เมื่อทานข้าวอิ่มงามวิไลก็เดินมาซื้อผลไม้ที่หน้าตึกปล่อยให้วิลาวัลย์เดินขึ้นไปก่อน มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกนั้นแหละที่หมอจิณณ์ก็เดินมาเช่นกัน
"คุณหมอทานผลไม้เหมือนกันหรอค่ะ"
"อืม.."
หมอจิณณ์จอมเนี๊ยบก็ตอบเพียงสั้นๆแต่งามวิไลก็เบ้ปากเบาๆเช่นกัน
"มะละกอไหมค่ะหมอ ทานแล้วผิวสวยด้วยนะ"
งามวิไลเสนอไปหมอจิณณ์ก็นิ่งไม่ตอบ ทำเอาคนที่เสนอหมั่นไส้ไม่น้อย งามวิไลไม่ได้พูดอะไรต่อได้เพียงยืนรอผลไม้ที่สั่งก่อนที่พ่อค้าจะเรียก
"ได้แล้วครับห้าสิบบาทครับ"
ก่อนที่งามวิไลจะยื่นมือหยิบแล้วหมอก็พูดขึ้น
"อิ่มหรอ แค่นี้!?"
"อิ่มค่ะ จะกินอะไรเยอะแยะ"
"ดูจากรูปร่างไม่น่าจะกินน้อยนะ"
"หมอ!...แต่หนูว่าหมอไม่น่าทานผลไม้นะค่ะ เพราะชีวิตก็หวานพอแล้ว ระวังนะคะจะเป็นเบาหวาน"
พูดแล้วก็ยกยิ้มพร้อมกระพริบตาซ้ายให้หมอหนึ่งที ก่อนจะเดินสะบัดก้นไป ปล่อยหมอมองตามเพราะพูดไม่ออก ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วพูดเบาๆ
"ยายตัวดี"
เมื่อเดินขึ้นมาที่ห้องพักแล้ว เวลาก็ยังเหลืออีกตั้งยี่สิบนาทีก่อนที่จะเข้างาน พี่วารินก็เดินเข้ามาเหมือนกัน พี่วารินหย่อนสะโพกลงก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้งามวิไลแทบสำลัก
"พรุ่งนี้จะมีอบรมเจาะเลือด น่าจะเรียกมาฝึกทั้งหมด แต่...เจาะจริงนะจับคู่กัน"
แค๊กๆๆๆ
"เจาะจริงหรือค่ะ"
งามวิไลโพล่งเสียงออกมาทันที
"ใช่ไง...งามก็คู่กับวิอยู่แล้วนิ" พี่พยาบาลสาวหันมาทางวิลาวัลย์ทันที
"ไม่นะ วิไม่อยากคู่กับงามอ่ะ"
"ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอกเพื่อนก็แค่เจาะเลือด"
"เจาะเลือดฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวแกเจาะไม่ถูกเส้นเลือดต่างหาก"
วิลาวัลย์สวนขึ้น ส่วนงามวิไลก็ทำหน้าทะเล้นใส่ ใครจะกลัวก็แค่เจาะเลือด คิดไปก็ขนลุก งามวิไลแทบกินผลไม้ไม่ลงเมื่อนึกถึงเข็มที่จิ้มลงมาแล้วดูดเลือดเธอไปเต็มหลอด
"พรุ่งนี้จะมีอาจารย์หมอหลายคนเข้าไปดู ส่วนพวกพี่พยาบาลจะค่อยให้คำแนะนำนั้นแหละ"
พี่วารินพูดแล้วยิ้มแฉ่งขึ้น แต่ก็ส่งสายตามาให้น้องงามคนสวยที่นั่งยิ้มแห้งๆเพราะในความคิดตอนนี้คือการเจาะเลือดจริงๆครั้งแรกของเธอเลย ตอนเรียนแค่ฝึกปฏิบัติยังไม่ถึงขั้นต้องเจาะจริงแบบนี้
"แล้วคุณหมอท่านไหนบ้างค่ะ"
วิลาวัลย์ถามขึ้น พร้อมมองหน้าพี่วาริน
"พี่ก็ไม่รู้ว่าหมอคนไหนบ้าง"
เมื่อนั่งอยู่สักพักก็ถึงเวลาทำงาน สองสาวพยาบาลฝึกหัดก็ต้องเดินออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง วิลาวัลย์ สอบประวัติคนป่วยที่มาฝากครรภ์ใหม่ ส่วนงามวิไลก็เปลี่ยนหน้าที่พาคุณแม่ที่มาฝากครรภ์หรือมาตามนัดนั้น เข้าห้องตรวจตามคิว
"งามวิไลได้แนะนำคุณแม่เรื่องการนับลูกดิ้นไหมครับ"
คุณหมอจิณณ์ถามนักเรียนพยาบาลฝึกหัดเพื่อทดสอบว่าได้แนะนำคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ยี่สิบแปดสัปดาห์ขึ้นไปหรือยัง
"เอ่อ...ยังค่ะ"
สายตาพิฆาตหันมาทางงามวิไลทันที ถึงจะใส่แมสให้เห็นแค่แววตาแต่ทว่ามันก็พอบ่งบอกได้ถึงความอำมหิตที่ส่งมาให้
หมอก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะตรวจและแนะนำคุณแม่ตามขั้นตอน เมื่อเสร็จแล้วคุณแม่รายนั้นก็เดินออกไปทันที
"งามวิไล อยู่ก่อน"
ด้านงามวิไล
เอ้าแล้วฉันคิดในใจทันทีเลยว่าหมอต้องลงโทษที่ไม่ทำการบ้านมาให้เรียบร้อย สมุดพกแม่และเด็กที่พยาบาลต้องตรวจทุกครั้ง และแนะนำแก่คุณแม่ที่ตั้งท้อง ฉันค่อยๆหันมาทีละนิด แล้วหยุดยืนตัวตรงข้างหน้า ส่วนหมอก็นั่งหน้าขาวพร้อมกับถอดแมสที่ปิดจมูกออกแล้วพูดขึ้น
"ขยับมานี่สิ"
"แหม..คุณหมอไม่ต้องอยากอยู่ใกล้หนูขนาดนั้นก็ได้ค่ะ"
ฉันพูดแล้วฉันก็ยิ้มแป้นแล่นใส่หมอทันที
"จะขยับมาหรือจะให้หมอเดินไป"
หมอพูดมาแบบนี้ฉันก็ต้องทำตามนั้นสิ ฉันค่อยๆก้าวขาขยับไปทีละนิด เหมือนหนอนที่กระดืบกระดืบไปข้างหน้า ก่อนจะถามหมอ
"ใกล้พอรึยังค่ะ"
"ยัง"
ฉันถอนหายใจเลยจะสั่งอะไรก็ไม่สั่งยังจะให้ขยับตัวมาใกล้ๆอีกหรือว่าหมอจะทำมิดีมิร้ายกับร่างกายอันสวยสดงามงามของฉันกันแน่ ฉันกระดืบไปอีกก้าวแล้วหมอก็พูดขึ้น
"ก้มหัวมา"
หมอจิณณ์ให้ก้มหัวทำอะไร ก้มไปไหนฉันก็เลิ่กลักนั้นสิ ส่วนหมอก็นั่งพิงเก้าอี้สายตาหมอจ้องจนฉันไม่กล้าสบตาเลย ก่อนจะค่อยๆก้ม ก้ม ลงที่ละนิด จนกระทั้ง
โป้ก!
"โอ้ยย....หมออ่ะ"
แฟ้มเอกสารบางๆนั้นมันประทับลงกลางหัวฉันทันทีแล้วคนที่ทำก็พูดขึ้น
"ทีหลังเปิดสมุดคู่มือของแม่ทุกหน้า เพราะมันเป็นหน้าที่ของพยาบาลที่ต้องแนะนำวิธีต่างๆในสมุด และการนับลูกดิ้นก็จำเป็นเช่นกัน ฝึกให้คุณแม่นับ จำได้ไหมว่าต้องนับยังไง"
"นะ..นับ..123.....โอ้ยย"
เอาอีกแล้วหมอคราวนี้แรงกว่าเดิมอีก ฉันถึงกับลูบหัวเลย
"หมอหมายถึงวิธีนับต้องแนะนำอย่างไร"
อึกอักเลยค่ะ คือมันก็ลืมยิ่งเอาแฟ้มมาทุบแบบนี้ใครจะไม่ลืมละใช่ไหม ฉันก็คิดในใจแต่ก็ไม่พูดจนกระทั้งหมอเอ่ยขึ้น
"กลับไปทำการบ้านมา แล้วเขียนรายงานมาส่ง"
"หมอ...อีกแล้วหรอ"
"อะไรอีกแล้ว เรียนมาไม่เคยจำ สมองปลาทองจริงๆ พูดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืม.. ออกไปได้แล้ว"
ฉันยืนมองหน้าหมอพร้อมกับหน้าบึ้ง คนอะไรขยันลงโทษจริงๆ รายงานที่เอาไปยังไม่มีเวลาตรวจเลยยังจะให้ทำเพิ่มอีก ไม่รู้ว่าจะเอาไปแทนหมอนหนุนนอนรึเปล่า พูดแล้วเซ็ง ฉันเลยเดินสะบัดออกมาเลย
"หน้าบึ้งมาอีกแล้วโดนอะไรมาอีกหละ"
วิลาวัลย์ ถามขึ้นขณะที่เพื่อนเดินมาแล้วนั่งลงที่โต๊ะทันที
"ใจฮ้าย" (โมโห!)