เอรินทร์ประหม่าจนต้องกลั้นหายใจ เธอกุมผ้าเช็ดตัวไว้แน่นขณะยืนมองอาหมอที่เข้าไปในห้องน้ำครู่เดียวก็ถือตะกร้าหวายใบโตออกมา แต่แทนที่เขาจะรีบไปพ้น ๆ กลับยังยืนจ้องมองราวกับไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
“จำไม่ได้ว่าทำไว้เยอะขนาดนี้…” อาหมอคงหมายถึงรอยแดง ๆ ที่แต้มไว้จนทั่วเพื่อลงโทษเธอให้หลาบจำ เข็ดขยาดจนไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเครื่องดื่มหรือของมึนเมาอะไรอีก
“อาหมอออกไปก่อนได้ไหมคะ รินทร์ยังแต่งตัวไม่เสร็จ”
“ไปเช็ดผมรอนะ อาจะหยิบเสื้อผ้าให้” อาหมอไม่เคยฟังกันเลยจริง ๆ
เอรินทร์หัวใจเต้นโครมคราม เธอหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้และค่อย ๆ ซับผมตัวเองให้แห้ง ไม่กล้าสบสายตาคนที่กำลังหยิบเสื้อผ้าในตู้ แค่ชั่วอึดใจเดียวอาหมอก็วางเสื้อตัวใหญ่สีขาวและกางเกงขาสั้นแบบผูกเชือกลงบนเตียงกว้าง แต่แทนที่จะให้เวลาส่วนตัวกับเธอ เขากลับเดินอ้อยอิ่งเข้ามาใกล้และใช้มือหนาดึงผ้าขนหนูผืนเล็กไปจากมือ
อาหมอเช็ดผมให้เธอ…
“รินทร์ทำเองได้ค่ะ”
“อีกหน่อยก็จะแต่งงานกันแล้ว ให้อาฝึกมือหน่อยนะว่าต้องทำยังไงกับรินทร์บ้าง” คำพูดของอาหมอน่ากลัวจริง ๆ
กลิ่นตัวของอาหมอหอมมาก เป็นกลิ่นน้ำหอมผู้ชายผสมกับกลิ่นสดชื่นของแชมพู ไม่ได้มีกลิ่นของโรงพยาบาล สถานที่ที่เอรินทร์ไม่ชอบและไม่อยากพูดถึง แต่ในอนาคตคงจะเลี่ยงมันได้ยาก เพราะอย่างไรเธอก็เป็นลูกสาวคนเดียวของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ต้องกลับไปเรียนรู้งานอยู่แล้ว
“คิดอะไรอยู่…”
“คิดถึงโรงพยาบาลค่ะ รินทร์ไม่อยากเข้าไปทำงานเลย” เธอคิดถึงแม่ เอรินทร์สนิทกับแม่มาก วันที่เธอต้องสูญเสียมารดาไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์คือวันที่เธอทุกข์ใจมากที่สุด
สาวน้อยในวัยสิบสามปีโตพอที่จะจำทุกอย่างได้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาที่เป็นถึงเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดัง ไม่สามารถต่อลมหายใจให้กับภรรยาของตัวเอง
ใช้เวลานานกว่าเอรินทร์จะทำความเข้าใจกับเรื่องทุกอย่างได้ แต่เธอก็ยังไม่ชอบโรงพยาบาลอยู่ดี
“คิดถึงโรงพยาบาลหรือว่าคิดถึงคุณแม่ครับ น้องรินทร์”
อาหมอกองทัพหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หันตัวเธอให้กลับไปเผชิญหน้ากัน เอรินทร์ยังคงไม่กล้าประสานสายตา เธอไม่ใช่เด็กและรู้ดีว่าการนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว อยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสอง มันอันตรายอย่างไรบ้าง
อาจารย์หมอกองทัพอันตรายมากแค่ไหน… คนทั้งโรงพยาบาลรู้กันดี
มือหนาลูบแก้มของเอรินทร์แผ่วเบา ก่อนจะรั้งตัวให้ลุกยืนข้าง ๆ กัน อาหมอยังคงตัวใหญ่เหมือนเดิม ดูอย่างไรก็สูงเกินร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ส่วนเธอเตี้ยกว่าเขาเกือบครึ่งศอก
“อาอยู่ด้วยทั้งคน น้องรินทร์ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนะ…” เขาดึงตัวเธอเข้าไปกอด กดแนบศีรษะเล็ก ๆ เข้ากับอกกว้าง ปล่อยให้ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ฟุ้งกระจายจนเธอแทบจะสำลักเสน่ห์ของเขา
ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอาหมอ… คงรู้สึกแบบเดียวกัน
เอรินทร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหมอออกจากห้องไปตอนไหน เธอรู้แค่ว่าเขาจูบแก้มเบา ๆ บอกว่าให้แต่งตัวให้เรียบร้อย ออกคำสั่งให้ลงไปเจอกันในครัว แต่กว่าเธอจะได้สติ หายหน้าแดงเพราะถูกอารมณ์หวามโจมตีอย่างรุนแรงเมื่อครู่ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่
“หอมจังเลยค่ะ”
เอรินทร์มองแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่กำลังตักข้าวต้มใส่ชาม ถือโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังยุ่ง สำรวจเรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างละเอียด
อาหมอไม่ได้สวมกางเกงตัวเดียวเหมือนเมื่อเช้า ขอบกางเกงในแบรนด์เนมยี่ห้อดังโผล่ออกมาเล็กน้อย เหมือนกับจะบอกว่าวันนี้เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เพราะอาวุธที่ถูกซ่อนเอาไว้จะยังไม่โผล่มาทักทายกันในเร็ววัน
“กินเท่าที่ไหวนะรินทร์ อย่าฝืน”
อาหมอออกตัวก่อนว่าทำอาหารไม่เก่ง ถ้าเธอกินไม่ได้ก็ยังมีขนมปังกับเนยถั่วไว้เป็นทางเลือก ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เขาจะออกไปหาซื้ออะไรข้างนอกให้กินเอง
“รินทร์กินได้ค่ะ” รสชาติข้าวต้มค่อนข้างดี ไม่แน่ใจว่าเพราะหิวจนตาลาย หรือว่าฝีมือของอาหมอดีจริง ๆ กันแน่
เอรินทร์เสนอตัวช่วยเก็บแก้วล้างจาน หลังรับประทานข้าวต้มจนหมด แต่อาหมอกลับไล่ให้ไปนั่งย่อยอาหารรอที่ห้องรับแขก เพราะกลัวว่าเธอจะปวดหัวคลื่นไส้ขึ้นมาอีก
อาหมอของเอรินทร์ดุมาก… แต่ก็น่ารักมากเหมือนกัน
แอร์เย็นฉ่ำในห้องรับแขกทำให้เธอง่วง แม้ใจอยากจะฝืนอยู่ต่อเพื่อขอบคุณอาหมอ แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมมาตลอดทั้งวัน
เอรินทร์ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่ที่โซฟาตัวเดิม แผ่นหลังเนียนนุ่มสัมผัสกับฟูกหนาในห้องนอนที่เกือบมืดสนิท เหลือเพียงแสงจากโคมไฟหัวเตียงที่ยังทำให้มองเห็นอะไรอยู่บ้าง เธอเดาว่าอาหมอคงจะอุ้มมาส่ง เพราะทนมองสภาพแย่ ๆ ของเธอไม่ไหว
“นอนกับอานะรินทร์...” เสียงของอาหมอเซ็กซี่จริง ๆ