ภายใจหอซูซูแม้จะแขกเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ จึงไร้เสียงอึกทึกครึกโครม
ทว่าก็มีเสียงสตรีผู้หนึ่ง แผดเสียงแหวกขึ้น รบกวนความสงบนั้น
“บังอาจนัก เจ้ากล้าขวางทางข้างั้นรึ!”
แขกที่อยู่บริเวณชั้นล่างของหอซูซูต่างปรายตามองมาเพียงเล็กน้อยคล้ายกับไม่ได้ยินและเห็นอะไร พวกเขาไม่อยากจะทำให้เจ้าของเสียงนั้นไม่พึงพอใจ
ซูอินและองค์หญิงต้าเหยาก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน พวกนางต่างจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือผู้ใด
“ขออภัยองค์หญิงใหญ่ กระหม่อมไม่อาจจะให้องค์หญิงเสด็จเข้าไปข้างในได้”
เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ผู้คนภายในหอซูซูย่อมต่างเห็นอกเห็นใจเขาต้องมารับมือกับสตรีไร้เหตุผลและเจ้าอารมณ์เช่นนี้
นางกำลังจะตวาด องค์รักษ์อีกครั้ง
เสียงทุ้มต่ำก็ดังขัดขึ้น
“ให้นางเข้ามา”
องค์หญิงใหญ่ต้าอันเล่อ เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มอนุญาตก็โปรยยิ้มสีหน้าเปลี่ยนเป็นสตรีอ่อนหวานละมุนละไมทันที
นางปรี่ตรงเข้าไปในห้องรับรอง เมื่อเห็นบุรุษตรงหน้ากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสือ ก็พลันยิ้มอย่างปรีดา กำลังจะเอ่ยทักทาย
เสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “มีเรื่องอะไร”
คำพูดแสนหวานไม่ทันได้เอ่ยก็โดนกลืนลงคอ ดวงหน้าของหญิงสาวซีดขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตัดฟ้อ
“อีกไม่กี่วัน ข้าก็ต้องสอบซิ่วไฉ มีบางจุดที่ยังไม่เข้าใจอยากจะขอคำชี้แนะจากพี่อี้หยาง”
“ข้าไม่ตอบคำถามเหล่านี้นอกสำนักศึกษา หากองค์หญิงใหญ่ต้องการคำชี้แนะซื่อฝูหลายท่านในสำนักศึกษายินดีที่จะตอบคำถามท่าน”
เฉิงอ๋องพูดพลางเปิดหนังสือในมือ ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองสตรีที่อยู่ตรงหน้า
องค์หญิงกำลังจะเอ่ยทักท้วงเฉิงอ๋องก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มคู่นั้นเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
“แล้วอย่าให้มีเช่นวันนี้อีก ไม่เช่นนั้นแม้กระทั่งประตูวังท่านก็จะไม่ได้ก้าวออกมา เชิญท่านออกไปได้แล้ว”
ผู้คนในหอซูซูล้วนได้ยินน้ำเสียงดุกดดันจากเฉิงอ๋องทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ออก องค์หญิงอันเล่อยืนอึ้งไร้วาจาไปชั่วขณะ จากนั้นนางต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่จุดในคอไม่ให้เสียงหลุดออกมา สะบัดชายเสื้อหันกายวิ่งออกไป ทั้งน้อยใจและอับอายน้ำตากำลังเอ่ยคลอเบ้าตา นางรู้ว่าไม่อาจจะต่อกรกับญาติผู้พี่คนนี้ได้ ฮ่องเต้โปรดยิ่งกว่าโอรสและธิดาของตนเอง จนมีข่าวลือว่าแม้กระทั่งบังลังก์ก็จะยกให้เขา
คุณหนูสามเสิ่นจือตกอยู่ในอาการตกตะลึงไร้สติกับเหตุการณ์เบื้องหน้าจนเสียอาการ ทำให้บ่าวที่มาด้วยสะกิดแขนเสื้อ
“คุณหนูพวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
ส่วนซูอินและองค์หญิงต้าเหยานั่งตัวเกร็งสบตากันปริบ ๆ ไม่เอ่ยวาจากลัวจะมีผู้รู้ถึงการมีตัวตนของพวกนาง กอปรกับองค์หญิงอันเล่อมีจิตใจคับแคบพลาดโกรธเคืองพวกนางที่มาอยู่ในเหตุการณ์อับอายของตนก็เป็นไปได้ สตรีผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องเป็นดีที่สุด
ชั่วเพียงอึกใจเดียว บรรยากาศในหอซูซูก็พลันกับมาเป็นเหมือนเดิม ประหนึ่งว่าไม่เคยมีองค์หญิงอันเล่อเข้ามาในหอซูซูทุกคนพร้อมใจลืมเหตุการณ์ดังกล่าวจนหมดสิ้น
ซูอินรู้ว่าเฉิงอ๋องมีวรยุทธ์สูงส่งในเมื่อเขาอยู่ที่นี่ หากต้องการเอียงหูย่อมได้ยินเสียงที่พูดนางพูดคุย นางจึงพยายามเลี่ยงวาจาที่ไม่เหมาะสมออกไป กระนั้นองค์หญิงต้าเหยากลับไม่รู้ถึงอันตราย เอ่ยขึ้น
“เฉิงอ๋องยังเป็นบุรุษไร้ไมตรีต่อผู้คนเช่นเดิม อาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี่ตอนอยู่ในสำนักศึกษาเห็นเขามีน้ำเสียงและแววตาที่อบอุ่น จนทำให้องค์หญิงใหญ่ใจกล้าเยี่ยงวีรสตรีเช่นนี้”
ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น ซูอินจึงอดปากถามไม่ได้
“ท่านหวาดกลัวเฉิงอ๋องหรือ”
องค์หญิงต้าเหยาแสยะยิ้มขึ้น
“กลัวสิ ตั้งแต่เด็กข้าได้ยินมาว่า ตอนที่เขาอยู่ชายแดนเป็นแม่ทัพยามออกรบกระบี่คู่กายดื่มโลหิตของผู้คนมาหลายแสนคนแล้ว”
“ทว่านั้นก็ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงได้อยู่อย่างสงบไม่ใช่หรือเพคะ”
ซูอินหลุดปากเอ่ยแก้ต่างให้อีกฝ่าย ทำให้เฉิงอ๋องที่อยู่ห้องข้าง เผลอยกปากยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มนั้นทำให้จงถังที่อยู่ข้างกายตกตะลึง เห็นว่าไม่ได้การต่อไปนี้เขาต้องส่งคนดูแลคุณหนูจางซูอินเพิ่ม
องค์หญิงต้าเหยาพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยต่อ
“ข้ารู้สึกขอบคุณเขายิ่งนัก คราวที่เห็นใบหน้าของเขาตอนนั้นข้าอายุเพียง 9 ขวบ แม้เฉิงอ๋องจะมีรูปโฉมองอาจเหนือสามัญแต่กลิ่นอายแผ่รังสีอำมหิตจนทำให้ข้าฝั่งใจหวาดกลัวเขามาโดยตลอด ข้าไม่ได้กล่าวว่าเขาเป็นบุรุษไม่ดีเสียหน่อย”
น้ำเสียงของต้าเหยาตัดพ้อกว่าว่าสหายจะเข้าใจตนเองผิด
“องค์หญิงมีจิตใจที่บริสุทธิ์ย่อมไม่กล่าวว่าร้ายใคร หม่อมเพียงเอ่ยตามน้ำเท่านั้นเพคะ”
เสียงพูดคุยข้างนอกดังขึ้น ทำให้ซูอินรับรู้ว่าเฉิงอ๋องกลับไปแล้ว นางนั่งคุยกับองค์หญิงต้าเหยาต่อเล็กน้อยทิ้งช่วงเวลาจนกระทั่งมั่นใจว่าเฉิงอ๋องออกจากหอซูซูไปแล้วจึงได้ขอตัวกลับกับองค์หญิงต้าเหยา
ทว่าซูอินไม่ทราบ เฉิงอ๋องตั้งใจมาดักรอพอนางข้างนอกเมื่อเห็นชายกระโปรงสีฟ้าปลิวไสวผ่านผ้าม่านเขาก็หันกายไปมองสินค้าภายในร้านตรงหน้าหอซูซู
ซูอินยังคงลอบมองเฉิงอ๋องจากข้างหลัง
เมื่อชาติที่แล้วหากปรารถนาข้าล้วนไขว้คว้า จนกระทั่งมาอยู่ในกำมือคล้ายสายลมแห่งวสันตฤดูรู้สึกอบอุ่นทว่าแท้จริงแล้วกลับว่างเปล่า
กอปรกับฐานะและรูปโฉมชาตินี้ของข้า แม้นวาดฝันว่าจะได้เคียงคู่แล้วข้าต้องเริ่มต้นเริ่มทำอย่างไรถึงจะได้สัมผัสใจของท่านเล่า
ชาตินี้ข้าจึงขอบอกลาอดีตวางทั้งความรัก ไออุ่นจากอ้อมกอด แววตาอ่อนโยนคู่นั้นของท่านให้ปลิวสลายไปกับสายลม ทุกย่างก้าวต่อจากนี้ข้าจะขอภาวนาให้ท่านมีความสุข แม้นว่าท่านจะไม่รับรู้ก็ตาม
ซูอินไม่คาดว่าเฉิงอ๋องก็หันกายกลับมา ทว่านางกลับไม่หลบสบประสานสายตาย่อกายทำความเคารพหันกายเดินกลับเรือน
เฉิงอ๋องมองตามร่างอรชนที่กำลังเดินผ่านดอกไม้ที่กำลังโรยรา เพียงสบตานั้นเขาไม่สามารถรับรู้อะไร
ความรู้สึกในแววตานั้น
บางเบาเกินไป
บางเบาจนน่าสงสัย
ผู้คนล้วนมีความลำบากใจที่ไม่เหมือนกัน อย่างเสิ่นอินในตอนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยอกเหนื่อยใจกับมารดาของตนเองยิ่งนัก นางไม่คาดคิดว่าผู้ที่จะทำให้นางลำบากใจที่สุดจะเป็นมารดาของตนเอง
“อินเอ๋อร์ไยต้องลำบากตนเอง ด้วยรูปโฉมความงดงามที่เป็นหนึ่งเช่นเจ้าย่อมหาสามีที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้”
เสิ่นอินอยากจะเอ่ยถามสักคำว่า
เป็นเช่นท่านหรือ
ทว่านางก็เก็บวาจานั้นเอ่ยอย่างประนีประนอม
“อีเหนี้ยงสี่ ท่านไม่ต้องพูดแล้วข้าตัดสินใจแล้ว ท่านพ่อก็อนุญาตหากให้กลับคำ ไม่ใช่จะยิ่งตอกย้ำความไร้ค่าอย่างของข้าหรือ”
“เจ้าอย่าไปสนใจคำพูดเหล่านั้น พวกเขาล้วนอิจฉาเจ้าต่างหาก”
“อี้เหนียงสี่ วันนี้ข้าเหนื่อยมาก”
“ได้ ๆ เช่นนั้นวันนี้แม่กลับก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาสอนเจ้าร่ายรำ”
เมื่อประตูปิดลงเสิ่นอินก็นวดคลึงที่คิ้วเบา ๆ คาดว่ามารดาคงได้ยินว่านางจะไปร่ำเรียน นางไม่อยากเชื่อในมุมเลวร้ายมารดาคงหวังดีกลัวว่าจะลำบากตนเองจริง ๆ
โชคดีที่ยังมีความรู้ติดตัว
เรื่องสอบผ่านคัดเลือกยังไม่มีเรื่องให้กังวล
ทว่านางกลับรู้สึกเหนื่อยจังเลย ชีวิตนี้ไร้ที่พึงพิงยามค่ำคืนเหน็บหนาวเข้ากระดูก
ด้วยร่างกายที่บอบบางอ่อนแอเป็นทุนเดิมและจิตใจที่อ่อนแอทำให้เสิ่นอินจับไข้ในวันต่อมา