@ประเทศไทย
เครื่องบินเที่ยวบินเช้าสุดลงมาจอดได้ไม่นาน ร่างบางในชุดเดรสรัดรูปสีแดงเจิดจรัสตาก็เดินออกมาหน้าทางออก
เด่นจนไม่ต้องมองหาให้ยากเลย!
“ไฮ เป็นไงคะ ไปดูงานหรือไปดูอะไรมาเอ่ย”
ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิฟสติ้กสีแดงสดคลี่ยิ้มออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหน้าคนที่เดินเข้ามาใกล้ที่ค่อนข้างจะอิดโรย เจ้าของคำถามก็พอจะรู้คำตอบอยู่เเล้ว
“ทำไมออกมารับเอง ให้คนอื่นมารับก็ได้ มันอันตรายนะ”
คนที่นั่งตำแหน่งคนขับเบ้ปากเล็กน้อย ที่ทุกวันนี้ตัวเองเหมือนคนทำอะไรไม่เป็นขึ้นไปทุกที
“บ่นจัง ฉันลูกสองแล้วนะ”
“วันนี้ไปส่องผู้ชายในใจมากี่รอบแล้วล่ะ”
คนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตชอบแอบส่องผู้ชาย เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาเมื่อสมองคิดไปถึงรูปภาพที่เธอได้อภิสิทธิ์ที่สูงส่ง จึงได้มันมา
“ฉันว่า…เราสองคนไปเที่ยวกันดีไหม ดูเธอเครียดๆนะงานหนักหรือป่าว”
“ใช่สิ ก็เจ้าของนั่งทำงานอยู่แต่บ้าน พนักงานคิดว่าเลขาอย่างฉันเป็นเจ้าของบริษัทแทนแกแล้ว”
คนที่โดนเพื่อนสาวพวงด้วยตำแหน่งเลขาต่อว่าให้สายหัวไปมาอย่างไม่คิดอะไร แต่ความจริงยังไงมันก็คือความจริง ฉันจะหลบซ่อนไปเบบนี้มันก็ไม่ถูก จริงๆนั้นเเหละ
“อ๋อ มีข่าวดีมาบอกเจ้านายด้วยค่ะ อยากรู้ไหม?”
“ถ้าบริษัทในเครือรัสเตร มาขอร่วมหุ้นด้วยฉันจะดีใจมาก”
คนที่โดนพูดแทรกถึงกับเอี้ยวหน้ามามองเพื่อนตัวเองด้วยแววตาตกตลึง
“หวังให้เป็นอย่างนั้นหรอ? ไม่ใช่หลบหน้าหลบตาพวกเขาหรือไง?”
นิ้วเรียวยาวเคาะบนพวกมาลัยอยู่อย่างนั้นอย่างใช้ความคิด เธอหลบหนีความจริงมาเกือบสองปีแล้ว แต่ถ้าเธอหลบเขานานกว่านี้เขาคงลืมฉันไปจริงๆ มันคงจะถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปทบทวนความทรงจำให้เขาสักหน่อยแล้ว
“ฉันหลบมาพักใจนานแล้ว ถึงคราวที่ฉันต้องกลับไปทวงพ่อของลูกฉันคืนแล้ว”
“วาน่า แกพูดจริงหรือเล่น?”คนที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับยกมือกุมหน้าอก ไม่คิดว่าจะมีวันนี้เลย
ก็เจ้านายเธอเล่นห่างหายไปจากสังคมเกือบสองปีเต็ม เธอทนเหนื่อยทนลำบากไม่บากหน้ากลับไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนั้นเลย เธอยอมเหนื่อยทุกอย่างเพื่อมองเขาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ มีข่าวสารอะไรก็จะแอบส่งข้อมูลให้เขาคนนั้นโดยใช้ชื่อปลอม จนเขาหวุดหวิดจากการถูกลอบสังหารมาหลายครั้ง ในใจเธอคงกลัวความจริงต่างหาก ความจริงที่ต้องเผชิญ แต่วันนี้เธอคงพร้อมแล้ว
“บริษัทในเครือลูกที่เขาพึ่งเปิดใหม่ ขอร่วมหุ้นกับบริษัทใหญ่ WN GROPค่ะ”
เอี้ยดดดด!!
“ว้ายย!! แกเบรคทำไมเนี้ย”คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เจอเหยียบอยู่ที่ร้อยกว่าแต่ดันเบรคเอาจนรถล้อลาก ทำให้เฉียวจิ้งถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
“แกว่าอะไรนะ! จะ..จริงหรอ”
“อืม แต่ก่อนอื่นออกรถเถอะ ก่อนที่คนอื่นจะลงมาด่าแก”
เฉียวจิ้งเริ่มหายใจทั่วท้องเมื่อคนที่นั่งตำแหน่งคนขับออกรถไปเป็นปกติ แต่เหมือนเธอตกอยู่ในห้วงความคิดเรียบร้อยแล้ว อยากช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยเธอกับหลานยังไงดี
“ฉันควรไปเจอเขาได้แล้ว”
เฉียวจิ้งมองเสี้ยวใบหน้ารูปไข่ที่พูดขึ้นมาลอยๆ เธออยากบอกว่า ใช่! แกควรทำตามใจตัวเอง ไม่ต้องห่วงใครแล้ว แกยอม แกทนมามากพอแล้ว แกควรทำตามความรู้สึกตัวเองได้แล้ว แกควรมีความสุขสักที
รถเก๋งวิ่งมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังโต ที่สองปีมานี้เจ้าของมันได้ต่อเติมไปมากแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลาของมันเสมอ รวมถึงนิสัยใจคอคนด้วยเช่นกัน การเป็นผู้ใหญ่ และเป็นผู้นำนั้น มันไม่ง่ายเลย ไม่เลยจริงๆ
“เด็กๆดื้อกันไหมคะ?”เสียงใสที่ดังเข้ามาตั้งแต่ทางเข้า ทำให้สองบอดี้การ์ดที่มองยังไงก็ไม่น่าจะมาอุ้มเด็กป้อนนมได้ นั้นทำให้ฉันมองทีไรก็อยากจะขำออกมา แต่นั้นก็เกรงใจอยู่
สวัสดีค่ะ ทุกคนคงจะรู้จักฉันเป็นอย่างดีแล้ว คงไม่ต้องแนะนำตัวอะไรมากนัก เพราะวาน่าคนนี้ก็เป็นคนเดิม เพียงแต่อาจมีบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว คนที่อยู่บนความเสียใจ ความลำบาก ต้องยืนด้วยลำขาตัวเอง นิสัยใจคอย่อมไม่เหมือนเดิมแน่นอน และอย่างที่ทุกคนทราบดี ฉันมีลูกแล้วซึ่งเป็นลูกฉันกับเขาคนนั้น คนที่ลืมฉันไปแล้ว…
ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปหมดแล้วจริงๆระหว่างเกือบสองปีมานี้ที่ยอมยอมเหนื่อยเลี้ยงลูกแฝดมาคนเดียว เพียงเพราะว่ารอเวลาที่ฉันต้องไปทวงความยุติธรรมของฉันกับเขาคนนั้นคืน กล้าดียังไงมาลบฉันออกจากสมองเขา คอยดูเถอะ จะทำให้ไม่กล้าลืมฉันคนนี้อีกเลย รัสเตร!
“กินแล้วก็นอนครับ ไม่ดื้อเลย”
ฉันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเดินเข้าไปหาสองแฝดที่นอนดูดจุกอยู่อย่างน่ารักน่าเอ็นดู เขาชั่งเหมือนพ่อไม่มีผิด เหมือนจนฉันไม่อยากจะคิดว่าฉันพาเขาออกสังคมแล้ว คนต้องรู้ในทันทีว่านี้คือลูกของใคร คงมีเพียงเจ้าตัวเขานั้นแหละ ที่จะรู้บ้างไหม ว่าเขามีลูกชายที่น่ารักขนาดนี้... ตั้งสองคน
เรดิซั่น เรดิเอก้า
เด็กแฝดที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งบ้านต่างไม่อยากออกไปไหนไกล เพราะความน่ารักน่าเอ็นดู เหมือนกับฉันที่มองหน้าลูกเมื่อไหร่ก็มีแรงก้าวเดินต่อ ขอแค่ลูกเธอทั้งสองปลอดภัย เธอก็ไม่ต้องกลัวอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว และยังมีหนุ่มน้อยวัยใสที่กลับไปเรียนที่จีนกับนายท่านได้ปีหนึ่งแล้ว นานๆครั้ง ถึงจะกลับมาที่ไทย แต่เรื่องที่ฉันท้องคงมีแต่คนในคฤหาสน์เท่านั้นที่รู้ เพราะฉันไม่บอกใครเพื่อความปลอดภัยของฉันและคนในครอบครัวเอง
“หน้าเหมือนพ่อจัง แกไม่มีน้ำยาเลยนะ”ฉันหันไปมองมารดาที่กำลังอุ้มหลานขึ้นมาแล้วหยอกล้อ นั้นสิ! เหมือนเขาขนาดนี้ นี้คงเป็นอีกอย่างที่ทำให้ฉันคลายความเหงาและอาการคิดถึงเขาลงได้บ้าง เพราะมองหน้าลูกก็เหมือนกำลังมองหน้าเขาอยู่ไม่มีผิด
“ความดีไงค่ะ ที่ได้หนูไป”
“ใครบอก! อย่าเอานิสัยชอบเที่ยวมาโปรยให้หลานฉันนะ”
“ลูกหนูนะแม่!”
“แต่หลานฉัน”
“หนูจะไปตามพ่อเด็กกลับมาแล้ว แม่จะได้ไม่เหนื่อย”
“กล้าบินไปเมืองนั้นก่อน ค่อยมาพูด”
“โถ่ หนูไม่ได้ขี้ขลาดขนาดนั้นสักหน่อย”
“ที่หลบๆซ่อนๆ ปิดหน้าปิดตาแอบไปมองเขาห่างๆนี้คืออะไร”
“เขาเรียกว่า รอเวลาและโอกาศที่เหมาะสมต่างหาก”
“จ้ะ เชิญรอต่อไป ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมปล่อยเจ้าสัวให้หลุดมือแน่ หล่อ รวยขนาดนั้น ฉันจะปล่อยท้องเลย”
“ไม่มีวัน เขาจะต้องจำหนูให้ได้ แม่เตรียมเลี้ยงหลานอีกคนเถอะ”
“สองคนนี้จะโตไหม ถ้าไม่ได้พ่อเด็กกลับมา”
“โอ้ยแม่ค่ะ หนูไม่พูดกับแม่แล้วไปเก็บเสื้อผ้าก่อนนะคะ จะบินไปหาสามี”
“จองตั๋วให้เธอด้วยนะคะคุณไรเฟิล”
บอดี้การ์ดประจำตัวของหญิงสาวต่างยิ้มขบขัน เพราะประโยคพวกนี้มักจะได้ยินประจำ แต่เธอก็ไม่ยอมไปสักที ไม่รู้ว่ากลัวอะไร แต่อาจจะไม่กล้าไปพบหน้าพ่อของลูกก็ได้ ก็เธอเล่นหายมานานขนาดนี้…..