนั้น” อ่อ พี่บิวก็อยู่ในห้องพักดนตรีด้วยเช่นกัน เราต่างมองเหตุการณ์นั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร
“ก็เห็นบ่อยแล้วนะคะ แต่ไม่เคยเห็นถึงขนาดฆ่ากันแบบนี้” ที่นี่ทะเลาะตบต่อยตีกันบ่อยจนฉันเห็นแล้วชิน แรก ๆ ก็ตกใจนะ หลัง ๆ เริ่มเฉยละ
“แสดงว่าไม่กลัว”
“ก็กลัวค่ะ” บางทีการพูดคุยกับพี่บิวก็ทำฉันปวดหัวจนนอนไม่หลับ เพราะเขาเหมือนสื่อสารไม่รู้เรื่อง หรือฉันที่ไม่รู้เรื่องกัน
ระหว่างที่ฉันเซ็งกับการสื่อสารของพี่บิว พี่บิวก็จอดร้านส้มตำไก่ย่างข้างทางร้านประจำที่แวะกินบ่อยมากเพราะมันห่างจากหอฉันไม่เท่าไหร่และที่สำคัญรสชาติอร่อยมากที่สุดถ้าเทียบกับทุกร้านที่ฉันเคยกินตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
“พี่บิวเอาไร”
“เนลสั่งเลย” นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันสื่อสารกับพี่บิวแล้วรู้เรื่องที่สุด และชอบที่สุด
“ป้าคะ เอาตำปูปลาร้าเผ็ด ๆ ปีกไก่ย่าง 3 ไม้ ไส้ย่าง น้ำตกเนื้อ นมย่าง ข้าวเหนียว 3 ห่อ” ป้าเจ้าของร้านจดเมนูตามที่ฉันสั่ง เรียบร้อยแล้วฉันก็เดินมานั่งที่โต๊ะกับพี่บิว
พี่บิวเป็นผู้ชายตัวสูงและผอม หน้าตาก็น่ารักดี เวลาที่เขาดูเท่ที่สุดคือตอนที่เขาตีกลองรัว ๆ มันดูเร้าใจดี แต่พอเขาออกจากเครื่องดนตรีเขาคือคนที่แสนนิ่งขรึม ติดไปทางน่าเบื่อสำหรับพวกผู้หญิงที่รักสนุก
เมื่ออาหารที่สั่งมาวางที่โต๊ะฉันกับพี่บิวก็นั่งทานด้วยกัน พี่บิวเป็นคนกินน้อย ต่างจากฉันที่ยัดข้าวเหนียว 2 ห่อ แล้วยังเอาอีกครึ่งห่อของพี่บิวมากินด้วย ทานข้าวเรียบร้อยเราหารกันคนละครึ่ง เพราะฉันไม่ชอบเอาเปรียบใคร พี่บิวมาส่งฉันหน้าหอ แล้วก็ขับรถออกไป ฉันจึงเดินเข้าหอ เข้าห้องนอน