“นังหน้าด้าน นังเนรคุณ แกไสหัวออกไปจากที่นี่เลยนะ” เสียงด่าท่อต่อว่าของหญิงสาววัยกลางคนพร้อมทุบตีผู้หญิงอีกคนที่นอนกองอยู่กับพื้นเพราะสู้กลับไม่ไหว
“พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่”
“สมน้ำหน้า กล้าดียังไงคิดจะมาแย่งผัวฉัน”
“ฉะ ฉัน เปล่า” หญิงสาวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีกนะ”
ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะฟังในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางแบกตัวเองที่บาดเจ็บและบอบช้ำไปทั้งตัวออกมาจากบริเวณนั้นและเดินหนีออกมาตามถนนที่ทั้งมืดและเปลี่ยว
ขมิ้น เธอเติบโตมาในบ้านที่เรียกว่า ซ่อง แม่ของเธอเป็นผู้หญิงขายบริการและพลาดจนท้อง แต่แม่ก็ไม่เคยด่าว่าเธอเลยสักคำ มีแต่ทำงานหาเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเธออายุได้สิบห้าปี แม่ก็จากเธอไปด้วยโรคร้าย
เธอจึงต้องทำงานทุกอย่างในซ่องแทนแม่ แต่เพราะอายุยังไม่ถึงสิบแปดปี แม่เล้าจึงยกเว้นเธอเอาไว้และให้ทำงานอื่นๆ แทน
แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเธอซะแล้ว ก่อนหน้านี้เธออยากจะออกมาจากที่นั่นแต่ก็ออกมาไม่ได้เพราะถูกเจ๊เจ้าของซ่องยึดเงินของเธอเอาไว้
สามีของเจ้าของซ่องเป็นเด็กหนุ่มวัยเพียงยี่สิบปีที่มาอยู่กินกันได้ไม่ถึงสามเดือน พยายามจะเข้ามาข่มขืนเธอในระหว่างที่เธอเพิ่งจะเข้าไปเอาเงินของตัวเองที่เจ๊เจ้าของซ่องเก็บเอาไว้
โชคยังดีที่เจ๊เจ้าของซ่องมาเห็นก่อน และรีบบึ่งเข้ามาตบตีเธอราวกับว่าเธอเป็นฝ่ายไปแย่งผัว อีกทั้งยังไม่ฟังในสิ่งที่เธอพูดอีกต่างหาก
ในตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่ก็ถูกไล่ออกมาราวกับสวรรค์มาโปรด
ถึงจะต้องเจ็บตัวมากขนาดนี้ แต่แลกกับการที่ได้ออกมาจากซ่องนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต แต่ถ้าหากเจ๊เจ้าของซ่องรู้ว่าเธอแอบเอาเงินของตัวเองมาด้วย ก็คงจะส่งลูกน้องมาลากตัวของเธอกลับไปแน่นอน
“ทำไมไม่มีรถผ่านมาเลยนะ” ขมิ้นบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
แม้จะเจ็บปวดตามร่างกายแค่ไหนก็ต้องกัดฟันทนและวิ่งต่อไปข้างหน้า เธอจะไม่ยอมตายตอนนี้โดยเด็ดขาด
“แสงไฟ” เธอเอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังโกดังที่อยู่ริมทางซึ่งมีแสงไฟลอดออกมา
“บอกมาว่าพวกแกคิดจะทำอะไร” เสียงตะคอกดังไปทั่วโกดัง
ขมิ้นรีบหลบอยู่ที่หลังเสาใกล้ๆ พลางเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าจะวิ่งต่อไปก็คงจะไม่รอด สู้ทางขึ้นคนพวกนี้ไปยังจะดีกว่า
“ถ้าไม่บอกแกตาย”
“ให้ตายกูก็ไม่บอก”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็...”
ปัง!
“กรี๊ดดดดด” ขมิ้นที่แอบมองอยู่ร้องกรี๊ดขึ้นมาด้วยความตกใจทำให้คนพวกนั้นหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว
“เฮ้ย ใครว่ะ ไปจับตัวมันมา”
“อีขมิ้นเอ๊ย ซวยแล้วไง” เธอรีบใส่เกียร์หมาและสับตีนแบกร่างกายที่สะบักสะบอมของตัวเองหนีไปให้เร็วที่สุด
แต่สภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยทำให้เธอเริ่มหมดแรงลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนพวกนั้นก็ใกล้ตัวของเธอเข้ามามากขึ้นเช่นกัน
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนที่ดังมาจากอีกทางทำให้ขมิ้นแทบจะไปไหนต่อไม่ถูก ดูเหมือนว่าจะคนละพวกกับที่ตามเธอมา
หนีเสือปะจระเข้ หนีจระเข้ปะสิงโตชัดๆ !!!
แม้จะไม่รู้ทิศทางที่ตัวเองกำลังวิ่งไป แต่เป็นตายยังไง อีขมิ้นคนนี้ก็จะไม่หยุดวิ่งโดยเด็ดขาด
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนยังคงปะทะข้ามไปมาไม่หยุด กระทั่งมีมือหนึ่งคว้าแขนของเธอเอาไว้และดึงไปหลบหลังต้นไม้
“โอ๊ยยย เจ็บ~”
“เงียบ!” ขมิ้นรีบเอามือปิดปากของตัวเองไว้ เมื่อโดนคนตรงหน้าที่ถือปืนเอาไว้ในมือออกคำสั่ง
จู่ๆ ทุกอย่างก็เงียบลงผิดปกติ ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจ
ปัง!
“เป็นอะไรไหมครับนาย”
“ไม่”
“แล้วนั่นใครครับ”
“ไม่รู้สิ” ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เธอพร้อมกับตั้งคำถามว่าเธอเป็นใคร
“เธอ... เป็นใคร”
“อะ เอ่อ...” จู่ๆ เธอก็รู้สึกเวียนหัว บริเวณรอบๆ หมุนไปมา ภาพตรงหน้าเบลอลงไปทีละนิด ร่างกายของเธอค่อยๆ อ่อนแรงลงไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดับพรึบไปทันที
“อ้าว แต่ผมว่าสภาพเหมือนถูกทำร้ายมาเลยนะครับ”
“น่าจะงั้น ก็ถือว่ายังดีที่ช่วยล่อไอ้พวกนั้นออกมาและทำให้เข้าไปช่วยไอ้คีรินได้ทัน”
“แล้วจะเอายังไงต่อครับ”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง พวกนายกลับไปพักเถอะ” ชายหนุ่มช้อนร่างบางที่หมดสติไปกลับมาที่รถที่ซ่อนเอาไว้ ท่ามกลางสายตาแปลกใจของลูกน้องที่ไม่เคยเห็นเจ้านายยอมทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“มอมแมมเหมือนหมาจรจัดชะมัด”
สกิลปากอันร้ายกาจของคีตะไม่เคยแผ่วลงเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ทุกคนต่างยืนยันว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมดคีตะปากร้ายเสียยิ่งกว่าใคร
คีตะ เขาเป็นหนึ่งในทายาทแก๊งมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในแถบตะวันออกเฉียงใต้และมีอิทธิพลมากที่สุดด้วยเช่นกัน