แสนรักขำพรืดทันทีอย่างไม่ได้ควบคุมกิริยาอาการ เธอไม่ได้มาหาลูกสาวแค่สองเดือน ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดเกินวัยแบบนี้ ถ้าไม่ได้ยินกับหูคงไม่เชื่อ
“แม่แสนจ่ายดอกเบี้ยให้ก็ได้ค่ะ ว่าแต่ขนมครกอร่อยไหมคะ”
“อร่อยมากค่ะ คุณยายบอกว่าหนูจุ๋มเป็นเวปด้วย”
“เป็นเวป” แสนรักทวนคำ นึกอยู่ครู่ก่อนจะหลุดขำอีกรอบ “เป็นเชฟใช่ไหมคะ”
หนูจุ๋มพยักหน้าหงึกหงัก ไม่เข้าใจว่าแสนรักทำหน้างงทำไม ก็เป็นเวปไง แต่แม่หนูกำลังตั้งใจหยอดน้ำนมกล่องที่แบ่งมาจากนมกล่องที่กินประจำทุกเช้าลงไปในหลุมขนมครกที่ทำจากดินเผาอย่างจดจ่อ แสนรักเลยไม่อยากรบกวนสมาธิแล้วหันไปเลิกคิ้วสูงใส่กีรณา
“โตขึ้นมากพูดเก่งขึ้นเยอะเลย”
“คราวหลังต้องมาหาลูกสาวบ่อยๆ นะจ๊ะ จะได้ไม่งงแบบนี้”
“ฉันตามแทบไม่ทันเลยนะหนึ่ง แล้วหนูจุ๋มเนี่ยโตไปมีแววเป็นเชฟนะ”
“อือ จะเป็นอะไรก็ได้ ฉันแล้วแต่ลูก ค่อยดูกันไปเรื่อยๆ โตขึ้นอีกหน่อยเขาอาจจะเปลี่ยนความชอบไปอีก”
“ว่าแต่เรื่องดอกเบี้ย จำมาจากคุณยายล่ะสิ คุณป้ายังปล่อยเงินกู้อยู่ใช่ไหม” แสนรักเปลี่ยนเรื่องถามเพราะยังสงสัยไม่หาย หนูจุ๋มต้องจำมาจากคุณยายกัลยาแน่นอน
กีรณาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มขำ “จำมาจากยายนั่นแหละ สงสัยตอนที่ลูกหนี้เอาเงินมาจ่ายคงได้ยินแล้วจำได้เลยเอามาพูดบ้าง”
แสนรักเลยหัวเราะ มารดาของกีรณาปล่อยเงินกู้ให้คนในละแวกบ้าน เริ่มจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วปากต่อปากไปเรื่อยๆ เลยกลายเป็นว่านอกจากปล่อยเงินกู้ก็ยังรับจำนองที่ดินไปด้วย หนูจุ๋มคงได้ยินบ่อยเลยเอามาพูดบ้างโดยที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง
ระหว่างที่มองสาวน้อยหยอดขนมครก คุณกัลยาก็เดินเปิดยิ้มเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น “ไปกินอาหารเช้ากันได้แล้ว ยายหนึ่งพาหนูจุ๋มมากินข้าว หนูแสนไปกินข้าวกันลูก ป้าให้เด็กตั้งโต๊ะแล้ว”
ทั้งหมดลุกขึ้นจากที่นั่งเล่นกันอยู่ แสนรักเป็นคนอาสาจูงมือหนูจุ๋มให้เดินไปด้วยกัน เธอคิดถึงสาวน้อยตัวกลมคนนี้มาก จึงย่อตัวยกขึ้นอุ้มแล้วหอมแก้มไปฟอดใหญ่ อยากมีลูกสาวน่ารักแบบนี้สักคนคงจะดีไม่น้อย
เมื่อมาถึงโต๊ะอาหารแสนรักก็วางหนูจุ๋มลงบนเก้าอี้ประจำตัวซึ่งเป็นเก้าอี้ทรงสูงมีพนักพิงหลังเพื่อป้องกันหงายหลัง เมื่อประจำที่เรียบร้อยแล้ว แม่บ้านก็ตักข้าวต้มใส่จาน มื้อนี้เป็นข้าวต้มกุ๊ยกินกับไข่เจียว ผักกาดดองเค็ม ยำกุ้งแห้ง และผัดผักบุ้ง แสนรักโชว์ฝีมือทอดไข่เจียวเอง
แสนรักมองหนูจุ๋มตักข้าวกินเองแล้วก็อมยิ้ม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะท่าทางการกินที่ไม่สนใจใคร ตักข้าวกินตุ้ยๆ แสนรักอมยิ้มแล้วตักไข่เจียวใส่ในจานสาวน้อย
หนูจุ๋มเงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วก้มหน้ากินข้าวในจานต่อ มีบ้างที่เงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่แต่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับอาหารตรงหน้าที่ถูกปาก
“หนูจุ๋มชอบกินไข่เจียวฝีมือแสนมาก”
แสนรักมองหนูจุ๋มกินข้าวต้มกับไข่เจียวอาหารง่ายๆ ด้วยความเอ็นดู แสนรักจำได้ว่าหนูจุ๋มชอบกินไข่เจียว เมื่อเช้าจึงเข้าครัวไปทำเองกับมือ
“เมื่อไรหนูแสนจะมีลูกเป็นของตัวเองบ้างล่ะจ๊ะ”
แสนรักหน้าแดงเถือก ขณะที่กีรณารีบหันไปตอบมารดาแทนเพื่อน
“แม่คะ ถามแบบนั้นได้ยังไงคะ แม่ต้องถามก่อนว่าแสนมีแฟนหรือยัง แสนยังโสดอยู่เลยค่ะ” กีรณาพูด
“อะไรกัน สวย น่ารัก เก่งไปทุกอย่างแบบหนูแสนยังไม่มีแฟนอีกเหรอ”
“ยังไม่มีเลยค่ะคุณป้า แสนเรื่องมากเองค่ะ เลยไม่มีผู้ชายคนไหนชอบ” แสนรักบอกพร้อมกับยิ้มจนดวงตาโค้งยิ้มตาม เธอเคยมีแพลนแต่งงานแต่ต้องล่มไม่เป็นท่าเพราะถูกหักหลัง จึงตั้งใจว่าถ้าหากจะมีใครสักคนก็ไม่รีบร้อนแล้ว
“ป้าว่าหนูแสนยังเลือกอยู่ล่ะสิ เราเป็นผู้หญิงค่อยๆ ดูไปน่ะดีแล้ว” คุณกัลยาบอกด้วยความเข้าใจ เพราะกีรณาลูกสาวของนางก็ต้องผิดหวังกับชีวิตครอบครัว อดีตลูกเขยของนางที่ดูตอนแรกว่าเป็นคนดี รักครอบครัวแต่สุดท้ายก็ไปคว้าเอาพี่เลี้ยงหนูจุ๋มมาทำเมีย
“แสนเขาสวยเลือกได้ หนึ่งเองก็คิดว่าแสนไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ดูไปดีกว่า เผื่อไปเจอคนไม่ดี จะเสียเวลา แสนเองทั้งสวยทั้งรวยมีเพื่อนๆ อยู่ด้วย ไม่ต้องกลัวเหงา”
แสนรักพยักหน้า เธอเองก็คิดว่าการอยู่เป็นโสดก็ไม่ได้แย่นัก บางคนมักคิดว่าผู้หญิงควรแต่งงานมีผู้ชายปกป้องดูแลแต่เธอคิดว่าไม่จริงหรอก หากเจอคนไม่ดีขออยู่เป็นโสดดีกว่าไม่ต้องปวดหัวด้วย อีกอย่างเธอเองก็มีหนูจุ๋มเป็นลูกสาว มีครอบครัวที่อบอุ่น ฟากพี่ชายแท้ๆ คือตฤณกับม่านพิรุณก็อยากมีลูก เธอคงได้เลี้ยงหลานเร็วๆ นี้ ชีวิตเธอไม่เงียบเหงาเลยสักนิด
ไหนจะเพื่อนสนิททั้งสอง กีรณาและผดาชมัยก็แวะเวียนมาหาไม่ได้ขาด มีนัดกินข้าวแทบจะทุกเดือน ดังนั้นแสนรักยังมองไม่เห็นเลยว่าเธอจะมีอารมณ์เงียบเหงาได้อย่างไร ทั้งงานที่คลินิกก็ยุ่งมาก จะว่าไปชีวิตของเธอตอนนี้ก็ลงตัวมากแล้ว
“ฉันล่ะกลัววันหนึ่งไม่ใช่ว่าหนึ่งกับดาเจอคนที่ชอบแล้วจะทิ้งให้ฉันเป็นโสดอยู่คนเดียวหรอกนะ” แสนรักย่นจมูกถามเพื่อน
“หนึ่งเข็ดแล้วล่ะ ไม่อยากมีแล้วสามี อยากดูแลลูกให้ดีมากกว่า”
“หนึ่งแม่ว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ” คุณกัลยาพูดอย่างคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก “อายุเราเพิ่งแค่สามสิบสองยังมีเวลาอีกนาน ยังไงแม่ก็อยากให้หนึ่งมีคนดูแล”
“หนึ่งจะคิดดูอีกทีนะคะแม่”
สองสาวมองหน้ากันเพราะเข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ดี ทุกคนมองว่าการเป็นหญิงนั้นต้องมีผู้ชายคอยดูแลปกป้อง และถ้าไม่มีแฟนหรือสามีแล้วไซร้ชีวิตนั้นคือน่าเศร้าแกมน่าสงสารไปอีก
ทั้งที่ความจริง ผู้หญิงสมัยนี้ดูแลตัวเองได้ไม่ต้องง้อผู้ชาย
เมื่อจบมื้อเช้าอันอิ่มเอมแล้ว แสนรักก็พาหนูจุ๋มไปปั่นจักรยาน ส่วนเธอก็เดินคุยกับกีรณา
“แสนไม่คิดว่าเป็นเพราะฉันทำให้แสนรู้สึกอยากเป็นโสดใช่ไหม ฉันรู้ว่าบางทีตัวเองก็พูดจาทำนองว่าอยากให้แสนเป็นโสดมากกว่ามีครอบครัว ไม่ใช่เพราะฉันอยากให้แสนเป็นโสดเหมือนฉันนะ แต่ว่าฉันแค่อยากให้แสนเลือกดูดีๆ ฉันรู้ว่าแสนตัดสินใจเองได้ แต่ว่าฉันก็อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่เข้ามาจีบแสนคือคุณท็อป” กีรณาพูดขึ้นอีกครั้ง ในช่วงชีวิตคนเราก็มีอยู่สองเรื่องที่เป็นหลักใหญ่ใจความ นั่นคือเรื่องงานและเรื่องความรัก เรื่องงานของแสนรักนั้นไม่ต้องห่วงแต่เรื่องหัวใจนี่สิ...
“หนึ่ง ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน เรื่องที่เธอคิดว่าตัวเองเป็นแรงจูงใจให้ฉันไม่อยากแต่งงานหรือเปล่าน่ะ ไม่ใช่เป็นเพราะเธอเลยนะ อย่าคิดมาก ฉันแค่ยังอยากอยู่เป็นโสดแบบนี้” แสนรักหันไปบอกเพื่อน
“ฉันรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงอยากเป็นโสด ฉันถึงคิดว่าถ้าคนที่มาจีบเธอไม่ใช่คุณท็อปแต่เป็นคนอื่นบางทีฉันก็อาจจะรีบสนับสนุนให้เธอคบเป็นแฟนเลยก็ได้ เพราะเราก็อยากมีแฟนที่เป็นคนดีไม่เจ้าชู้กันทุกคน”
“ถึงจะไม่ใช่คุณท็อปแต่เป็นคนอื่นฉันก็ยังไม่รีบตัดสินใจ บางทีฉันก็มีมุมมองว่าคบกันแบบเพื่อนน่าจะดีกว่าเพราะถ้าให้คำว่าแฟนมันก็เหมือนมีสิทธิพิเศษในตัวของกันและกันมากขึ้น เท่ากับว่ายกระดับความรู้สึกให้เราต้องการครอบครองเขา ฉันอาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่นแต่ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันจะคบได้นานกว่า”
กีรณากลอกตาไปมา “ตกลงว่าเธอก็แค่ถ่วงเวลาเขา อ่อยให้เขาทรมานใจเล่นๆ”
“บ้าสิ ฉันไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น เขามีแฟนมากี่คน ส่วนฉันเพิ่งเคยมีแฟนมาแค่สองคนเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับเขาแล้วยังห่างชั้นกันมาก ดังนั้นฉันเลยบอกตัวเองว่าไม่รีบ และบางทีก็อาจไม่มีสามีก็ได้”
“แต่เท่าที่ฟังมาทั้งหมด ฉันมองเห็นเค้าลางว่าเธอหลงเสน่ห์คุณท็อปนะยายแสน แสนอาจไม่รู้ตัวเอง หรือรู้ตัวแต่ไม่ยอมรับ และอย่าคิดว่าจะปิดฉันเพราะคำพูดแสนแต่ละคำมันบอกว่าชอบแต่แค่ไม่มั่นใจ”