ลำบากใจ

1385 คำ
ภายใจหอซูซูแม้จะแขกเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ จึงไร้เสียงอึกทึกครึกโครม ทว่าก็มีเสียงสตรีผู้หนึ่ง แผดเสียงแหวกขึ้น รบกวนความสงบนั้น “บังอาจนัก เจ้ากล้าขวางทางข้างั้นรึ!” แขกที่อยู่บริเวณชั้นล่างของหอซูซูต่างปรายตามองมาเพียงเล็กน้อยคล้ายกับไม่ได้ยินและเห็นอะไร พวกเขาไม่อยากจะทำให้เจ้าของเสียงนั้นไม่พึงพอใจ ซูอินและองค์หญิงต้าเหยาก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน พวกนางต่างจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือผู้ใด “ขออภัยองค์หญิงใหญ่ กระหม่อมไม่อาจจะให้องค์หญิงเสด็จเข้าไปข้างในได้” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ผู้คนภายในหอซูซูย่อมต่างเห็นอกเห็นใจเขาต้องมารับมือกับสตรีไร้เหตุผลและเจ้าอารมณ์เช่นนี้ นางกำลังจะตวาด องค์รักษ์อีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำก็ดังขัดขึ้น “ให้นางเข้ามา” องค์หญิงใหญ่ต้าอันเล่อ เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มอนุญาตก็โปรยยิ้มสีหน้าเปลี่ยนเป็นสตรีอ่อนหวานละมุนละไมทันที นางปรี่ตรงเข้าไปในห้องรับรอง เมื่อเห็นบุรุษตรงหน้ากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสือ ก็พลันยิ้มอย่างปรีดา กำลังจะเอ่ยทักทาย เสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “มีเรื่องอะไร” คำพูดแสนหวานไม่ทันได้เอ่ยก็โดนกลืนลงคอ ดวงหน้าของหญิงสาวซีดขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตัดฟ้อ “อีกไม่กี่วัน ข้าก็ต้องสอบซิ่วไฉ มีบางจุดที่ยังไม่เข้าใจอยากจะขอคำชี้แนะจากพี่อี้หยาง” “ข้าไม่ตอบคำถามเหล่านี้นอกสำนักศึกษา หากองค์หญิงใหญ่ต้องการคำชี้แนะซื่อฝูหลายท่านในสำนักศึกษายินดีที่จะตอบคำถามท่าน” เฉิงอ๋องพูดพลางเปิดหนังสือในมือ ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองสตรีที่อยู่ตรงหน้า องค์หญิงกำลังจะเอ่ยทักท้วงเฉิงอ๋องก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มคู่นั้นเย็นเยียบราวน้ำแข็ง “แล้วอย่าให้มีเช่นวันนี้อีก ไม่เช่นนั้นแม้กระทั่งประตูวังท่านก็จะไม่ได้ก้าวออกมา เชิญท่านออกไปได้แล้ว” ผู้คนในหอซูซูล้วนได้ยินน้ำเสียงดุกดดันจากเฉิงอ๋องทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ออก องค์หญิงอันเล่อยืนอึ้งไร้วาจาไปชั่วขณะ จากนั้นนางต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่จุดในคอไม่ให้เสียงหลุดออกมา สะบัดชายเสื้อหันกายวิ่งออกไป ทั้งน้อยใจและอับอายน้ำตากำลังเอ่ยคลอเบ้าตา นางรู้ว่าไม่อาจจะต่อกรกับญาติผู้พี่คนนี้ได้ ฮ่องเต้โปรดยิ่งกว่าโอรสและธิดาของตนเอง จนมีข่าวลือว่าแม้กระทั่งบังลังก์ก็จะยกให้เขา คุณหนูสามเสิ่นจือตกอยู่ในอาการตกตะลึงไร้สติกับเหตุการณ์เบื้องหน้าจนเสียอาการ ทำให้บ่าวที่มาด้วยสะกิดแขนเสื้อ “คุณหนูพวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ส่วนซูอินและองค์หญิงต้าเหยานั่งตัวเกร็งสบตากันปริบ ๆ ไม่เอ่ยวาจากลัวจะมีผู้รู้ถึงการมีตัวตนของพวกนาง กอปรกับองค์หญิงอันเล่อมีจิตใจคับแคบพลาดโกรธเคืองพวกนางที่มาอยู่ในเหตุการณ์อับอายของตนก็เป็นไปได้ สตรีผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องเป็นดีที่สุด ชั่วเพียงอึกใจเดียว บรรยากาศในหอซูซูก็พลันกับมาเป็นเหมือนเดิม ประหนึ่งว่าไม่เคยมีองค์หญิงอันเล่อเข้ามาในหอซูซูทุกคนพร้อมใจลืมเหตุการณ์ดังกล่าวจนหมดสิ้น ซูอินรู้ว่าเฉิงอ๋องมีวรยุทธ์สูงส่งในเมื่อเขาอยู่ที่นี่ หากต้องการเอียงหูย่อมได้ยินเสียงที่พูดนางพูดคุย นางจึงพยายามเลี่ยงวาจาที่ไม่เหมาะสมออกไป กระนั้นองค์หญิงต้าเหยากลับไม่รู้ถึงอันตราย เอ่ยขึ้น “เฉิงอ๋องยังเป็นบุรุษไร้ไมตรีต่อผู้คนเช่นเดิม อาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี่ตอนอยู่ในสำนักศึกษาเห็นเขามีน้ำเสียงและแววตาที่อบอุ่น จนทำให้องค์หญิงใหญ่ใจกล้าเยี่ยงวีรสตรีเช่นนี้” ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ซูอินจึงอดปากถามไม่ได้ “ท่านหวาดกลัวเฉิงอ๋องหรือ” องค์หญิงต้าเหยาแสยะยิ้มขึ้น “กลัวสิ ตั้งแต่เด็กข้าได้ยินมาว่า ตอนที่เขาอยู่ชายแดนเป็นแม่ทัพยามออกรบกระบี่คู่กายดื่มโลหิตของผู้คนมาหลายแสนคนแล้ว” “ทว่านั้นก็ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงได้อยู่อย่างสงบไม่ใช่หรือเพคะ” ซูอินหลุดปากเอ่ยแก้ต่างให้อีกฝ่าย ทำให้เฉิงอ๋องที่อยู่ห้องข้าง เผลอยกปากยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มนั้นทำให้จงถังที่อยู่ข้างกายตกตะลึง เห็นว่าไม่ได้การต่อไปนี้เขาต้องส่งคนดูแลคุณหนูจางซูอินเพิ่ม องค์หญิงต้าเหยาพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยต่อ “ข้ารู้สึกขอบคุณเขายิ่งนัก คราวที่เห็นใบหน้าของเขาตอนนั้นข้าอายุเพียง 9 ขวบ แม้เฉิงอ๋องจะมีรูปโฉมองอาจเหนือสามัญแต่กลิ่นอายแผ่รังสีอำมหิตจนทำให้ข้าฝั่งใจหวาดกลัวเขามาโดยตลอด ข้าไม่ได้กล่าวว่าเขาเป็นบุรุษไม่ดีเสียหน่อย” น้ำเสียงของต้าเหยาตัดพ้อกว่าว่าสหายจะเข้าใจตนเองผิด “องค์หญิงมีจิตใจที่บริสุทธิ์ย่อมไม่กล่าวว่าร้ายใคร หม่อมเพียงเอ่ยตามน้ำเท่านั้นเพคะ” เสียงพูดคุยข้างนอกดังขึ้น ทำให้ซูอินรับรู้ว่าเฉิงอ๋องกลับไปแล้ว นางนั่งคุยกับองค์หญิงต้าเหยาต่อเล็กน้อยทิ้งช่วงเวลาจนกระทั่งมั่นใจว่าเฉิงอ๋องออกจากหอซูซูไปแล้วจึงได้ขอตัวกลับกับองค์หญิงต้าเหยา ทว่าซูอินไม่ทราบ เฉิงอ๋องตั้งใจมาดักรอพอนางข้างนอกเมื่อเห็นชายกระโปรงสีฟ้าปลิวไสวผ่านผ้าม่านเขาก็หันกายไปมองสินค้าภายในร้านตรงหน้าหอซูซู ซูอินยังคงลอบมองเฉิงอ๋องจากข้างหลัง เมื่อชาติที่แล้วหากปรารถนาข้าล้วนไขว้คว้า จนกระทั่งมาอยู่ในกำมือคล้ายสายลมแห่งวสันตฤดูรู้สึกอบอุ่นทว่าแท้จริงแล้วกลับว่างเปล่า กอปรกับฐานะและรูปโฉมชาตินี้ของข้า แม้นวาดฝันว่าจะได้เคียงคู่แล้วข้าต้องเริ่มต้นเริ่มทำอย่างไรถึงจะได้สัมผัสใจของท่านเล่า ชาตินี้ข้าจึงขอบอกลาอดีตวางทั้งความรัก ไออุ่นจากอ้อมกอด แววตาอ่อนโยนคู่นั้นของท่านให้ปลิวสลายไปกับสายลม ทุกย่างก้าวต่อจากนี้ข้าจะขอภาวนาให้ท่านมีความสุข แม้นว่าท่านจะไม่รับรู้ก็ตาม ซูอินไม่คาดว่าเฉิงอ๋องก็หันกายกลับมา ทว่านางกลับไม่หลบสบประสานสายตาย่อกายทำความเคารพหันกายเดินกลับเรือน เฉิงอ๋องมองตามร่างอรชนที่กำลังเดินผ่านดอกไม้ที่กำลังโรยรา เพียงสบตานั้นเขาไม่สามารถรับรู้อะไร ความรู้สึกในแววตานั้น บางเบาเกินไป บางเบาจนน่าสงสัย ผู้คนล้วนมีความลำบากใจที่ไม่เหมือนกัน อย่างเสิ่นอินในตอนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยอกเหนื่อยใจกับมารดาของตนเองยิ่งนัก นางไม่คาดคิดว่าผู้ที่จะทำให้นางลำบากใจที่สุดจะเป็นมารดาของตนเอง “อินเอ๋อร์ไยต้องลำบากตนเอง ด้วยรูปโฉมความงดงามที่เป็นหนึ่งเช่นเจ้าย่อมหาสามีที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้” เสิ่นอินอยากจะเอ่ยถามสักคำว่า เป็นเช่นท่านหรือ ทว่านางก็เก็บวาจานั้นเอ่ยอย่างประนีประนอม “อีเหนี้ยงสี่ ท่านไม่ต้องพูดแล้วข้าตัดสินใจแล้ว ท่านพ่อก็อนุญาตหากให้กลับคำ ไม่ใช่จะยิ่งตอกย้ำความไร้ค่าอย่างของข้าหรือ” “เจ้าอย่าไปสนใจคำพูดเหล่านั้น พวกเขาล้วนอิจฉาเจ้าต่างหาก” “อี้เหนียงสี่ วันนี้ข้าเหนื่อยมาก” “ได้ ๆ เช่นนั้นวันนี้แม่กลับก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาสอนเจ้าร่ายรำ” เมื่อประตูปิดลงเสิ่นอินก็นวดคลึงที่คิ้วเบา ๆ คาดว่ามารดาคงได้ยินว่านางจะไปร่ำเรียน นางไม่อยากเชื่อในมุมเลวร้ายมารดาคงหวังดีกลัวว่าจะลำบากตนเองจริง ๆ โชคดีที่ยังมีความรู้ติดตัว เรื่องสอบผ่านคัดเลือกยังไม่มีเรื่องให้กังวล ทว่านางกลับรู้สึกเหนื่อยจังเลย ชีวิตนี้ไร้ที่พึงพิงยามค่ำคืนเหน็บหนาวเข้ากระดูก ด้วยร่างกายที่บอบบางอ่อนแอเป็นทุนเดิมและจิตใจที่อ่อนแอทำให้เสิ่นอินจับไข้ในวันต่อมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม