คิดการเพื่อตนเอง

1774 คำ
แม้เหล่าบัณฑิตจะมาเรียนโดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ทว่าในห้องเรียนก็ยังอยู่ในความเรียบร้อย เฉิงอ๋องทอดฝีเท้าเดินไปมาในระหว่างห้องเรียนพลางเอื้อนเอ่ยตามจังหวะก้าวย่าง น้ำเสียงทุ้มนุ่มลอยเข้ามากระทบโสตประสาทเป็นเอกลักษณ์ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกถึงแรงดึงดูด ทั้งอบอุ่นและละมุนละไมสุภาพอ่อนโยน เฉิงอ๋อง กวาดสายตามอง เหล่าลูกศิษย์เยาว์วัยใบหน้าระบายปลาบปลื้มเต็มดวงหน้าแล้วยังแฝงเปี่ยมด้วยพลัง ทว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่ให้ความรู้สึกแตกต่าง แม้จะเพียงชั่ววูบชายหนุ่มก็รู้สึกว่า แววตาของจางซูอินผู้นั้นแฝงด้วยความรู้สึกคนึงหาลึกซึ้งทว่าเพียงชั่ววูบกลับนิ่งจนไร้ความรู้สึก จางซูอินไม่รับรู้ว่า อากัปกิริยาของตนมีผู้อื่นจับจ้องไม่วางตา หลังจากเลิกเรียนนางก็รีบกลับเรือน ส่วนบัณฑิตคนอื่น ๆ ล้วนพากันขอคำชี้แนะจากเฉิงอ๋อง ล้วนเป็นการแสดงความกระตือรือร้นยิ่งนัก เมื่อเดินกลับมาถึงหน้าเรือน เสียงจอแจข้างในทำให้หญิงสาวหยุดนิ่งก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป “น้องสามเจ้ากลับมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้างวันนี้เรียนหนักหรือไม่” จางเจินเดินมารับสัมภาระของน้องสาวอย่างไม่ขัดเขิน ซูอินยิ้มให้พี่สาวอย่างอ่อนโยนกำลังจะเอ่ยถาม สวีซื่อได้ยินเสียงว่าบุตรสาวกลับมาก็เดินออกมาจากเรือนกล่าวขึ้นเสียก่อน “ซูเอ๋อร์เจ้าดูสิ วันนี้พ่อของเจ้าไปได้รวบรวมคนมาช่วยกันทำห้องให้เจ้า แล้วไปตามแม่กับพี่สาวเจ้าว่าวันนี้ไม่ต้องขายขนมให้เอามาเลี้ยงทุกคนแทน” คนมาช่วยก่อสร้างห้องล้วนเป็นชาวบ้านที่อยู่ละแวกเรือนเคียง ซูอินหันกายไปทำเคารพและกล่าวขอบคุณหลายประโยค “มิลำบาก ๆ หากมีงานอีกเรียกพวกข้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” การมาช่วยก่อสร้างครั้งนี้ พวกเขาต่างได้รับค่าจ้างย่อมมาด้วยความยินดีเต็มใจ พอนั่งลงจางเจินก็ยกหม้อชามา “วันนี้ข้ากับท่านแม่ได้ไปจัดการซื้อเครื่องเรือนมาเพิ่ม พอสอบถามเถ้าแก่ก็แนะนำว่า บัณฑิตเวลาทบทวนตำราจะต้องมีน้ำชาดี ให้ดื่มเพื่อให้รู้สึกปลอดโปร่งจดจำได้ดียิ่งขึ้น เจ้าลองทาชิมดูสิชาชนิดนี้ดีหรือไม่ หรือพวกข้าจะโดนเขาหลอก” ซูอินเริ่มรู้สึกจนใจกับการเอาอกเอาใจของคนในครอบครัว เรื่องชา นางเป็นผู้จัดเตรียมเองน่าจะดีกว่า ในระหว่างกำลังจิบชา พี่สาวก็จ้องมองกะพริบตาปริบ ๆ “เป็นชาที่ดียิ่งเจ้าค่ะ หลังจากดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก” จางเจินหันไปยิ้มกับมารดาด้วยความรู้สึกโล่งอก “ดีจริง ๆ ค่ะ ท่านแม่” มีเพียงเท่านี้ที่พวกนางสามารถทำให้ซูอินได้เลยรู้สึกยินดีเมื่อประสบความสำเร็จ ซูอินชำเลืองตามองไปยังห้องส่วนตัวของตนเองที่กำลังก่อสร้าง จางเจินก็เอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องกังวล เพียง 1-2 วันก็เสร็จเรียบร้อย คืนนี้ข้าจะย้ายไปนอนกับท่านแม่ ส่วนท่านพ่อจะย้ายไปนอนกับพี่ใหญ่ เจ้าจะได้ทบทวนตำราอย่างสะดวก” ซูอินรีบกล่าวทันที “ไม่ใช่พี่รองกล่าวว่าเพียง 1-2 วันก็จะเรียบร้อยแล้ว ไยต้องย้ายห้องให้วุ่นวายเล่า” เมื่อซูอินกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่มีใครขัดอีก ตะวันเริ่มคล้อยต่ำแสงระเรือระบายที่ขอบฟ้า การก่อสร้างก็ต้องหยุดไว้ก่อน “จางอั่น พวกข้ากลับก่อนพรุ่งนี้จะรีบมาแต่เช้าตรู่” “ขอบคุณ ๆ เดินดี ๆ” วันนี้จางอั่นอารมณ์เบิกบานยิ่งนัก ทั้งมีเงินทั้งมีหน้ามีตา เจอผู้ใดเขาล้วนได้รับการยกย่องว่าอบรมสั่งสอนบุตรได้ดี มีความรู้ความสามารถทั้งกตัญญูบิดามารดา ตระกูลจางรุ่งเรื่องในยุคของเขาโดยแท้ หลังจากส่งทุกคนกลับบ้านจางอั่นก็เดินเข้ามา “พรุ่งนี้เครื่องเรือนที่สั่งเอาไว้ จะมาส่งแล้ว” “ขอบคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ” จางซุนพึ่งจะล้างมือเสร็จก็เดินเข้ามาร่วมวง “ซูอิน เจ้ารู้ไหมเงิน 100 ตำลึงนั่น ขนาดซื้อของมากมายยังเหลืออีกตั้ง 70 ตำลึงเซียว” สวีซื่อรีบตบไปที่หลังบุตรชายดังปัง ขึงตามองรอบหนึ่งแล้วหันมายิ้มเอ่ยกับซูอิน “ซูเอ๋อร์ แม้จะไม่ได้ใช้หมดทั้ง 100 ตำลึง ทว่าแม่ได้สอบถามเถ้าแก่แล้วว่ามีอะไรจำเป็นบ้างสำหรับบัณฑิตที่ต้องเตรียมตัวสอบ แม่บอกให้จัดมาทั้งหมดเลย” ซูอินยิ้มบาง ๆ หากจะซื้อเครื่องเรือนที่ล้ำค่า เงิน 100 ตำลึงจะเพียงพอได้อย่างไร “ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ ข้าเองก็ไม่เคยใช้สอยเงินซื้อของเหล่านี้ ย่อมไม่รู้ราคา จึงเอ่ยบอกให้ท่านพ่อใช้ทั้งหมด หากท่านแม่มองว่าเหมาะสมแล้วย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เห็นบุตรสาวไม่คัดค้านและถามถึงเงินส่วนที่เหลือสวีซื่อก็รู้สึกว่าบุตรสาวของนางรู้ความยิ่งนัก ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู เมื่อปรายตามองดูคนในครอบครัวทุกสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ซูอินก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เมื่อชาติที่แล้วนางไม่มีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้เลย ไม่รู้ว่าตอนที่ครอบครัวสวี่ได้รับเงินพระราชทานจากฮ่องเต้ 1000 ตำลึงจะเป็นเช่นไรนะ จวนเสนาบดีเสิ่น ทุกคนล้วนมีแผนให้กับตัวเอง จางซูอินที่อยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดเสิ่นอินก็เช่นเดียวกัน นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดล้วนต้องอาศัยมือตนเองไขว่คว้ามาครอง หรือสำหรับนางตอนนี้ต้องอาศัยมือตนเองไขว่คว้ามาครอง เท่านั้น! ณ เรือนฮูหยินเอก “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวหน้าห้องนายท่านแจ้งมาว่า คุณหนูเจ็ดขอพบนายท่านเจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “นางจะขอพบท่านพ่อด้วยเรื่องอันใด” คุณหนูสามเสิ่นจือที่กำลังนั่งซบอกมารดา เอ่ยตามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ปล่อยนางไปเถอะ เด็กที่ไร้ความสามารถจะมีเรื่องอันใด มาเล่าให้แม่ฟังสิ ว่าวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง” พอนึกถึง เรียวคิ้วคมนัยน์ตาพราวผสมใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเฉิงซื1อฝู ก็ทำให้้าของหญิงสาวก็ะมีเรื่องอันใด เจ้ามาเล่าให้แม่ฟังดีกว่าว่าวันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง"ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อขึ้นมา เมื่อเห็นว่าฮูหยินยังไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าคุณหนูสาม บ่าวก็ถอยออกไปสืบเรื่องราวต่ออย่างรู้ความ ในขณะเดียวกัน เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสิ่นซ่านปรายตามองบุตรีเสิ่นอินด้วยความรู้สึกลอบถอนใจ ในงานเลี้ยงบุบฝาของของตระกูลหวังเขาถูกพบขณะนอนเปลือยกายอยู่กับบ่าวรับใช้ในจวนนั่นก็คือมารดาของนาง กลเล่ห์เช่นนี้ผู้ใดก็ต้องมองทะลุปรุโปร่ง กลายเป็นขำขันที่สหายเอ่ยหยอกล้อเขาอยู่เสมอ ทำให้หลายปีที่ผ่านมาเขาจึงเย็นชากับบุตรสาวคนนี้พอสมควร เสิ่นอินเมื่อได้รับอนุญาตเข้ามาก็คุกเข่าทำความเคารพด้วยกริยาอ่อนหวาน ความงดงามของนางล้วนได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา ทำให้เสิ่นซ่านรู้สึกขุนเคืองขึ้นมา “มีสิ่งใดต้องการเจ้าควรปรึกษาท่านแม่ของเจ้า หรือเจ้าไม่รู้กฎของตระกูล” ท่านแม่ที่เสิ่นซ่านหงเอ่ยถึงคือเกาฮูหยิน เพื่อให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง บุตรชายบุตรสาวของตระกูลต้องเอ่ยเรียกฮูหยินเอกว่าท่านแม่ทุกคน เสิ่นอินได้ฟังแล้วพลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง ใบหน้าเครียดขรึมของบิดาทำนางเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น โชคดีที่นางได้เตรียมคำตอบคำถามนี้ไว้แล้ว “ลูกขอประทานอภัยท่านพ่อ สิ่งใดท่านแม่ล้วนจัดสรรให้ลูกไม่เคยขาดเขิน ทำให้ลูกไม่เคยได้เอ่ยขอสิ่งใด จึงทำให้เข้าใจได้มารบกวนท่านพ่อ เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เสิ่นอินกล่าวพร้อมกับประสานสายตากับบิดา ดวงตางดงามกระจ่างสุกใสบริสุทธิ์กำลังจ้องมอง ทำให้หัวใจของเสิ่นซ่านหงอ่อนโยนลง ขณะที่เสิ่นอินกำลังลุกขึ้นจะเดินออกไปจึงยกมือแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมาแล้วก็เอ่ยมาให้เรียบร้อย จะให้พ่อบ้านไปจัดการ” ดวงตาของเสิ่นอินเป็นประกายวาวขึ้น นางรีบเอ่ยทันที “เรียนท่านพ่อ ลูกได้เห็นพี่สาวพี่ชายแต่งกายด้วยชุดของสำนักศึกษาเป็นบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถผู้ใดพบเห็นล้วนทอดสายตาชื่นชม ลูกรู้สึกละอายใจยิ่งนักที่เมื่อก่อนตัวเองเกียจคร้าน จึงอยากตั้งใจเริ่มเล่าเรียนฝึกฝนใหม่คราวแรกตั้งใจจะขอร่วมเรียนกับพี่สาม ทว่าตอนนี้พี่สามเก่งกาจเตรียมสอบซิ่วไฉแล้ว ลูกกังวลจะทำให้การเรียนของพี่สามเสียหายกอปรกับอีก 3 วันข้างหน้าสำนักศึกษาจะรับสมัครผู้เข้าเรียนใหม่ลูกจึงมาขออนุญาตท่านพ่อเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเสิ่นอินสดใสไพเราะก้องกังวาน ทำให้เสิ่นซ่านหงรู้สึกว่าบุตรสาวมีความจริงใจด้วยประโยคล้วนเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ต่างกับเสิ่นอินที่รู้สึกหนักอกหนักใจเมื่อก่อนตอนอยู่ตระกูลจางนางไม่เคยต้องเตรียมคำพูดฉอเลาะเช่นนี้เลย “เจ้ารู้เกณฑ์ของการรับนักเรียนของสำนึกศึกษาใช่หรือไม่” เมื่อได้ยินคำถามของเสิ่นซ่านหง เสิ่นอินก็มั่นใจหลายส่วนว่าตนเองจะได้รับอนุญาตแล้ว “ทราบเจ้าค่ะท่านพ่อ หลังเรียน 14 วัน ข้าจะสอบผ่านเข้าเรียนด้วยตนเองไม่ให้ท่านพ่อได้เสียค่าเล่าเรียนเจ้าค่ะ” คำพูดของเสิ่นอินทำให้เสิ่นซ่านหงมองเป็นเพียงคำพูดโอ้อวดที่ไร้ประสบการณ์เท่านั้น ทว่าเขากลับชอบบุตรสาวที่มีความมุ่งมั่น “หากเจ้าทำได้จริง ค่าเล่าเรียนในทุกปีข้าจะมอบให้เจ้า ไปได้แล้ว ไปเตรียมให้สมกับที่เจ้าโอ้อวด” เสิ่นอินกล่าวขอบคุณบิดา นางออกมาจากห้องหนังสือด้วยใบหน้าลิงโลดท่าทางดั่งเด็กไร้เดียงสา เสิ่นเถียนก็ไม่ถือสาหาความ อย่างไรนางก็อายุเพียง 12 ขวบเท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม